ฉันได้เจอน้องตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาลืมตาดูโลก ป๊าสอนให้ฉันรักและคอยดูแลน้อง ถึงแม้จะไม่มีป๊าอยู่แล้ว ฉันเองก็ทำตามที่ป๊าบอกมาโดยตลอด ทำทุกวิถีทางให้ได้เจอน้อง จนถึงวันที่ต้องจากกันไปอยู่คนละซีกโลก เราก็ขาดการติดต่อกันไป
“พี่กินข้าวข้างทางได้ใช่ป่ะ” เขาถามขึ้นในตอนที่กำลังถอยรถเทียบฟุตบาทใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
“อืม…” ฉันครางรับและกำลังจะเปิดประตูลงจากรถแต่ถูกห้ามไว้ก่อน
“เดี๋ยว” เขาหันไปเอื้อมหยิบเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำมาคลุมไหล่ให้
“ขอบใจ” เกือบลืมไปเลยนะเนี่ย ว่าตัวเองอยู่ในชุดแบบไหน ฉันสอดแขนใส่ให้เรียบร้อยก่อนจะเปิดประตูลงจากรถเดินตามเขาเข้าไปในร้านที่จะว่าสะอาดก็ไม่เชิง จะว่าสกปรกก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ฉันก็ไม่ได้สูงศักดิ์ถึงขนาดกินข้าวข้างทางไม่ได้ซะหน่อย
จังหวะที่ก้าวเข้าไปในร้านที่มีแต่นักศึกษาเกือบทุกโต๊ะ ทุกคนหันมามองฉันกับเรย์พร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย เหมือนฉันเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับพวกเขายังไงยังงั้น
“มองอะไร! ไม่เคยเห็นคะ…อุ๊บ”
เรย์เลื่อนมือขึ้นปิดปากฉันจากด้านหลังทันที ก่อนเขาจะหันไปสั่งข้าวกับแม่ค้าหน้าร้าน
“ข้าวต้ม 2 ครับ”
เขาคลายมือออกพร้อมกับออกแรงดันไหล่ตรงไปโต๊ะตัวแรกแต่เลือกให้ฉันนั่งเก้าอี้ที่หันหน้าออกนอกร้าน คงกลัวฉันจะอาละวาดใส่ผู้หญิงพวกนั้นละซิ ส่วนเขาก็นั่งลงฝั่งตรงข้าม
ฉันอดที่จะหันไปถลึงตาใส่ผู้หญิงพวกนั้นไม่ได้ จนพวกเธอต่างพากันหลบมองทางอื่นแทบไม่ทัน เด็กพวกนี้นี่มันต้องโดนสักทีมั่ง เสียมารยาทชะมัด
“ยิ้มอะไร” ฉันถามเสียงแข็งทันทีที่หันกลับมาเห็นน้องชายตัวเองนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มีความสุขมากมั่งที่เห็นฉันเป็นนางมารร้าย
“เหมือนเดิมเลยนะ” เขาว่า
“ก็ดูดิ มองเหมือนฉันเป็นตัวประหลาด บ้าชะมัด” พูดไปก็ลอบหันไปแยกเขี้ยวให้พวกนั้นอย่างเหลืออด
“ก็พี่มากับผมไง” เขาบอกแบบยิ้มๆ
“อ๋อ…เรียนที่นี่ซินะ” ฉันพอจะเริ่มเข้าใจถึงสาเหตุที่ผู้หญิงพวกนั้นจ้องฉันไม่วางตา สำหรับเรย์ ก็ว่าไม่ได้เรื่องหน้าตาอะนะ เบ้าหน้าฟ้าประทานมาแบบครบเครื่อง จมูกเอย ปากเอย ตาเอย สูงยาวเข่าดี ก็ถือว่าระดับเทพคนหนึ่ง
“อืม…ใช่” นั้นไง...ว่าแล้วเชียว
“เป็นเดือนมหาลัย?”
“เปล่า แต่เป็นนักดนตรีของมออ่ะ คนก็เลยรู้จักเยอะ” เขาตอบเสียงเรียบ ดูเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาของเขา การมีคนจ้องมองขนาดนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกแปลก
“อย่างงี้นี่เอง…แสดงว่านายไม่เคยควงสาวเลยสินะ” ฉันถามเพราะรู้สึกว่าพวกนั้นมองเหมือนเป็นเรื่องอเมซิ่ง ไม่ได้มองเพราะเขาเป็นที่รู้จักหรือหล่อ แต่เพราะเขามากับผู้หญิงต่างหาก
“อย่าสนเรื่องผมเหอะ ได้ข่าวว่าพี่กลับมาเพราะจะแต่งงานไม่ใช่ง่ะ” เขาเลี่ยงที่จะตอบแต่ยิงคำถามกลับมาแทนในตอนที่สาวสวยยกข้าวต้มสองถ้วยมาเสิร์ฟที่โต๊ะและเขาสองคนยิ้มให้กันราวกับคนรู้จัก เขาคงมาที่นี่เป็นประจำ ดูสนิทกับทุกคนในร้านไปหมด เขาดูเป็นผู้ชายอัธยาศัยดี อบอุ่น ไม่ถือตัว นี่แหละนะ…สเปคในฝันของสาวๆ
“ใช่” ฉันตอบ เราสองคนก็คุยกันไปกินข้าวไป ตามประสาพี่น้อง ที่ยังอยู่ในการจับจ้องของใครหลายๆ คนเป็นระยะ
“โดนบังคับ?” เขาเลิกคิ้วถาม เรย์เป็นอีกหนึ่งคนที่รู้จักครอบครัวฉันดี
“ไม่น่าถามนะ”
“หึ..” เขาเหยียดยิ้มมุมปากคล้ายกับขยะแขยงการกระทำของครอบครัวฉัน แต่ฉันไม่โกรธหรอกนะเพราะฉันเองก็คิดแบบนั้น
“แล้ว แม่อ่ะ…เป็นไงบ้าง” ฉันเริ่มเปิดประเด็นใหม่เพื่อเลี่ยงความคิดเกี่ยวกับเรื่องบ้าๆ ที่จะเกิดขึ้นในอีก 2 วันข้างหน้า
“ก็เหมือนเดิม ยังดีนะ ที่ป๊าสร้างร้านอาหารไว้ให้ ไม่งั้นผมคงไม่สบายแบบนี้หรอก” พอเขาพูดฉันก็นึกถึงร้านอาหารแถวชานเมืองที่ไปเป็นประจำตอนป๊ายังอยู่ แต่พอป๊าเสีย ก็มีโอกาสได้แวะเวียนไปบ้าง แอบไปบ้าง อ้อนให้ลุงคนขับรถพาไปบ้าง
“มีอะไร ให้ฉันช่วยไหม” ช่วงที่ฉันไปอยู่เมืองนอกไม่รู้เลยว่าเขาสองแม่ลูกอยู่กันแบบไหน ลำบากรึเปล่า
“ไม่เป็นไรเลยพี่ ตอนนี้เราอยู่ได้แล้ว ที่ร้านขายดีทุกวันเลย” เขาตอบทั้งที่ยังเขี้ยวข้าวตุ้ยๆ เห็นแบบนี้แล้วฉันก็ค่อยสบายใจ ดูเขามีความสุขมากกว่าฉันที่มีทุกอย่างซะอีก
“งั้นวันงาน พาแม่ไปด้วยได้ไหม” ฉันเอ่ยชวนเพราะอยากเจอแม่ของเรย์ ท่านเป็นคนที่เก่งเรื่องการปลอบใจคนที่สุด อีกอย่างคือฉันอาจโหยหาอ้อมกอดจากแม่ของเรย์ อ้อมกอดที่ฉันไม่เคยได้รับจากแม่ตัวเองเลยสักครั้ง
“อย่าเลยพี่ ผมไม่อยากให้แม่รู้สึกไม่ดี พวกเราอยู่ในที่ของเราแบบนี้ก็ดีแล้ว ผมไม่อยากได้อะไรมากไปกว่านี้”
“...” ฉันเงียบ ที่เขาพูดมาก็ไม่ผิดหรอก ถึงพวกเขาจะไม่ได้มีเท่าฉันแต่แค่มีความสุขก็เพียงพอแล้ว
“แต่ถ้าพี่จะไปหาแม่ ก็บอกนะ ผมกลับบ้านทุกอาทิตย์แหละ”
“อืม” ฉันครางรับ ก่อนจะก้มหน้ากินข้าวต่อ การได้เจอเรย์วันนี้ทำให้ฉันนึกถึงป๊า เขามีบางมุมที่คล้ายป๊า รอยยิ้มและความเป็นมิตรที่ดูเหมือนป๊ากับเรย์จะมีให้ทุกคนบนโลกซึ่งฉันไม่มี
ก่อนหน้านี้ฉันเคยคิดว่าเรย์กับฉันคงมีชีวิตที่ไม่ต่างกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เขาดูมีความสุขและใช้ชีวิตได้ดีกว่าฉันมาก นั่นคงเกิดจากการเลี้ยงดูที่ต่างกันของเราสองคน