EP.3 สมาชิกใหม่ในบ้าน

1768 Words
EP.3 LOVE HURTS รักเจ็บลึก ตอน สมาชิกใหม่ในบ้าน _____________________________ “ยังไงเต้ก็ต้องเอากระเป๋าเสื้อผ้าไปเก็บที่บ้าน และก็จะได้เอาใช้ส่วนตัวของบัวมาให้ด้วยเลย” พี่เต้พูดขึ้นพลางสะพายกระเป๋าของเขาขึ้นมาอย่างเตรียมพร้อม พี่บัวหันไปมองทางแฟนของเธอเล็กน้อยๆ ก่อนจะพยักหน้าและยิ้มๆ “ก็ดีนะลิลณ์ เดี๋ยวลิลณ์ซ้อนมอเตอร์ไซค์เต้ไปเลยสิ” เธอก็พูดขึ้นอย่างเห็นด้วย “ยังไงก็ทางเดียวกัน ไม่ต้องเสียค่ารถอีกด้วย” “ลิลณ์จะได้ไม่ต้องกลับบ้านคนเดียว ตอนมืดๆ ค่ำๆ” พี่บัวก็หันมาพูดกับฉันด้วยอีกคน “อ่อ อย่างงั้นก็ได้ค่ะๆ” ฉันก็พยักหน้ารับอย่างไม่คิดอะไรและยิ้มๆ “เชิญครับ น้องลาลิลณ์” พี่เต้เปิดประตูให้ฉันทันที “ขอบคุณค่ะ” ฉันยกมือไหว้พี่เขาไปตามมารยาท “เดี๋ยวเต้รีบกลับมานะบัว นอนพักเยอะๆ นะ” เขาพูดทิ้งท้ายก่อนจะปิดประตูลง ฉันกับเขาไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากหนัก เพราะฉันเองก็ไม่ใช่คนที่เฟรนลี่ ส่วนมากจะเป็นพี่เต้ที่ชวนคุยโน้นนี่นั้นไปเรื่อย ฉันก็ตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง บรื้นนน บรื้นนน บรื้นนน รถมอไซค์ขับเคลื่อนไปตามท้องถนน ฉันเอากระเป๋ากันตรงกลางระหว่างพี่เต้กับตัวเอง อย่างพยายามเว้นระยะ แต่ฉันก็เริ่มสังเกตุได้ว่า ทุกครั้งที่ฉันมองไปที่กระจกรถนั้น มักจะเจอกับสายตาของเขามองอยู่พอดี หรือว่าฉันจะคิดมากไป.. “ถึงแล้ว” เขาจอดรถที่หน้าบ้านเช่าหลังเล็กๆ ของเราทันที ฉันก็รีบก้าวลงจากรถ และเดินไปเปิดประตูบ้านทันที พอฉันรู้สึกว่าเขายืนอยู่ด้านหลังและขยับใกล้เข้ามาๆ ฉันก็รีบบิดประตูเปิดบ้านโดยทันที “ชะ..เชิญค่ะ” ฉันพูดไปก่อนจะเปิดไฟในบ้าน และรีบเดินเลี่ยงเข้าไปห้องของตัวเองทันที “ห้องของพี่บัว ห้องนั้นนะคะ” ฉันรีบชี้ไปที่ห้องฝั่งตรงข้ามทันที เมื่อเห็นว่าเขาเดินตามฉันมาติดๆ “อ่อ โอเค” เขายิ้มตอบแค่นั้นก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องของพี่บัวแทน ฉันเข้าห้องได้ก็ปิดประตูทันที ก่อนจะทิ้งตัวนอนลงบนเตียงเล็กๆ ของตัวเอง อย่างเหนื่อยล้าเต็มทน ผ่านไปราวเกือบชั่วโมงได้ หลังจากที่ฉันกินยาแก้ปวดหัวและพักสายตาไป ฉันก็ถือผ้าเช็ดตัวและก็เสื้อผ้าเตรียมจะเดินออกไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวที่จะนอนพัก และฉันคิดว่าพี่เต้น่าจะออกไปหาพี่บัวที่โรงพยาบาลแล้ว ซึ่งพอเดินออกมาจากห้องนอน ก็ไม่เจอใครอยู่บ้านแล้วจริงๆ ฉันรีบเข้าไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวจะเข้านอนเพราะว่า กลัวว่าอาการปวดหัวไมเกรนมันเหมือนจะกำเริบขึ้นมาอีก ตอนนี้เจ็บป่วยปวดทรมานแค่ไหนก็ต้องทน เพราะเงินทุกบาทยังจำเป็นต้องใช้เพื่อเจ้าตัวเล็ก ฉันพยายามจะไม่คิดถึงเรื่องที่ตัวเองถูกตัดทุนเรียนนั้น แต่ก็มันก็อดไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งเครียด ฉันก็ต้องอาบน้ำไปร้องไห้ไปอยู่คนเดียวเงียบๆ น้ำตามันก็ไม่ยอมหยุดไหลง่ายๆ เลย คำพูดคำต่อว่าดูถูกของเหล่าอาจารย์คณบดีของมหาลัยนั้น ยังก้องดังอยุ่ในโสตประสาทของฉันไม่หายไปไหนเลย ฉันอาบน้ำถูสบู่ไปได้สักพัก.. ก๊อก..แก๊กๆ จู่ๆ ฉันก็เหมือนได้ยินเสียงอะไรบ้างอย่างดังมาจากประตูห้องน้ำ ราวกับว่ามีคนทำอะไรอยู่แถวๆ หน้าห้องน้ำนั้น ฉันเลือกที่จะนิ่งและพยายามฟังว่ามันคือเสียงอะไรกันแน่น ก่อนจะจึงรีบอาบน้ำและแต่งตัวให้เสร็จทันทีเพื่อที่จะเปิดออกไปดู แอ๊ด...!! พอดันประตูห้องน้ำและก้าวเดินออกมา ฉันก็เจอกับพี่เต้ที่เหมือนจะเพิ่งเดินออกไปจากประตูห้องน้ำได้เพียงไม่กี่ก้าวดี และนั้นทำเอาฉันแอบตกใจอยู่ไม่น้อย ที่เขายังเดินวนไปมาอยู่ในบ้าน ในตอนนี้ “พี่เต้?” ฉันขึ้นเสียงเล็กน้อยเพราะเริ่มรู้สึกแปลกๆ “อ้าว ลาลิลณ์” เขาหันมายิ้มๆ ให้ฉัน “ทำอะไรอะ?” ฉันถามด้วยเสียงที่ไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่ “พอดีพี่ลืมแปรงสีฟันและครีมอาบน้ำของบัวนะ เลยวนรถกลับมาเอา” เจ้าตัวพูดขึ้นด้วยสายตาที่วอกแวกๆ “จริงๆ ร้านสะดวกซื้อแถวโรงพยาบาลก็มี ไม่เห็นต้องวนรถกลับไปมาเลยนิ” ฉันทักทวงไปตามตรง คนตรงหน้าหลบสายตาทันที “เดี๋ยวพี่เอาของเสร็จก็จะไปแล้ว” “เราก็ทำตัวสบายเถอะ พี่ลืมเอาของของบัวจริงๆ น่ะ” เขาพูดก่อนจะเอื้อมมือมาจับที่หัวไหล่ของฉันเบาๆ ฉันเบี่ยงตัวหลบทันทีอย่างจงใจให้เขารู้สึกว่าฉันไม่โอเค “รีบไปเถอะค่ะ พี่บัวรอพี่อยู่” ฉันพูดก่อนจะเอาพันเช็ดตัวห่มตัวเองซ้ำทับอีกรอบ แม้ว่าจะใส่ทั้งเสื้อทั้งกางเกงอย่างมิดชิดแล้วก็ตาม “จ้า หนู” เขาพูดยิ้มๆ และเดินสวนกับฉันเข้าไปหยิบแปรงสีฟัน สบู่อะไรต่างๆ ที่เขาบอกเอาไว้ ทันทีที่พี่เขยของฉันขับรถออกไปจากบ้านจริงๆ ฉันก็รีบล๊อคประตูจากด้านในไว้อย่างแน่นหนา ฉันมือไม้สั่นอย่างทั้งโกรธ และทั้งรู้สึกแปลกๆ กับการกระทำของพี่เต้ สมาชิกคนใหม่ของครอบครัวเรา “ฉันคงคิดมากไป... ฉันแค่คิดมากก็เท่านั้น..” ฉันสบัดความคิดแปลกๆ นั้นออกไปจากหัว -สามสี่วันผ่านไป- ฉันก็ดูเหมือนจะยังไม่ชินกับการที่มีแฟนของพี่สาวตัวอยู่ในบ้านสักเท่าไหร่ แต่ก็ฉันก็พยายามที่จะมองข้ามไป และไม่ใส่ใจอะไรมากหนัก บางทีก็พยายามจะเลี่ยงๆ โดยการเก็บตัวเองอยู่ภายในห้องนอนแทน พี่บัวเองตั้งแต่คลอดลูก เธอก็ปล่อยตัวโทรมไปมากเพราะแทบไม่มีเวลาที่จะพักผ่อนหรือดูแลตัวเองเลย ทั้งวันทั้งคืนต้องคอยดูแลเจ้าตัวเล็ก ที่ค่อนข้างจะงอแงในช่วงกลางวันเพราะช่วงนี้อากาศก็ค่อนข้างร้อนอบอ้าว หลานเลยอาจจะไม่ค่อยสบายตัว ฉันมองดูพี่สาวตัวเองแล้วก็เห็นใจเพราะคนเป็นแม่เนี้ยต้องเสียสละมากจริงๆ ทั้งหุ่นที่พัง หน้าที่โทรม และเวลาส่วนตัวของชีวิตแทบไม่มีเลยแม้แต่สักวินาทีเดียว ฉันจึงก็ไม่กล้าเอาปัญหา หรือความทุกข์ใจใดๆ รวมไปถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องต่างๆ ที่เกิดในบ้าน ไปเล่าให้เธอฟังมากหนัก เพราะทุกวันนี้เธอเองก็ดูมีเรื่องเครียดมากพออยู่แล้ว เช้าวันนี้ ฉันก็ยังคงดูนาฬิกา เพื่อกะเวลาที่จะออกไปอาบน้ำแต่งตัว และออกไปสอนพิเศษตามบ้านของลูกศิษย์ที่เรียนด้วย .... ........ “วันนี้กลับดึกนะบัว” เสียงของพี่เต้พูดกับพี่บัว ซึ่งฉันก็ทำได้แค่แอบฟังอยู่ภายในห้องของตัวเอง “พอดีวันนี้ที่บริษัทใหม่มีงานเลี้ยงนะ” “ดึกมากเหรอเต้?” พี่บัวถามขณะที่เธออุ้มเจ้าตัวน้อยกระเตงๆ กล่อมลูกไป “ก็คงดึกแหละบัว ยังไงก็เอาลูกเข้านอนก่อนเลยนะ” “ไม่ต้องรอ” เขาพูดพลางหยอกเย้าเล่นกับลูกสาวของตัวเองแบบแป๊ปๆ ก่อนจะขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์และขี่รถออกไป ฉันรอจนแน่ใจว่าพี่เขยได้ออกไปทำงานแล้ว จึงเดินออกมาจากห้องนอนตัวเอง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเจอเขา เพราะฉันเริ่มรู้สึกอึดอัดแต่ไม่อยากให้พี่ตัวเองรู้ “ช่วงนี้ตื่นสายเหมือนกันนะเรา” พี่บัวเอ่ยทักขึ้นอย่างยิ้มๆ พลางป้อนนมเจ้าตัวเล็กไปด้วย “เตรียมชีทไว้สอนพิเศษเด็ก ดึกไปหน่อยนะ” ฉันตอบไปก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวเตรียมจะเข้าไปอาบน้ำ “ไว้เจ้าตัวเล็กเริ่มโต พี่จะเริ่มหางานทำนะ” “ลิลณ์จะได้ไม่ต้องทำงานหนัก” พี่บัวพูดอย่างถอนหายใจ เราสองคนยืนมองหน้ากันอยู่สักพัก “ไม่เป็นไร” ฉันตอบไปและหยิกแก้มเจ้าหนูน้อยเบาๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงมาทางเข้าห้องน้ำ “เออ..นี่ลิลลณ์จบมอปลายแล้ว มหาลัยของลิลณ์จะเปิดเทอมเมื่อไหร่เหรอ?” พี่บัวเอ่ยถามขึ้นไล่ตามหลังฉันมา จริงๆ เมื่อก่อนมีอะไรฉันก็จะเล่าและปรึกษากับพี่บัวอยู่บ่อยๆ เพิ่งจะมีพักหลังๆ มานี้แหละที่เราไม่ค่อยได้คุยกันสักเท่าไหร่ “ลิลณ์ว่าจะดรอปไว้เรื่องปีหน้านะ พอดีอยากทำงานพิเศษเก็บเงินไปก่อนนะ” ฉันตอบไปแบบหลบสายตาของพี่สาวและเดินเข้าห้องน้ำเลยทันที ซึ่งพี่บัวก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เพราะเจ้าตัวเล็กเหมือนจะเริ่มงอแงขึ้นมา ซึ่งทางพี่บัวเธอก็ไม่ได้สงสัยอะไรในเรื่องของฉันมากหนัก “อย่าว่าแต่ดรอปเรียนเลย. ตอนนี้ไม่รู้ว่าไปสมัครสอบปีหน้า” ฉันได้แต่พูดกับตัวเอง และเก็บความรู้สึกแย่นั้นไว้เพียงภายในใจ “จะมีมหาลัยไหนรับฉันเข้าเรียนรึเเปล่า” ฉันยิ่งพูดถึงมันก็ยิ่งเจ็บและเป็นทุกข์ แต่จะให้ลืมว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะตราบาปนั้นมันจะติดตัวฉันไปจนตายแน่ๆ ตอนนี้ฉันกลายเป็นนักเรียนที่มีประวัติเรื่องการโกงข้อสอบ และแน่นอนว่าเรื่องทุนเรียนคงไม่มีสิทธิ์ได้มันอีกแน่ๆ ทั้งๆ ที่ในชีวิตนี้ของฉัน เรื่องเรียนเป็นเหมือนใบเบิกทาง เป็นดังแสงสว่างเพียงแสงเดียวที่ส่องเข้ามาชีวิตที่มืดหม่นของฉัน ฉันเรียนรู้ได้เร็ว จดจำได้ดี และอยากที่จะฝึกฝนตัวเองอยู่เสมอ “ถ้าจะให้สมัครเรียนมหาลัยและจ่ายเงินเองเกือบปี4 ก็ราวๆ 8เทอม” “ฉันคงไม่มีปัญญา จะเรียน” ฉันถอนหายใจพุดไปน้ำตาก็ไหลไป ฉันสูบลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเปิดน้ำล้างหน้าเพื่อลบคราบน้ำตาเหล่านั้น เพราะทุกๆ วัน คือการเริ่มต้นใหม่ สู้ใหม่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD