CHAPTER‬ 1

1030 Words
CHAPTER 1 “ชมพูมาเลยนะแก...”                สาวหุ่นสวยใบหน้าเรียวเล็กได้รูปเอ่ยพูดขึ้นในขณะที่กำลังส่องกระจกเพื่อเช็คความเรียบร้อยของใบหน้า บอกเลยว่าเมื่อดูทั้งตัวเธอสวยแซบไม่แพ้คนที่กำลังย่างก้าวเดินเข้ามานั่งร่วมวงสนทนาแบบพอดีที่ใต้ตึกคณะบริหาร                “อ่ะแน่นอนสีใหม่เลยนะแกพึ่งทำมาเมื่อวาน”                ฉันบอกยัยนาซีในขณะที่กำลังเติมลิปสีแดงสดลงบนริมฝีปากเพิ่มเติมความสวยอย่างไม่สนใจคนที่เดินผ่านไปมาจะมองมากน้อยขนาดไหน สายตาที่ถูกส่งออกมาจะมีความรังเกลียด หมั่นไส้ หรืออิจฉาแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์เพราะฉันไม่ได้ขอข้าวพวกนั้นกิน                ถูกไหม?                กึก!                “บอกเลยหมั่นไส้มาก”                “หรอ แกก็ดอกน้อยกว่าฉันซะที่ไหน”                 ความจริงไม่มีใครคบพวกเราหรอกในสายตาคนอื่นๆ เขามองว่าแรด ร่าน ร้ายกาจ ขึ้นชื่อเรื่องผู้ชายมาก...ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นไงไม่รู้ โลกเรามันประหลาดขึ้นทุกวันมองสิ่งภายนอกมากกว่าจิตใจ สักก็มองว่าชั่ว สูบบุหรี่ก็ว่าเลว กินเหล้าเรียกเหี้ยยิ่งถ้าเจาะหูหลายๆ รูคิดว่าแรง                เห้อแต่ไม่คิดมองตัวเองบ้าง...                เพราะแบบนี้พวกเราจึงคบกันแค่สามคนเท่านั้นมีเพียงฉัน นาซีและก็มิชา คนหลังนี้ไม่รู้ว่ามันหายหัวไปไหน..นานๆ ครั้งจะโผล่มาสักครั้งอีกทั้งยังเรียนคนละคณะด้วย นาซีกับมิชาเป็นฝาแฝดที่แตกต่างกันมากที่สุดในโลก นาซีเป็นผู้หญิงร้ายกาจ แรงได้ใจผมสั้นส่วนสีผมจะเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ซึ่งในปัจจุบันก็สีแดงประกายทองผิดกับมิชาที่หวาน อ่อนโยน เรียนออกแบบ ผมยาวดำจรดปลายหลังซ่อนความดื้อเงียบไว้นิดๆ                “เปล่าเถียง”                “เริดค่ะเพื่อนเลิฟ” ฉันจัดการวางกระจกลงแล้วมองไปยังยัยนาซีแบบจริงจัง ดูยังไงแล้วเราทั้งสองคนคบกันมันก็เหมาะสมกันจะตายไป อย่าคิดลึกนะคบแบบเพื่อน “วันนี้เรียนบ่ายแต่ฉันยังไม่ได้กินข้าวเลยอ่ะ”                “มัวแต่กินสามีอยู่หรือไง?”                มันเรื่องปกติหรือเปล่าที่ในกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันมากๆ จะพูดแบบนี้โดยไม่โกรธแต่อีกประเด็นมันอดไม่ได้จริงๆ ที่จะหยุดการกระทำทุกอย่างลงก่อนที่จะถามยัยมิลล์เพื่อนรักของตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ เรียนตั้งบ่ายแต่ไม่ได้ทานข้าวมา เวรกรรมแท้ๆ                “อยู่ให้กินก็ดีสิเมื่อวานทั้งคืนทั้งวันยังไม่เห็นแม้แต่หัว!”                เมื่อได้ยินประโยคที่ยัยนาซีพูดขึ้นอารมณ์ที่พร้อมจะปะทุขึ้นทุกเมื่อก็มาเยือนตัวเองอีกรอบของสองวันนี้แม้ว่าฉันจะออกไปดื่มกาแฟ ซื้อเสื้อผ้า ทำสีผมใหม่หัวสมองมันยังสลัดเรื่องนี้ไม่ขาดมันจริงมากที่มีคนบอกว่ามีผัวผิดคิดจนตัวตายจริงๆ                ขอแนะนำตัวเองฉันชื่อมิลล์ เรียนอยู่ปีสาม คณะบริหารในมหาลัยชั้นนำแห่งหนึ่ง ครอบครัวอยู่ต่างประเทศหมดมีฉันคนเดียวที่อยู่ไทยจึงสามารถทำอะไรได้อย่างตามสบายสไตล์ลูกคนเดียวของตระกูล สถานะไม่โสดมีแฟนแล้วซึ่งเป็นรุ่นน้องอยู่ปีหนึ่งวิศวะ พักอยู่ด้วยกันที่คอนโดของฉันเอง                “อ้าว?”                “ตกใจอะไรของแกยังไม่ชินอีกหรือไง?”                ฉันพูดขึ้นพร้อมกับมองหน้ายัยนาซี                “แบบนี้แหละแกมีแฟนเด็กบอกแล้วว่าอย่าจีบๆ ก็ไม่เชื่อเอง”                หลังจากที่ได้ยินคำตอบของยัยมิลล์แล้วมันก็อยากที่จะซ้ำเติมจริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าไอ้เทนมันเจ้าชู้ขนาดไหนก็ยังจะเข้าไปจีบอีก อยากจะซ้ำเติมด้วยคำพูดที่มันแรงมากกว่านี้แต่ก็กลัวเพื่อนจะเสียใจ                “ได้ทีเหยียบเลยนะช่างเถอะฉันมีวิธีจัดการก็แล้วกันยังไงเทนก็ไปไหนไม่รอดหรอก”                ความหมั่นใจมันล้นออกมอย่างเต็มเปี่ยมเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นบ่อยมากจนเริ่มชิน ไม่ตกใจเมื่อได้ยินใครพูดแต่ความรู้สึกโมโหมันไม่สามารถกำหนดๆ ได้                เรื่องผู้หญิงฉันรู้นะว่ามันต้องมีบ้างเนื่องจากเทน แฟนฉันเป็นคนหล่อ ผิวขาวจนซีดนิสัยร่านมากอ่อยไปทั่วก็เลยมีผู้หญิงเข้ามาพัวพันมากเป็นพิเศษและยังเป็นหนึ่งในกลุ่มวายร้าย Villain แต่ทว่าวันๆ ไม่ทำอะไรหรอกไปเรียนก็บางครั้งบางครานอกจากนั้นก็ยังเป็นนักร้องตำแหน่งแร็พในคลับใต้ดินที่ตัวเองหุ้นกับเพื่อน                “ช่างมั่นใจเหลือเกินนะยะ”                “อ่ะแน่นอน นี่ใครมิลล์ดาวคณะบริหารไม่ใช่หรอ”                ฉันชี้นิ้วมายังตรงหน้าอกของตัวเองด้วยความมั่นหน้าและก็มั่นใจแบบเต็มร้อยเพราะเชื่อว่าตัวเองจะปราบเทนอยู่ไม่งั้นคงไม่เข้าไปจีบตั้งแต่แรกให้มันเสียเวลาหรอก                “จ๊ะแม่คนมั่นเบ้าหน้ ขึ้นไปเรียนไปแล้ว!”                ว่าแล้วทั้งฉันและนาซีก็เก็บเครื่องสำอางทั้งหมดลงกระเป๋าใบสวยก่อนที่จะรีบลุกออกจากโต๊ะตรงขึ้นตึกเพื่อเข้าเรียน                ปึก!                “เฮ้ย! ยัยมิลล์เป็นไรไหม?”                ถ้าไม่มียัยนาซีเข้ามาช่วยประคองไว้ร่างก็คงร่วงไปกองอยู่ตรงพื้นต่อหน้าสายตานักศึกษาหลายคนที่มองดูเหตุการณ์นี้                “ไม่เป็นไรขอบใจแก”                ฉันพูดขึ้นกับยัยนาซีและจัดการกับตัวเองให้ยืนได้ด้วยตัวเองจากนั้นก็มองไปสบตากับผู้หญิงที่กำลังยืนยิ้มเหยียดตรงมุมปากด้วยความสะใจในการกระทำของตัวเอง                “ตาบอดหรือไง?”                ประโยคถัดไปฉันพูดกับผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความไม่พอใจ รู้ไหมมันเป็นใคร มันชื่อว่าแพทชาหรือเรียกว่าอีแพท เราเป็นคู่แข่งกันทุกอย่างตั้งแต่เข้ามาปีหนึ่งจนถึงปัจจุบันปีสามก็ยังไม่มีใครยอมใคร                “ไม่ก็แค่อยากชน” 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD