#ZIAN PART
@ZCondo
18.00น.
ผมจ้องมองไปที่จอโทรศัพท์ พยายามเอานิ้วเลื่อนซูมดูรูปน้องผ้าแพรที่เอ็มมี่เพิ่งส่งลงมาในไลน์กลุ่ม แม้รูปจะดูไม่ค่อยชัดเท่าไรแต่พอได้ดูก็รู้เลยว่าถ้าได้รูปเต็มๆ มาต้องน่ารักมากแน่ๆ มองไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเวลานั้นผ่านไปนานเท่าไรมัวแต่เพลินกับจินตนาการที่เลยเถิด ว่าถ้าได้รูปมาจะเอาไปทำอะไรต่อดี คิดแบบนั้นก็ยิ้มกรุ้มกริ่มคนเดียว
มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์ไว้มั่น มืออีกข้างขยำผ้าห่มแน่น แล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขยับนิดหนึ่งแล้วสินะภารกิจพิชิตใจ
อันดับแรกแน่นอนว่าต้องมีรูปมาเก็บไว้ดูตอนคิดถึง หากเป็นรูปเล็กๆ สักใบเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์คงจะดีไม่น้อย แต่ว่าคงต้องเอารูปตัวเองมาทับไว้หน่อย ไม่งั้นไอ้พวกเพื่อนมันเห็นได้แซวกันยับอีกแน่ ยิ่งพวกนี้หูไวตาไว
แต่แค่รูปในกระเป๋าสตางค์คงไม่พอ ผมอยากเห็นหน้าน้องเค้าทุกวันทุกเวลา ไม่ว่าจะเดินเข้าเดินออก กินข้าว หรืออาบน้ำเสร็จ คงต้องมีรูปใหญ่ๆ ติดห้องไว้สินะถึงจะพอใจไอ้เซียนคนนี้
แต่ว่า… จะเอารูปน้องเขาไปติดไว้ตรงไหนดีนะ?
ผมเริ่มคิดอย่างจริงจังถึงแผนการในหัว ถ้าติดรูปน้องไว้ในห้องแน่นอนว่าไอ้แดนมาเล่นที่ห้องเกือบทุกวันมันเห็นแน่ได้ถูกล้อยันลูกบวช มันยิ่งชอบโผล่มาไม่บอก ไอ้ตัวเราก็ดันไม่ค่อยชอบล็อกประตูซะด้วยสิ ที่สำคัญมันมีคีย์การ์ดห้องผมด้วย เข้ามาบ่อยบางทีหลับขี้เกียจไปเปิดให้มันก็เลยยกคีย์การ์ดให้ไปเลย
ถ้าอย่างนั้นคงต้องลึกลับกว่านั้นสินะ แต่ถ้าเอารูปไปติดในตู้เสื้อผ้าก็ดูลึกลับไป พอเริ่มคิดก็ดันคิดไม่ตก ปวดหัวโว้ย เฮ้อ
น้องคนสวยครับ น้องทำพี่ปวดหัวมากเลยนะ
ผมได้แต่พึมพำคนเดียวพลางเอนตัว นอนแผ่อย่างหมดแรงบนเตียงจากการใช้ความคิดอย่างหนักหน่วงที่ไม่ได้เกี่ยวกับการเรียนเลย
นี่ก็ใกล้ได้เวลานัดของพวกแม่งแล้ว นึกขึ้นได้ก็ดีดตัวลุกขึ้นไปอาบน้ำโดยทันทีไม่มีถ่วงเวลา แน่นอนคนตรงเวลาแบบผม! มีหรือจะปล่อยให้ตัวเองสายแม้เพียงวินาที หึๆ
@Zbar
19.00น.
ผมมาถึงร้านเหล้าคนแรกนั่งรออยู่เกือบสิบห้านาทีพวกเพื่อนๆ ถึงได้ทยอยตามกันมาจนครบแก๊ง ทุกคนมาถึงเห็นผมก็พากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อารมณ์ดีกันชะมัดคงกะมาแซวชุดใหญ่อีกรอบ เห็นแบบนั้นเหงื่อมันก็เริ่มผุดเต็มหน้าผากชักทำตัวไม่ถูก ยิ้มสู้ไว้ก่อนก็แล้วกันมีอะไรต้องกลัว เอาจริงนะถ้าไม่มีรูปน้องเขามาล่อ ให้ตายยังไงวันนี้ผมก็ไม่มีทางโผล่มาให้ถูกเชือดง่ายๆ หรอก!
ไอ้แดนมาคนแรกก็เป็นตัวเปิดเลย มันเพิ่งนั่งก็หันมาทำหน้าทะเล้นฉีกยิ้มกว้างมองเห็นยันเหงือก
“แน่ะๆๆ ทีแบบนี้มาเร็วนะมึงไม่ต้องให้ตาม ฮ่าๆ”
เริ่มแล้วไง นิ่งไว้ไอ้เซียน จะได้เดินสะดวก!
“มันก็ปกติเปล่าวะ บางทีกูก็มากินก่อนพวกมึงนะ มาคนเดียวก็เคย แล้วมันจะแปลกตรงไหนที่กูจะมาก่อน?”
“เหรอเมริง มันแปลกตรงที่มึงจ้อเกินสองประโยคนี่แหละ บทพูดมากอะนั่นมันของกรูวว~”
ห่าเอ๊ย! พลาดแล้วไอ้เซียน ปกติผมก็ไม่ใช่คนพูดอะไรมากมาย วันนี้ตื่นเต้นไปหน่อยโดนไอ้แดนสอนมวยซะได้
“…”
“ฮี่ฮี่” เอ็มมี่ยิ้มเยาะที่ผมโดนไอ้แดนสอนมวย เธอมองผมคุยกับไอ้แดนอยู่เหมือนกำลังจะหาจังหวะแทรกสงสัยจะคันปาก มาเลยพวกมึง เอามาให้หนักๆ กูรู้พวกมึงรอเวลาแบบนี้มานาน ผมคาดเอาไว้แล้ว
ยังไม่ทันได้คิดต่อ เอ็มมี่ก็โพล่งถามทันทีราวกับรอต่อไปไม่ได้แล้ว
“ตกลงยังไงยะเซียน?”
“หืม? อะไรยังไงล่ะ” ผมบ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ พูดเยอะเดี๋ยวหลุด ไม่อยากถูกไอ้พวกนี้มันล้อ แต่ว่าพอตอบไปแบบนั้นดูเหมือนจะมีคนขัดใจถึงได้สวนทันทีราวกับรำคาญที่ผมยึกยักกั๊กข้อมูล
“โว๊ะ! ขี้เกียจถามละ สั่งข้าวสั่งเหล้าเหอะ กูหิวละ” ไอ้แดนพูดจบก็เหลือบมองผมทำหน้าขึงขังใส่ “อือ ถ้ามึงไม่พูดอะไรก็ไม่ต้องเอาละรูปอะ เหล้าพวกกูจ่ายเองได้”
“...!”
พูดแบบนี้ก็ช็อกสิครับ ยังไม่ทันได้อ้าปากพูดอะไรไอ้เฟยมันก็พูดตอกหน้าอีก
“เออ นั่นดิตังค์กูเต็มเป๋าเลยจะกินสักกี่โปรกันดีล่ะ ปิดดีนักไม่ต้องเอาละรูปมึงอะ”
“เฮ้ย! อะไรวะ เออๆๆ กูยอมละ ส่งรูปมาก่อนเดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง” ต้องรีบแก้ไขสถานการณ์ถ้าพวกนี้มันเสือกเอาจริงเดี๋ยวไม่ได้รูปพอดี อุตส่าห์วางแผนไว้แล้วว่าจะทำอะไรบ้าง
“เออ เล่ามา! อะไรยังไง มึงอย่าหมกเม็ดล่ะเล่ามาให้จบ พวกกูไม่อะไรหรอกกูไม่ใช่พ่อใช่แม่มึงที่ต้องมากีดกันห่าอะไรนี่ กับเพื่อนมึงจะซ่อนได้นานแค่ไหนกันเชียวทำอะไรก็ลำบาก ไม่อึดอัดรึไงวะ”
“…”
ไอ้เฟยพูดก็ถูกของมัน ผมก็ดันคิดแค่ว่ากลัวแต่พวกห่านี่มันรู้แล้วจะถูกแซวเท่านั้น สุดท้ายก็มานั่งอึดอัดคนเดียวกับการไม่บอกใคร ลืมนึกไปเลยว่าถ้าบอกพวกมันไปแล้วจะโล่งใจแค่ไหน แถมบางเรื่องไอ้พวกนี้มันอาจช่วยคิดช่วยซัพพอร์ตในการเข้าหาน้องได้เร็วกว่าจัดการคนเดียวอีกด้วย
ขณะที่กำลังครุ่นคิดและตัดสินใจอยู่ ก็ได้ยินเสียงไอ้แดนเอ่ยขึ้นมา “ไอ้เซียน มึงก็เอาอย่างไอ้เฟยดิ พามาแดกเหล้าด้วยกันเลย”
“…!”
เอ็มมี่ได้ยินก็สวนไอ้แดนทันที “มึงดูน้องเขาก๊อนนน~”
เฟยที่นั่งฟังอยู่ก็ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับเอ็มมี่ “นั่นดิ จากที่กูดูนะถ้าพาน้องเขาเข้าวัดน่าจะเหมาะกว่า แต่ประเด็นคือไอ้เซียนไปที่นั่นไม่ได้ด้วยดิ กูว่าเข้าวัดทีมีร้อนเหมือนตกนรกจำลองแน่ ฮ่าๆ”
“…”
ไอ้เฟยพูดจบหัวเราะชอบใจ ผมไม่เคยเห็นมันหัวเราะสะใจขนาดนี้มาก่อน แล้วไอ้พวกที่เหลือก็ผสมโรงเข้าไปอีก แหมไอ้พวกคนดีศรีสุนธร
“พวกมึงก็พูดเกินไป ถ้ากูอยู่นรกพวกมึงก็ขุมเดียวกับกูนั่นแหละ”
“สรุปอะไรยังไงยะ?”
เอ็มมี่จี้ถามอีกรอบ คราวนี้ผมคงต้องบอกทุกอย่างกับพวกเพื่อนแล้วล่ะ มองหาทางเลี่ยงไม่เจอเลย
“อืม... ก็ตั้งแต่ตอนนั้นแหละที่ไปกินข้าวที่ร้านเห็นน้องเขาครั้งแรกอะ กูรู้สึกถูกใจน้องเขาแบบ ถูกชะตา ก็ไม่รู้เหมือนกัน ตั้งแต่ตอนนั้นก็เลยแอบพวกมึงไปเจอน้องเขาบ่อยๆ”
“อ้อออออ! แมร่ง! มิน่าล่ะ กูชวนไปไหนก็ไม่ไปเพราะแบบนี้สินะ โว้ย! ไอ้ห่าปล่อยให้กูเหงาอยู่คนเดียว มึงใจร้ายมากนะ”
“…”
ไอ้แดนเริ่มโวยวายต่อราวกับอัดอั้น “มึงดูสิ มึงไปหาสาว ส่วนเอ็มมี่แม่งก็หิ้วไอ้เฟยหนีกูอีก กูแม่งไม่รู้จะทำห่าอะไรละ เพื่อนหายหมดทิ้งกูให้เหงาอยู่คนเดียว แทบจะจิ้มมดในถุงขนมมาเล่นเป็นเพื่อนละ”
“…”
“…”
ทุกคนรวมถึงผมพูดไม่ออก ฟังไอ้แดนโวยวายระบายความในใจ แล้วตอนนั้นจู่ๆ เอ็มมี่ก็หันมามองที่ผมอีกครั้งด้วยสายตานักสืบแล้วพูดแทรกไอ้แดนทันที
“แกจะไปหลอกทำอะไรน้องเขารึเปล่าเนี่ย?!”
“บ้า! กูจะไปทำอะไรได้วะ กูชอบจริงๆ”
“แน่ใจนะยะ! ปีที่แล้วก็แบบนี้แหละมีรุ่นน้องจากศึกษาศาสตร์คนนึงอะ ที่สวยๆ หน่อยเหมือนจะชื่อไรนะน้องเจนปะ? จำไม่ได้แล้วแฮะใช่รึเปล่า?”
เอ็มมี่ทำท่านึกไอ้แดนก็สวนขึ้นมา “เออๆ น้องเจน กูจำได้ๆ แม่งหอบขนมมาบรรณาการไอ้เซียนไม่ขาดสายเลย ทั้งเค้กเอย บราวนี่เอย มาการองเอย มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้นกูแดกจนอ้วนอะ ยังไม่พอซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมมาห้อยไว้ห้องไอ้เซียนตลอด แหม แม่เจ้าเธอเปย์หนักจริง”
“…”
ชื่อนี้ผมแทบลืมไปแล้ว บอกตามตรงจำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ราวกับเรื่องของเธอหลุดจากวงโคจรไปแล้ว
ขณะที่พยายามนึกถึงรุ่นน้องต่างคณะที่พวกเพื่อนกำลังพูดถึงก็เหมือนจะจำได้เลือนราง แล้วไอ้เฟยก็พูดขึ้นมา
“อืม... แต่กูก็ค่อนข้างรำคาญนิดหน่อยกับยัยน้องเจนคนนั้น ขนาดแม่งยังไม่ได้เป็นอะไรกันยังทำตัวหวงไอ้เซียนยังกับไข่ในหิน ดีนะที่ไม่ได้คบกัน ไม่งั้นคงได้มีตัดเพื่อนแหละกูว่า”
“มันเหมือนกันซะที่ไหนวะ? คนนั้นกูไม่ได้รู้สึกอะไรเลย แล้วนั่นน่ะน้องเขาเข้าหากูเองแต่คนนี้กูเป็นคนตั้งใจเข้าหา คนนั้นน่ะไม่ต้องพูดถึงหรอกยิ่งกูหลีกก็ยิ่งตามตื๊อ สาวๆ ที่มาเกาะแกะกูนิดหน่อยก็ไปด่าเขาหมดแม่คุณเอ๊ย เฮ้อ...” คิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว
“มึงดูขนาดไอ้เซียนยังรำคาญ” ไอ้แดนพูดจบ ไอ้เฟยก็สวนขึ้นมาอีกราวกับเก็บกดมานาน
“จะไม่ให้มันรำคาญยังไงไหววะ กูจะชวนไอ้เซียนไปเรียนด้วยกันคุณเธอยังกีดกันจะไปรับไปส่งเองอยู่ท่าเดียว แถมไล่กูให้ไปเองอีก กูคงอยากไปด้วยมากมั้ง ทั้งที่แม่งมาจากไหนไม่รู้กูขี้เกียจพูดละดีนะตอนนั้นกูกับเอ็มมี่ยังไม่คบกัน ไม่งั้นมึงเอ๊ย!”
“ทำไมยะ ทำไม?! เธอจะคั่วน้องเขาเหรอเฟย?” เอ็มมี่ถามน้ำเสียงกระชากด้วยอารมณ์ทั้งยังชักสีหน้าไม่พอใจใส่พร้อมมีเรื่องเต็มที่
“บ้าเปล่า ถ้าจะคั่วน้อง แล้วจะคั่วเธอมาทำไมมิทราบ!”
“…”
เท่านั้นแหละไอ้แดนก็แซวขึ้นมาแทบจะทันที “นี่ๆๆๆ หวานซะ แหมกูอยากเขย่าโซดาแล้วเปิดใส่พวกมึงจัง กูจะเอาให้เปียกโชกแม่งทั้งคู่เลย”
“ฮ่าๆๆๆ”
พวกเราหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ขณะนั้นเอ็มมี่ก็จ้องมาที่ผมด้วยสายตาจริงจังอีกรอบเล่นซะขนลุกทำตัวไม่ถูกเลย อะไรของยัยเอ็มมี่เนี่ย
“คนนี้เอาจริงใช่ปะ?”
“อืม! เอาจริง! กูไม่เคยมั่นใจอะไรแบบนี้มาก่อนเลย เชื่อกูสิ”
“ดี! ฉันจะช่วยอีกแรง”
“…”
พอพวกเพื่อนได้ยินคำยืนยันจากปากผม ไอ้เฟยก็พูดขึ้นมากลางวงพร้อมกับทำหน้าครุ่นคิดบางอย่าง
“จากที่กูดูน้องผ่านๆ นะ น้องเขาค่อนข้างเรียบร้อยซึ่งสวนทางกับตัวมึงมาก! หึๆ มึงแน่ใจใช่ไหม? ถ้ามาลังเลกลางคันพ่อจะล่อแม่ง ไม่ใช่อะไรกูรู้สึกสงสารน้องเขา”
“แน่ใจดิ!”
“โอเค ถ้าเพื่อนว่างั้น ว่าไงก็ว่าตามกันวะ”
“โอเค๊! ในเมื่อทุกอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว แดกเหล้ากันเหอะว่ะ กับแกล้มจะเย็นชืดหมดละ” ไอ้แดนบอก
หลังได้พูดเปิดใจระบายกับพวกเพื่อนๆ ผมนี่โคตรโล่งใจมาก! ไม่ต้องทำอะไรแอบซ่อนอีกแล้วโคตรดี
วันต่อมา...
@คณะวิทยาศาสตร์
14.00น.
ผมเพิ่งเลิกคลาสเรียนวิชาเสริม วิชาสุขภาพเพื่อชีวิต ซึ่งลงเรียนคนละตัวกับพวกเพื่อน เพิ่งจะเรียนเสร็จกำลังลงจากอาคารเรียนของคณะวิทยาศาสตร์ สายตาก็เหลือบไปเห็นคณะศึกษาศาสตร์ที่อยู่ตรงข้ามนี่เอง พอเห็นชื่อคณะที่น้องเขาเรียนหน้าน้องผ้าแพรก็ลอยเข้ามาในหัวทันที ถ้าผมเดินไปคณะศึกษาศาสตร์ตอนนี้จะเจอน้องเขารึเปล่านะ?
“…”
ไม่ต้องคิดนานเท้ามันเดินไปไวกว่าความคิดซะอีก เจอไม่เจอก็ช่างมันคณะศึกษาศาสตร์อยู่ใกล้แค่นี้เองไม่ได้เสียเวลามากหรอก เจอก็ดีไป ไม่เจอก็แค่กลับแค่นั้นเอง
เดินเข้ามาในคณะศึกษาศาสตร์สอดสายตามองไปรอบๆ เรื่อยเปื่อยเห็นแค่รุ่นน้องนักศึกษาที่เดินผ่านไปผ่านมาประปรายไม่เห็นแม้แต่เงาของน้องผ้าแพรสักนิด สายตามองหาที่นั่งเหลือบเห็นม้าหินอ่อนไม่ไกลมีโต๊ะว่างอยู่ที่นึงก็เดินไปหย่อนก้นนั่งพักทันที
ขณะที่นั่งอยู่สายตายังคอยสอดส่องมองรอบๆ ไม่หยุด ทว่าขณะนั้นเหมือนรู้สึกตัวว่ามีสายตาหลายคู่ของพวกรุ่นน้องกำลังแอบมองมาอยู่เรื่อยๆ บางครั้งก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบที่สื่อถึงผม
กูมานั่งคนเดียวตรงนี้มันดูเด่นแปลกตาขนาดนั้นเลยเหรอวะ?!
ถึงจะยังรู้สึกว่าถูกมองอยู่เรื่อยๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไร ไม่ได้คิดจะสนใจใครนอกจากน้องผ้าแพรคนเดียว
“…”
เกือบชั่วโมงที่นั่งอยู่ตรงนี้ ไม่เห็นแม้แต่เงาของน้องผ้าแพรเลย ผมจึงตัดสินใจลุกจากที่นั่งจะกลับคอนโด ขณะที่เดินทอดน่องเข้าไปในอาคารทางที่จะกลับสายตาก็เหลือบไปเห็นบอร์ดประกาศที่ติดอยู่ข้างกำแพง ผมหยุดเดินกะว่าจะอ่านเล่นๆ ฆ่าเวลาปนความอยากรู้นิดหน่อย
‘รับสมัครนักเรียน/นักศึกษาออกค่ายอาสา’
รายละเอียดมีไม่เยอะเท่าไรไปค่ายอาสาในโรงเรียนชนบทซ่อมแซมบำรุงอาคาร พาน้องๆ ด้อยโอกาสทำกิจกรรมร่วมกันและบริจาคของนิดๆ หน่อยๆ หากใครจะไปก็ให้ลงชื่อกับเบอร์โทร. เอาไว้
จริงๆ ผมก็ไม่ได้สนใจเท่าไรหรอก แค่อยากรู้ว่าค่ายแบบนี้มันมีคนไปด้วยเหรอ ไปก็ลำบากที่นอนห้องน้ำอาหารการกิน แค่คิดก็สยองละ ให้ผมไปอยู่คงอยู่ได้ไม่ถึงวัน
ด้วยความอยากรู้เลยแอบชำเลืองดูในใบลงรายชื่อที่รับสมัคร ตาก้มมองในแผ่นกระดาษ มีนักศึกษาลงชื่อไปแล้วสามสิบแปดคนเหลือที่ว่างแค่สองที่เท่านั้น แกล้งไอ้แดนกับไอ้เฟยดีไหมเนี่ย เมื่อวานทำกูไว้เยอะ หึๆ
ในขณะที่ความคิดชั่วร้ายผมปรากฏ มือที่กำลังกำปากกาเพื่อที่จะบรรจงเขียนชื่อของไอ้แดนกับไอ้เฟยลงไป ทว่าพอพินิจดูรายชื่อในใบประกาศนั้นแล้วมันมีบางอย่างที่ดูคุ้นตาผมเอามากๆ หางตามันเหลือบเห็นท้ายเบอร์โทร. ของคนๆ นึงในรายชื่อนั้น ซึ่งผมจำได้แม่นเพราะมันคล้ายกับเบอร์ของน้องผ้าแพร มีเพียงไม่กี่ตัวที่ผมยังจำไม่ได้แต่ส่วนที่เหลือผมมั่นใจมากว่าใช่ โอกาสหนึ่งในล้านแต่ก็ต้องลองพิสูจน์
หัวใจผมเต้นระส่ำ มือล้วงเข้าไปยังกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ออกมาเลื่อนดูในรายชื่อ กดไปที่ชื่อของน้องผ้าแพร 0..8..9..7..4.. นี่... ตรงหมดทุกตัว ไม่ผิดแน่
“…!”
เบอร์เดียวกัน นี่มันเบอร์โทรของน้องผ้าแพร!
ผมกลับไปอ่านชื่อจริงของเธอ จริงๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้องผ้าแพรชื่อจริงว่ายังไงแต่คุ้นเบอร์ตัวท้ายเท่านั้นเองไม่คิดว่าจะเป็นเบอร์ของเธอเลยด้วยซ้ำ
หึๆ ผมยิ้มมุมปากอ่านชื่อจริงของเธอเงียบๆ นรีนันท์
ไม่ต้องคิดให้มากความ ผมจับปากกาเขียนชื่อตัวเองลงในใบสมัครไปค่ายอาสาทันที เมื่อรู้ว่าน้องผ้าแพรก็ไปเช่นกัน ลงชื่อเสร็จแล้วก็บึ่งกลับคอนโดอย่างสบายใจ มาไม่เสียแรงเปล่าเลยคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ไปค่ายสองต่อสองกับน้องผ้าแพร จะทำอะไรดีน้า~
ขณะที่เดินออกมาจากบอร์ดประกาศก็มีน้องๆ นักศึกษาเดินมาลงชื่อต่อท้ายตามหลังคิดว่ารายชื่อน่าจะเต็มพอดี ผมเดินออกมาจากอาคารแล้ว เลยไม่รู้ว่าพวกรุ่นน้องที่เพิ่งลงชื่อกันล่าสุดนั้นกำลังมองที่ผมแล้วพากันขบขันอยู่
ความจริงที่ผมไม่รู้อีกอย่างคือ ค่ายอาสาที่ลงชื่อไปทั้งสี่สิบคนนั้น สามสิบเก้าคนอยู่คณะศึกษาศาสตร์ทั้งหมดมีแค่ผมคนเดียวที่เรียนอยู่คณะบริหารธุรกิจ และที่สำคัญมันเป็นค่ายของปีหนึ่ง