“อ่ะ…กินซะ รู้ว่าหิว” เขายกจานข้าวผัดกุ้งมาวางตรงหน้า คิ้วบางขมวดเป็นปม มองหน้าเขาอย่างจับผิด เขารู้ได้ยังไงกันนะ…ว่าฉันกินอะไร ไม่กินอะไร แต่เขาตอบด้วยการยักคิ้วให้ฉันแบบกวนๆ หนึ่งที เหอะ...แต่จะว่าไป ก็หอมเหมือนกันนะ ข้าวผัดกุ้งเนี่ย ฉันหลุบมองเมนูโปรดในจานพลางลอบกลืนน้ำลายไปหลายอึก แต่…ฉันจะไม่ยอมเสียฟอร์มเด็ดขาด
“ไม่ ฉันไม่กิน”
“ทิ้งบ้างเหอะ ทิฐิอ่ะ มันไม่ได้ทำให้เธออิ่มหรอกนะ” มือเรียวยาวเอื้อมมาหยิกแก้มฉันอย่างถือวิสาสะ
“อ๊ะ….อื้ออออ” ฉันปัดมือเข้าออก ลูบแก้มตัวเองปอยๆ ช้ำหมดแล้วมั่ง อย่างเจ็บ หมอนี่กล้าดียังไงมาแตะตัวฉัน อยู่ใกล้เขาเปลืองตัวชะะมัด...
“ลองยิ้มให้คนอื่นซะบ้าง มันไม่ตายหรอก” เขาบอกพร้อมฉีกยิ้มกว้าง ทำท่าทางเหมือนล่อให้เด็กน้อยทำตาม แต่โทษที...ฉันไม่ใช่เด็กอมมือ ใครจะไปยิ้มตามที่่เขาบอก จากนั้นเขาก็ก้มลงกินอาหารของตัวเองด้วยความเอร็ดอร่อย ส่วนฉันยังคงมองกุ้งตัวโตๆในจาน ถ้าไม่กินก็คงต้องทิ้ง เสียดายแย่เลยเนอะ
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้สนใจ ฉันเลยเลื่อนจานข้าวเข้ามาใกล้ขึ้นอย่างเบามือ แล้วลองตักข้าวเข้าปากชิมดู…อืม ก็อร่อยอยู่นะ
ฉันตวัดตามองตนตรงหน้าเพราะรู้สึกถึงการโดนจับจ้อง ก่อนที่เขาจะรีบหลุบมองข้าวต้มของตัวเอง โคตรจะไม่เนียน...แต่ก็ช่างเหอะ ถือซะว่าเป็นการขอบคุณสำหรับข้าวผัดกุ้งอร่อยๆจานนี้ละกัน ก่อนจะหันมาสนใจอาหารตรงหน้าต่อ ความจริงแค่ของอร่อยก็เยียวยาได้ทุกอย่างแล้วนะ คนเราจะต้องการอะไรเยอะแยะไปทำไมกัน
....
....
“ลลิล”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียกจากผู้มาเยือน ปรากฏร่างหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับฉันที่คลับคล้ายคลับคลา ว่าจะรู้จัก…ขอนึกก่อน
“....”
“ลลินจริงๆด้วย กลับมาเมื่อไหร่เนี่ย ไม่เจอกันนานเลย คิดถึงวะ” เธอพูดต่อด้วยท่าทางตื่นเต้น
“เพิ่งมาถึงวันก่อนอ่ะ” ฉันตอบกลับเมื่อนึกออก…ว่าเธอคือเพื่อนร่วมห้องสมัยเรียนม.ปลาย ที่ไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่ก็พอได้คุยกันบ้าง แต่อย่าถามชื่อนะ ในห้องฉันจำได้แค่จ๊ะจ๋าคนเดียว ฉันไม่ได้สนิทหรืออยากเป็นเพื่อนกับใครไปทั่ว
“อ๋อ…ได้ข่าวว่าจะแต่งงาน นี่เจ้าบ่าวใช่มะ” เธอถามและจบด้วยการหันไปหาผู้ชายที่ลากฉันมาที่นี้
“ครับ” เขายิ้มแล้วตอบรับทันที
“หู้ยยย เจ้าบ่าวหล่อนะคะเนี่ย” แล้วเธอก็หันไปคุยกับหมอนั่นแบบจริงจัง เหมือนลืมไปเลยว่าเจอฉันก่อนหน้านี้ ฉันเลื่อนจานข้าวออกห่างตัว ก่อนจะหยิบน้ำส้มขึ้นดื่ม ดีนะ…อิ่มพอดี ไม่งั้นคงกินไม่ลงแหงๆ ฉันแอบเบ้ปากใส่พวกเขาด้วยนะ ไม่รู้ดิ…ปั้นหน้ายิ้มไม่เป็น ถ้าไม่ถูกใจ ให้ตายฉันก็ไม่ยิ้มให้หรอก
“ขอบคุณครับ เป็นเพื่อนลลิลเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ เพื่อนตอนม.ปลาย” สรุปเธอเข้ามาทักฉันหรือเขากันแน่ คุยซะสนิทเชียว
“บังเอิญจังเลยนะครับ ทานข้าวด้วยกันไหม” นี่ก็อัธยาศัยดีไปไหนก่อน ฉันไม่ชอบนั่งร่วมโต๊ะกับคนไม่สนิทนะ ไม่คิดจะถามความเห็นกันเลยรึไง!!
“เสียดายจัง เพิ่งทานอิ่มพอดีเลย” คำตอบของเพื่อนไม่สนิททำให้มุมปากฉันยกขึ้นนิดหน่อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นตึงเพราะประโยคของผู้ชายที่นั่งตรงข้าม
“นั่งคุยกันเฉยๆก็ได้นะครับ” เขาบอกเธอแต่ดันทำหน้ายียวนส่งมาให้ฉัน
“ได้เหรอคะ”
“ไม่ได้” ฉันแทรกขึ้นกลางคันจนเธอหน้าเจือน เขาขมวดคิ้วส่งสายตาดุก่อนจะหาข้อแก้ต่างแทน
“อ๋อ ลลิลหมายถึงไม่ได้เจอกันนาน นั่งคุยกันก่อนก็คงจะดีกว่านะครับ”
“คุณนี่น่ารักจังเลยนะคะ” เธอเอ่ยชม ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นบังหน้าและโน้มตัวเล็กน้อยพูดบอกเขาเสียงแผ่วเบา “ฉันพอรู้ค่ะ ว่าเธอเป็นยังไง” แต่เผอิญฉันหูดีและได้ยินชัดเจนทุกคำ ยัยนี่วอนซะแล้ว...
“นี่!!…” ฉันเผลอตะคอกใส่เธอเสียงลั่น เขาเอื้อมมาจับมือฉันและบีบเบาๆเป็นเชิงปราม ก่อนฉันจะสังเกตรอบข้าง ตอนนี้พวกเรากลายเป็นจุดสนใจไปแล้ว ฉันหยุดไม่พูดต่อและสะบัดมือออกพลางยกขึ้นกอดอกตัวเอง หันมองไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อไหร่จะไปสักที…ร้านตั้งเยอะแยะทำไมต้องมาเจอคนรู้จักที่ไม่ได้อยากรู้จักด้วยนะ
“เอ่อ เราจัดปาร์ตี้ สละโสดกันดีม่ะ เพื่อนๆคงอยากเจอแกเหมือนกัน” เธอเสนอความคิดที่ไม่เคยมีอยู่ในหัวฉันเลยสักนิด
“ไม่” ฉันปฏิเสธแต่มีคนตอบรับ เขาพูดขึ้นแทบจะพร้อมกันกับฉัน
“ดีเลยนะครับ”
“ใช่ไหมคะ งั้นเป็นพรุ่งนี้เลยนะ เดี๋ยวฉันนัดเพื่อนให้ เป็นที่ไหนดี…” และเธอก็หันไปหาคนที่ดูเหมือนจะเป็นมิตรกว่าทันที
“Sosay Pub ดีไหมครับ” เขารีบเสนอ เพราะนั่นมันคงเป็นที่ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีสินะ วันแรกที่ฉันเจอเขาหลังจากกลับมาไทยก็เป็นที่นี้
“ดีเลยค่ะ ฉันไปที่นั่นบ่อย โอเค ตามนี้นะแก” ประโยคสุดท้ายเธอหันมาบอกฉัน
“ห่ะ..” พูดจบก็หันไปหาผู้ชายทันทีโดยไม่รอฟังคำตอบจากฉันสักคำ ปล่อยให้ฉันหน้าเหวออยู่กลางอากาศซะงั้น
“ไปด้วยกันได้นะคะ ถ้าสะดวก” ดี…ไปกันเลยจ้า ฉันไม่ไปแน่ๆ
“อ่อ ได้ครับ ยินดีเลย” เขาก้มศีรษะให้เธอเล็กน้อย ก่อนจะแยกจากกัน สุภาพกับทุกคนยกเว้นฉันสินะ…
….
….
พอจ่ายเงินเรียบร้อยเราก็พากันเดินกลับมาที่รถ ฉันมองแผ่นหลังกว้างของคนตรงหน้าอย่างคิดไม่ตก เขาอยากจะเอาชนะถึงขนาดเอาทั้งชีวิตของตัวเองลงมาเล่นแบบนี้จริงหรอวะ มันไม่คุ้มสักนิด ไม่ว่าจะคิดกี่ตลบฉันก็ว่ามันไม่คุ้ม...ทำไมเขายังยืนกรานจะแต่งงานกับฉันให้ได้นะ
“ฉันขอถามเธออีกครั้ง” เขาเริ่มประโยคคำถามหลังจากที่เราขึ้นรถและหันมาหาฉันหน้าตาจริงจัง
“อะไร”
“เธออยากแต่งงานกับฉันไหม”
“ไม่ ฉันจะไม่แต่งงานกับคุณ” ฉันตอบแบบไม่ต้องคิดเพราะคำตอบมันผุดขึ้นมาในหัวฉันตลอดเวลาอยู่แล้ว
“ให้คิดอีกที”
“ไม่”
“โอเค เธอเลือกเองนะ”