สองวันต่อมา…
เช้ามืดของวันที่แสนจะหม่นหมอง…เฮ้อ
ลมหายใจยาวถูกพ่นผ่านปลายจมูกครั้งแล้วครั้งเล่า
ฉันถูกปลุกขึ้นมาจากที่นอนตั้งแต่ยังไม่ตีสาม เพื่อมานั่งโงนเงนหมดสภาพอยู่บนเก้าอี้ไม้กลางห้อง สปอร์ตไลน์ถูกเปิดส่งมาที่ใบหน้าฉันจากทุกด้านจนแสบตาไปหมด ฉันเหลือบตาขึ้นบนด้วยความหงุดหงิดเพราะมันมีอะไรยุกยิกยุกยิกอยู่บนหัวฉันราวสองชั่วโมงเต็ม ไม่เคยปล่อยให้ใครยุ่งกับผมของฉันนานขนาดนี้มาก่อนเลยนะ อาม่าจ้างช่างทำผมที่ไหนมาเนี่ย ฝีมือไม่ได้เรื่องแถมยังทำนานอีก
ส่วนคนด้านหน้าก็ไม่แพ้กัน จะโบกอะไรหนักหนา หน้าฉันไม่ได้ต้องปกปิดเยอะขนาดนี้ซะหน่อย น่าเบื่อชะมัด เมื่อไหร่จะเสร็จซะที
วันที่แสนจะวุ่นวายของใครหลายๆ คนในบ้านเรืองขจร วันที่อาม่าแต่ตัวสวยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา วันที่ดูเหมือนจะสำคัญสำหรับผู้หญิงทุกคน…แต่ไม่ใช่สำหรับฉัน
“คุณหนูคะ เลิกถอนหายใจสักสามสิบนาทีได้ไหมคะ” ช่างแต่งหน้าที่เป็นสาวสองกดเสียงต่ำบอกฉันด้วยอารมณ์ที่แฝงไปด้วยความหงุดหงิด
“แต่งไม่ได้ก็ไม่ต้องแต่ง!” ฉันพูดพลางยกมือขึ้นกอดอกทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้บ่งบอกถึงความเอาแต่ใจของตัวเอง ตวัดตามองช่างแต่งหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ใครง้อกัน…ฉันไม่ได้อยากแต่งซะหน่อย งานล้มไปเลยยิ่งดี
“ไอ่หยา…นี่ลื้อยังแต่งหน้าไม่เสร็จอีกหรอ อาลลิล” อาม่าเปิดประตูเข้ามาในตอนที่ช่างแต่งหน้าคนสวยกำลังจะอ้าปากว่าอะไรฉันสักอย่าง นั่นส่งผลให้เธอหันไปโต้ตอบกับผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในการจัดการฉันแทน
“ก็หลานสาวท่านนั่นแหละค่ะ ไม่ยอมให้ความร่วมมือเลย หนูลบจนเครื่องสำอางจะหมดแล้วค่า”
“ก็ทำไมต้องแต่งหนาขนาดนี้กันเล่า! ฉันไม่ชอบ!”
“ก็…”
“พอๆๆ” อาม่าขัดขึ้นก่อนที่เราสองคนจะเปิดศึกกันกลางห้อง “ลื้อแต่งให้บางลงหน่อยละกัน อีไม่ชอบแต่งหน้าหนาๆ”
“ได้ค่ะท่าน” เธอโค้งน้อยๆ รับคำสั่งจากอาม่า ก่อนจะหันมาหาฉันที่นั่งเบ้ปากยิ้มเยาะด้วยความสะใจ ที่กล้ามาหือกับฉัน หงอยเลยไหมล่ะ…สม
แปะ…
อ๊ะ!!
ฉันสะดุ้ง ลูบต้นแขนตัวเองปอยๆ พลางเหลือบมองอาม่าทำหน้ามุ่ย อาม่ากล้าตีฉันต่อหน้าคนอื่นได้ยังไงกัน เสียหน้าชะมัด
“ลื้อก็เหมือนกัน นั่งดีๆ เลิกดื้อด้านซะที อาม่าละปวดหัวจริงๆ”
“อาม่าอะ…” ฉันทำท่าทีฟึดฟัดก่อนจะทำตามคำสั่งประกาศิต จะไม่ทำตามได้ยังไงละ อาม่าเล่นกวักมือให้เด็กรับใช้เอาเก้าอี้มาให้เพื่อจะนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ ไม่ยอมห่างเลย
จนกระทั่งฉันแต่งหน้าทำผมเสร็จในที่สุด ท่านถึงได้ยอมลุกเดินออกจากห้องไปเพื่อเตรียมการอย่างอื่น
ดูเหมือนพิธีแรกของวันนี้จะเป็นการตักบาตรแบบไทยของทางฝั่งบ้านเจ้าบ่าว เพราะฉันอยู่ในชุดไทยประยุกต์ผ้าไหมสีฟ้าครามปักด้วยคริสตัลสุดหรู น่าแปลกที่ดีไซน์ชุดนี้ไม่เหมือนกับที่คนส่วนใหญ่นิยมใส่กันในงานแต่งทั่วๆ ไป ตัวเสื้อด้านบนเป็นกล้ามคอวีและมีสไบสองข้างเกาะจากไหล่ยาวถึงพื้นซึ่งเป็นสีเดียวกับชุด ส่วนผ้านุ่งก็ถูกออกแบบให้ติดกับตัวเสื้อและปิดท้ายด้วยเข็มขัดคาดเอวสีเงิน มันเป็นอะไรดีดูเข้ากันจนน่าประหลาดใจกับยุคสมัยใหม่
แถมฉันยังใส่ได้พอดีเหมือนชุดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อฉันคนเดียวอีก ไม่คับ ไม่หลวมจนเกินไป ใส่แบบสบายๆ
“ใครเป็นคนเลือกชุดนี้” ฉันเอ่ยถามทั้งที่ยังมองตัวเองผ่านเงาสะท้อนในกระจกไม่วางตา
“เจ้าบ่าวเป็นคนจัดการทั้งหมดเลยค่ะ”
ฉันชะงักเล็กน้อยกับคำตอบของเจ้าของห้องเสื้อ เจ้าบ่าวงั้นหรอ ฉันนึกว่าอาม่าเป็นคนจัดแจงทุกอย่างเองซะอีก เซอร์ไพรส์เหมือนกันนะเนี่ย
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูทำให้ฉันหลุดจากภวังค์และหันไปทางต้นเสียง ก่อนจะหลุดยิ้มให้ผู้หญิงที่ชะโงกหน้ามายิ้มแฉ่งและโบกมือให้ฉัน
จ๊ะจ๋าเดินตรงหาฉันที่อยู่หน้ากระจก ในอีกมุมหนึ่งของห้อง
“ว๊าวววว” เพื่อนสนิทอ้าปากค้างพลางยกมือขึ้นปิดปาก ไล่สำรวจร่างกายฉันหัวจรดเท้าด้วยแววตาเป็นประกาย
“สวย?”
“มาก มึงอยู่ในชุดนี้แล้วสวยมากๆ” มันว่า พลางจับตัวฉันหมุนไปมา
“ก็กูสวยอยู่แล้วไง” นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่แม่ให้ฉันมาและเป็นความภาคภูมิใจที่สุดอีกด้วย
“ยะ!!”
“มาทำไมแต่เช้า” ฉันถามก่อนจะหันกลับไปสำรวจความเรียบร้อยในกระจกอีกรอบ
“ก็มาอยู่เป็นเพื่อนมึงไง กลัวมึงเหงา” เป็นคำตอบที่ฉันรู้สึกดีใจที่สุดที่มีมันเป็นเพื่อนสนิท ถ้ามันไม่มาในวันนี้คงไม่มีใครทำให้ฉันยิ้มออก
“ดีมาก ถือว่ารู้หน้าที่ มึงยังไม่ได้กินไรมาใช่ปะ”
“ยังอะ”
“ไปเตรียมอาหารให้สองที่นะ” ฉันเดินไปสั่งเด็กรับใช้ก่อนจะกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟารับรอง จ๊ะจ๋าเองก็หย่อนสะโพกลงนั่งข้างฉันพร้อมกับชูมือถือขึ้นมาเซลฟี่สามสี่ช็อตแล้วมันก็ก้มหน้าจิ้มมือถืออัพรูปลงสตอรี่ ฉันหันซ้ายหันขวา พอเห็นว่าไม่มีใครสนใจพวกเรา ฉันก็เริ่มเข้าประเด็นทันที
“มึง”
“ว่า”
“มึงจำคืนที่เราแอบเข้าไปในงานโรงเรียนมัธยมฝั่งตรงข้ามได้ปะ”
“อือ ทำไมอะ” มันยังคงตอบโต้ฉันทั้งที่หน้ายังมุดอยู่กับจอมือถือ
“มึงจำคนที่ใส่หน้ากากเหยี่ยวดำได้ม่ะ” ฉันถามต่อในโทนเสียงที่พอจะได้ยินกันแค่สองคน มันนิ่งไปพักหนึ่งเหมือนกำลังลำดับเหตุการณ์อะไรสักอย่างอยู่
“อ๋อ คนที่ได้จูบแรกมึงไปอะนะ” ในที่สุดมันก็เงยหน้าขึ้นมาโฟกัสฉันสักที
“อือ”
“มึงเจอเขาแล้วหรอ” ในตอนนี้มือถือไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว มันวางลงบนโซฟาและเอี้ยวตัวเข้าฉันอย่างจริงจัง หูผึ่งเลยนะเพื่อนฉัน
“เปล่า” ฉันโคลงศีรษะปฏิเสธ
“อ่าว แล้วยังไง” ประโยคคำถามนี้ทำฉันนิ่งไปเหมือนกันนะ ฉันยังสับสน ไม่รู้ว่ามันยังไงกันแน่ ไม่รู้จะเริ่มบอกมันจากจุดไหนก่อน อย่างที่บอกจ๊ะจ๋าเป็นเพื่อนสนิทของฉันและมันก็รู้ทุกเรื่องด้วย เราแทบจะไม่เคยมีความลับต่อกัน แต่มาถึงตรงนี้กลับมีความลังเลเกิดขึ้นในใจ สุดท้ายก็…ถ้าไม่บอกมันก็ไม่รู้จะบอกใครแล้ว เก็บไว้คนเดียวก็อึดอัด
“กูจูบกับผู้ชายมาก็ไม่น้อยนะ แต่กูแทบจะไม่ได้เอากับใครเลย” ฉันมองหน้ามันและเริ่มพูดต่อ
“ห๊ะ!! เพราะ?”
“กูไม่ถูกใจ”
“แต่กูไม่เข้าใจ” สีหน้ามันบ่งบอกตามที่มันพูดเลย