ตอนที่ 1

1342 Words
ประเทศไทย ที่สนามบิน           ทันทีที่ปลายเท้าของสองแม่ลูกก้าวพ้นประตูผู้โดยสารขาออก เสียงลั่นชัตเตอร์ก็ดังระรัวขึ้นพร้อมๆกับไฟแฟลชที่สาดมาจากบรรดาช่างภาพและนักข่าวมากมายที่มารอทำข่าวการกลับมาของเธอ ทั้งที่การมาเยือนแผ่นดินเกิดของเธอในครั้งนี้ควรจะเป็นความลับ ทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ช่วยยืนยันว่าเกือบ 20 ปีที่เธอหลบไปใช้ชีวิตเงียบๆอยู่ในเมืองเล็กๆของอเมริกา ก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนที่รู้จักลืมเธอแต่อย่างใด           “คุณอัญชันครับขอสัมภาษณ์หน่อยนะครับ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา “ไม่สะดวกค่ะ” แม้น้ำเสียงสุภาพ หากใบหน้าก็ฝืนยิ้มอย่างเห็นได้ชัด  เธอตกใจ สะบัดหน้าหนีไมโครโฟนที่ยื่นมาตรงหน้า แต่คนที่แสดงอาการตกใจยิ่งกว่าคนที่กำลังตกเป็นเป้าหมายของการสัมภาษณ์ ก็คือลูกสาวของเธอนั่นเอง “อย่าเพิ่งไปค่ะ…ขอสัมภาษณ์สักครู่นะคะ” ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้หญิง พร้อมด้วยเครื่องบันทึกเสียงขนาดพกพาที่ถืออยู่ในมือ เรียกเธอด้วยสายตาวิงวอน “เอ่อ…ขอโทษนะคะ ไม่สะดวกค่ะ ขอทางด้วยค่ะ ขอโทษค่ะ ไม่สะดวกจริงๆ เอาไว้โอกาสหน้านะคะ”  อัญชันซึ่งอยู่ในชุดกางเกงขายาว จั้มสูทแขนกุด ด้านหลังซีทรูลูกไม้ละเอียด ด้านหน้าเป็นคอวีลึก สีดำ ตัดกับเนินอกขาว อำพรางดวงตาคู่คมไว้ด้วยแว่นกันแดดกรอบกว้าง ฉาบปรอทสีมันวาว รีบพาลูกสาวแหวกกองทัพนักข่าวออกมาด้วยความโกลาหล ทุกลักทุเล           “นี่มันอะไรกันคะแม่...!!!” ‘ดาหลา’ หญิงสาววัย 20 ปี หันไปถามมารดาด้วยแววตาฉงน เธอต้องการคำอธิบาย แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและฉุกละหุกเกินกว่าที่ผู้เป็นแม่พูดอะไรได้ “เอาไว้แม่จะเล่าให้ฟัง” อัญชันตอบเบาๆ นักข่าวหลายคนก้าวตามเธอมาติดๆ สติที่มีจึงทำได้เพียงกระชากแขนของลูกสาว ในใจคิดว่า ‘เธอควรพาตัวเองและลูกออกมาจากวงล้อมของสื่อมวลชนที่กำลังกระหายข่าวให้เร็วที่สุด’ รีบก้าวยาวๆออกมาขึ้นแท็กซี่แล้วบึ่งออกจากสนามบินไปในทันที โดยมีแสงแฟลชและเสียงลั่นชัตเตอร์ดังรัวตามมาข้างหลัง           บนรถแท๊กซี่           “ไปไหนครับ” โชเฟอร์หันมาถาม           “เชอราตันแกรนด์ สุขุมวิท” เธอบอกชื่อโรงแรมอันเป็นจุดหมายปลายทาง เมื่อรถแล่นออกจากสนามบินได้สักครู่           “เอ่อ!...ถ้าผมจำไม่ผิด คุณอัญชัน ใช่มั้ยครับ...?” โชเฟอร์แท็กซี่ซึ่งเป็นหนุ่มใหญ่วัยกลางคน เอ่ยถามด้วยสำเนียงอีสาน หลังจากเพ่งผ่านกระจกมองหลังอยู่พักใหญ่ๆ ในที่สุดก็หันมาถามด้วยความสงสัย ตอนรถติดไฟแดง           “จำคนผิดแล้วละค่ะ” เธอรีบปฏิเสธ ยิ้มเจื่อนๆ แม้จะไม่เชื่อ หากโชเฟอร์ก็ไม่ซักไซ้เซ้าซี้ให้เธอรำคาญ เมื่อฉุกคิดได้ว่าเธอคงต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่เช่นนั้นเมื่อสักครู่นี้เธอคงไม่หนีนักข่าวหัวซุกหัวซุน   อีกสองวันต่อมา  ณ มุมหนึ่ง ภายในห้องอาหารสุดหรูของโรงแรม ใกล้ๆกับเคาน์เตอร์บาร์เหล้า อัญชันพร้อมด้วยชายร่างสูงใหญ่ วัยใกล้เคียงกัน ใบหน้าคมคร้าม หล่อเหลา กำลังนั่งสนทนากันถึงเรื่องที่เธอโทรนัดหมายให้เขามาพบ “ฉันคงต้องขอรบกวนคุณ อย่างน้อยก็ตอนที่ยังอยู่เมืองไทย ฉันอยากให้ลูกสาวพักผ่อนให้สบายใจ ไม่ต้องมาวุ่นวายใจกับข่าวของแม่” น้ำเสียงของอัญชันเต็มไปด้วยอาการวิงวอน ขณะสายตาจับอยู่ที่ใบหน้าคมเข้มของ ‘ชรัมภ์  อัครพลไพศาลสวัสดิ์’ ซึ่งกำลังกระดกวอดก้าในแก้วที่ถืออยู่ในมือ รวดเดียวก็ลงลำคอไปอย่างง่ายดาย ชรัมภ์รีบนั่งเครื่องมาจากเชียงใหม่ในทันทีที่ได้รับการติดต่อจากอัญชัน ว่าเธอและลูกสาวเดินทางมาถึงเมืองไทยแล้ว “ผมยินดีต้อนรับคุณกับลูกสาว จะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ ผู้หญิงตัวเล็กๆสองคน ผมเลี้ยงได้สบายๆ ฟาร์มของผมยินดีต้อนรับ ถ้าคุณไม่รังเกียจในความเป็นชนบทบ้านนอกของมัน” ชรัมภ์ออกตัวอย่างอารมณ์ดี ครุ่นคิดอยู่ครู่สั้นๆ ก่อนจะลดสายตาจากดวงดาวที่เกลื่อนอยู่กลางผืนฟ้าสีดำสนิท ขณะทอดสายตาออกไปจากช่องหน้าต่างในเสี้ยวขณะหนึ่งสั้นๆ หันมาจ้องใบหน้าสะสวยของอัญชัน เพื่อนสาวซึ่งครั้งหนึ่งเคยสนิทสนมถึงขั้นเคยคิดจะคบหาเป็นคู่ชีวิต หากบุพเพไม่นำพา ทำให้ทั้งสองแยกไปใช้ชีวิตต่างวิถี ชรัมภ์ได้ไปใช้ชีวิตเยี่ยงคาวบอยอยู่ที่ฝาง ซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ ขณะที่อัญชันไปโลดแล่นอยู่บนจอเงิน ในฐานะนางเอกภาพยนตร์ผู้โด่งดัง ในตอนนั้น น่าแปลกที่ระหว่างเขาและเธอควรจะลงเอยกันด้วยดี หากเป็นเพราะอัญชันนั่นเองที่เป็นฝ่ายกล่าวว่า ‘ถ้าคนสองคนไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะเป็นคู่กัน ต่อให้ชรัมภ์ทุ่มเทความรักและเพียรพยายามสักเท่าใด…มันก็ยังไม่ใช่อยู่ดี’ ซึ่งชรัมภ์เองก็เข้าใจในเหตุผล จากนั้นเขาและเธอก็วางตัวเอาไว้ในฐานะเพื่อนที่แสนดีต่อกันเรื่อยมา ระหว่างที่อยู่อเมริกา อัญชันเคยติดต่อกลับมาหาชรัมภ์หลายๆครั้ง เพราะรู้ดีว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จะแพร่งพรายเรื่องราวของเธอให้ใครได้รู้อย่างแน่นอน   ในอดีตที่ผ่านมา ด้วยความที่อัญชันเป็นคนสะสวย โลกมายาจึงเปิดรับเธอง่ายดาย ทันทีที่ความสาวของเธอผลิสะพรั่งไปเข้าตาผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังคนหนึ่ง จากนั้นอัญชันก็ถูกชักนำเข้าสู่วงการ จนได้รับการ ‘ผลัก’ และ ‘ดัน’ จากผู้กำกับคนนั้นเรื่อยมา  ในฐานะนางเอกแถวหน้าของวงการ และด้วยบทบาทส่วนใหญ่ที่เธอได้รับ ค่อนไปทางเย้ายวนเหมือนดาวยั่ว ทำให้ภาพลักษณ์ของเธอที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำของบรรดาแฟนๆภาพยนตร์ไทยในตอนนั้น จึงดูเป็นผู้หญิงที่เซ็กซี่ เย้ายวนไปจนถึงเร่าร้อน จัดจ้าน ซึ่งจะว่าไป…ก็ตรงกับชีวิตจริงของเธอ อัญชันโลดแล่นอยู่ในโลกมายามาหลายปี ก่อนจะปิดฉากสุดท้ายกับข่าวพาดหัวตัวโตในหน้าหนังสือพิมพ์ว่า ‘ดาวยั่วหน้าอกภูเขาไฟ บั้นท้ายดินระเบิด…เบ็นโลซะแล้ว’ ทำให้เธอมีอันต้องระเห็จหายไปจากวงการภาพยนตร์นานหลายปี บางกระแสซุบซิบนินทาว่าเธอหลบไปแอบคลอดลูกที่ต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นจริงตามคำร่ำลือ เพราะอีกเกือบ 20 ปีหลังจากนั้น ซึ่งก็คือเมื่อสองวันที่ผ่านมา เธอก็กลับเมืองไทยมาพร้อมๆกับดรุณีแรกรุ่น หน้าตาสะสวย ดวงตาและริมฝีปากอันเซ็กซี่เย้ายวน ถอดแบบมาจากเธออย่างไม่มีผิดเพี้ยน ทำให้หนังสือพิมพ์และผู้สื่อข่าวสายบันเทิงหลายสำนัก เริ่มขุดคุ้ยเรื่องของเธอขึ้นมาตีแผ่อีกครั้ง ฟันธงว่า ‘สาวน้อยหน้าตาสะสวยคนนั้นก็คือลูกสาวของเธอนั่นเอง’ “แล้วคุณแน่ใจนะ” ชรัมภ์ย่นหน้าผาก “เรื่องอะไรคะ” ดวงตาคมประกายเบิกกว้างด้วยคามสงสัย “แน่ใจว่าลูกสาวคุณจะมาอยู่ที่ฟาร์มของผมได้ ที่นั่นเราอยู่กันแบบเงียบๆ ชาวบ้านๆ ลูกทุ่งๆ เรียบง่ายไปตามประสาชนบทบ้านนอก คุณคงพอจะนึกภาพออก” ชรัมภ์มีฟาร์มและสวนส้มขนาดใหญ่ เนื้อที่หลายพันไร่ อยู่ที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ “ยัยดาไม่ใช่คนเรื่องมาก แม้จะดื้อไปบ้าง เอาแต่ใจตัวเองในบางครั้ง ก็คงเป็นเพราะฉันเลี้ยงดูแกมาอย่างตามใจ ยังไงก็คิดเสียว่าสงสารลูกไม่มีพ่อเถอะนะคะ ถ้าขืนยัยดามาทำตัวดื้อด้านมีปัญหาที่เมืองไทย ก็ถือว่าเป็นโอกาสดี ให้คุณช่วยปราบพยศแกด้วยละกัน” คนเป็นแม่พูดราวกับกำลังฝากฝังลูกสาว “ยังกับว่าลูกสาวคุณแก่นเซี้ยวเปรี้ยวซ่ายังงั้นแหละ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD