เช้าวันต่อมา…
“ซี้ดดด…ปวดหัวฉิบ”
ฉันยกกำปั้นขึ้นทุบศีรษะตัวเองรัวๆ ในตอนที่ยันตัวขึ้นนั่งตรงได้สำเร็จ แต่ก็ไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ก่อนจะตั้งสติก้มสำรวจร่างกายตัวเองที่ยังอยู่ในชุดเดิมและเริ่มกวาดตามองไปรอบห้องนอนที่ไม่คุ้นตา ไม่ว่าจะเป็นการจัดวาง โทนสี หรือแม้แต่เตียงขนาดใหญ่ที่ฉันนั่งอยู่ ทุกอย่างมันดูใหม่ไปหมด เหมือนไม่เคยถูกใช้งานมาก่อน
ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ผนังห้อง ล้วนถูกตกแต่งด้วยสีน้ำเงินเข้มสลับกับสีคราม มันดูเข้ากันได้อย่างลงตัว สำคัญคือมันเป็นโทนสีที่ฉันชอบ
มือเล็กถูกยกขึ้นบีบขมับทันทีที่คิดย้อนไปถึงเรื่องเมื่อคืน นี่ฉันเมาจนภาพตัดไปเลยเหรอวะ…ฉันจำอะไรไม่ได้สักอย่าง
กลับมาจากผับยังไง
ใครมาส่ง
ขนาดตื่นมาอยู่ที่ไหนยังไม่รู้เลย…
อาจเป็นห้องใครสักคนในกลุ่มนั่นแหละ เพราะฉันยังอยู่ในสภาพที่ปกติดีทุกอย่าง แต่ไม่ใช่ห้องจ๊ะจ๋าแน่นอน
ฉันลุกขึ้นยืนและเดินไปเข้าห้องน้ำด้วยท่าทางสะโหลสะเหลตามประสาคนแฮงค์ พอเปิดประตูห้องน้ำก็ต้องพบกับความแปลกใจอีกครั้ง ทุกอย่างเหมือนยังไม่ผ่านการใช้งานเลยสักครั้งจนได้กลิ่นของใหม่ อุปกรณ์หรือแม้กระทั่งข้าวของเครื่องใช้อะไรก็ไม่มี
ก่อนหางตาจะเหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตที่แป๊ะไว้บนกระจกบานใหญ่ตรงอ่างล้างหน้า
[อย่าไปไหน จนกว่าฉันจะกลับ
ว่าที่สามี]
“ว่าที่สามี…”
ฉันหลุดเรียกสรรพนามที่ถูกทิ้งไว้ในกระดาษโน้ตอย่างเผลอไผล การนึกถึงเขาส่งผลให้มีภาพแล่นเข้ามาในหัวเป็นชอทๆ
‘กินอะไรขนาดนี้วะ…’ น้ำเสียงที่ดูหงุดหงิดของเขาพูดขึ้นตอนที่อุ้มฉันออกมาจากผับ
‘ไม่เอา ไม่กลับ’ และฉันที่ยังโวยวายอยู่ในอ้อมแขนของเขา
หรือแม้กระทั่งตอนที่เขาวางฉันลงบนเตียง เตียงที่มีผ้าปูสีน้ำเงินเข้ม ชัดเลย…เขาเป็นคนพาฉันกลับมาที่นี่ ในห้องนี้และยังคงเป็นฉันที่รั้งเขาในตอนที่เขากำลังจะลุกออกไปจากเตียง
‘อะไร เมาแล้วเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยนะ’ เสียงเขามันชัดเจนมากนะ แต่ภาพมันเลือนรางจนปะติดปะต่อไม่ได้
มีจังหวะที่ฉันยกแขนขึ้นโอบรอบต้นคอเขาทั้งที่ตัวเองยังนอนอยู่บนเตียง
ฉันเป็นคนขยับวงแขนให้กระชับขึ้นจนใบหน้าเราสองคนใกล้กันมาก มากจนฉันเห็นหน้าเขาไม่ชัดและมันค่อยๆ จางหายไปในที่สุด
บ้าเอ๊ย…ฉันทำอะไรลงไปวะเนี่ย
หลังจากนั้น มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมภาพมันหายไปเลยละ
ฉันขยำกระดาษโน้ตในมือทิ้ง ก่อนจะเดินออกมาจากห้องน้ำทันที ภาพพวกนั้นที่แวบเข้ามาในหัวทำให้ฉันลืมจุดประสงค์ในตอนแรกที่ว่าจะเข้ามาล้างหน้าล้างตาไปสนิท
คว้ากระเป๋าได้ ฉันก็รีบพาตัวเองออกมาจากห้องนั้นโดยไม่ได้สนใจข้อความที่เขาทิ้งไว้
ฉันไม่ได้เป็นเด็กดีถึงขนาดที่ว่าใครพูดอะไรก็ต้องเชื่อหรือค่อยทำตามคำสั่งของใครหรอกนะ…ฝันไปเหอะ
ฉันเดินออกมาจากลิฟต์พลางก้มล้วงหามือถือในกระเป๋าจนลืมสนใจผู้คนที่เดินสวนไปสวนมาและชนเข้ากับใครบางคน
ปึกกก!
อ่ะ!!
แรงปะทะทำให้ฉันถึงกับทรงตัวไม่อยู่ดีที่เขาโผเข้าประคองฉันไว้ได้ทัน
“ขอโทษครับ” เสียงผู้ชายเอ่ยขอโทษขอโพยพร้อมกับคลายมือออกจากแผ่นหลังฉัน ในตอนที่ฉันตั้งสติและทรงตัวได้แล้ว
ฉันเงยหน้าขึ้นมองหวังจะขอโทษและขอบคุณเขาเช่นกัน แต่…
“เรย์” ฉันหลุดเรียกชื่อคนตรงหน้าออกมาด้วยความประหลาดใจ
“พี่ลลิล”
“....” เป็นเขาจริงๆ ด้วย
“ทำไมพี่อยู่ในสภาพแบบนี้อ่ะ” เขาถามพลางไล่สำรวจตามร่างกายฉันอย่างถือวิสาสะ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นมายืนมองฉันแบบนี้ ฉันจิ้มตาบอดไปนานล่ะ…แต่เพราะเป็น เรย์ น้องชายคนเดียวของฉัน เขาเลยมีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้น
“ไปคุยกันที่อื่น” ฉันคว้าข้อมือน้องชายและฉุดลากเขาออกมาจากคอนโดด้วยความเร่งรีบ รู้แต่ว่าควรไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก่อนเจ้าของกระดาษโน้ตใบนั้นจะกลับมา
“รถผมอยู่นู่น” เขาพูดและเปลี่ยนเป็นคนลากฉันไปอีกทางที่รถเขาจอดอยู่
“ดูทรงแล้วน่าจะยังไม่ได้กินอะไรสินะ” เขาพูดขึ้นในตอนที่กำลังจะเคลื่อนรถออกจากหน้าคอนโด
“...” ฉันพยักหน้ารับ ก่อนจะครานหามือถือในกระเป๋าอีกครั้ง สงสัยจะลืมจริง…แต่ลืมไว้ที่ไหนละทีนี้ ที่ผับ หรือ บนคอนโดนั่น บ้าฉิบ ฉันทิ้งตัวพิงเบาะรถ พ่นลมหายใจยาวผ่านปลายจมูกหลับตาไว้อาลัยให้กับความสะเพร่าของตัวเองสามวินาที
หลังจากลืมตาขึ้น ฉันก็หันไปมองผู้ชายที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย สักพักเขาก็รับรู้ได้ถึงการถูกจับจ้อง
“มีอะไร” เขาหรี่ตามองฉันสลับกับถนนด้านหน้า
“ป่าว…” ฉันตอบ ทั้งที่ความจริงมันตรงกันข้าม ฉันมีอะไรเยอะแยะมากมายที่อยากเล่าให้เขาฟัง แต่เขายังเด็กเกินกว่าจะมารับรู้ปัญหาต่างๆ นานา เรื่องราวซับซ้อนของผู้ใหญ่
เรย์ นายรชต (ระชะตะ) เรืองขจร ปีนี้เขาน่าจะ 20 ได้แล้วมั่ง เป็นน้องชายที่ไม่มีตัวตนอยู่วงศ์ตระกูล เขาไม่ถูกยอมรับ…เราทั้งคู่เป็นพี่น้องที่มีชะตากรรมไม่ต่างกัน จากความเห็นแก่ตัวของพวกผู้ใหญ่
เรย์เป็นลูกนอกสมรสของป๊า ที่แม้แต่อาม่าก็ไม่ยอมรับเพราะแม่ของเรย์เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา ไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์เหมือนกับแม่ของฉัน ภรรยาที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดี