#Zian Part
@ZCondo
Rrrrr!
“…!”
กำลังงีบเพลินๆ เสียงโทรศัพท์มันดังขึ้นมา น่ารำคาญหูชะมัดจนต้องคว้าไปกดรับสายอย่างหงุดหงิด แม่งใครโทร. มาตอนงีบอยู่วะ?!
[สวัสดีค่ะ นักศึกษา ‘ธราเทพ’ รึเปล่าคะ?]
“ครับ”
[เป็นเจ้าหน้าที่ประสานงานจากกองกิจการคณะศึกษาศาสตร์ค่ะ]
ผมได้ยินแบบนั้นก็รีบดีดลุกจากเตียง เจ้าหน้าที่น่าจะโทร. มาเกี่ยวกับที่ลงชื่อไปเข้าค่ายอาสาเมื่อวานแน่นอน
“อ้อครับ”
[ค่ะ โทร. มาแจ้งเรื่องวันเวลาการเดินทางนะคะ พรุ่งนี้หกโมงเช้ารถจอดรอที่หน้าตึกคณะศึกษาศาสตร์นะคะ รบกวนนักศึกษามาให้ตรงเวลาด้วย]
“ได้ครับ ขอบคุณมากครับ”
เพิ่งวางสายจากเจ้าหน้าที่ไปไม่นอนต่อมันละ ออกไปหาซื้อของเตรียมเดินทางเลยดีกว่า พรุ่งนี้จะได้เห็นหน้าน้องผ้าแพรแล้ว แถมยังไปเข้าค่ายด้วยกันหลายวันอีก แค่คิดก็ตื่นเต้นละผมนี่รีบไปแต่งตัวอย่างไว ตื่นเต้นจะออกไปซื้อของสำหรับเข้าค่ายวันพรุ่งนี้
มาถึงห้างเดินหารถเข็นไปโซนขนมเห็นขนมอะไรน่ารักๆ หน่อยก็คว้าใส่รถเข็นหมดซื้อมาซะเยอะเลือกไม่ถูกเลยไม่รู้ว่าน้องผ้าแพรจะชอบไหมนะ พอมาคิดๆ ดูแล้วค่ายที่ไปก็ดันอยู่ใกล้ป่ายุงน่าจะชุม ผมเดินหาไม้ช็อตยุงทันทีมีไว้ก็ดีเผื่อน้องถูกยุงกัด นอกจากนั้นยังเดินไปร้านขายยาซื้อพวกยาแก้ปวด แก้ไข้ ยาดมพกไปเผื่อด้วยกลัวว่าระหว่างเดินทางถ้าน้องป่วยขึ้นมาจะไม่มียากิน เดินดูของอีกนิดหน่อยได้ที่ต้องการแล้วก็กลับคอนโดทันที
@คณะศึกษาศาสตร์
05.40น.
กว่าจะพาตัวเองมาถึงที่นี่ได้ ไม่ง่ายเลยโคตรง่วงนอนแถมมาก่อนเวลาหลายนาทีฟ้ายังไม่สว่างด้วยซ้ำมาถึงเห็นรถจอดอยู่สองคันหน้าตึกศึกษาศาสตร์มีรถตู้ รถบัส นี่คงเป็นรถที่จะไปค่ายอาสานั่นแหละ เห็นรถแล้วเหลือเห็นคนไม่รู้ว่าน้องเขามาถึงรึยัง ตากวาดมองไปรอบๆ เริ่มเห็นนักศึกษาทยอยกันมา แต่ละคนดูไม่คุ้นหน้าเลยแฮะ ดูแทบไม่ออกว่าเป็นนักศึกษาปีไหนหรือเรียนคณะอะไรกันอยู่
ขณะที่ยืนมองเพื่อนๆ นักศึกษาอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างเล็กที่กำลังเดินมาทางผม เห็นแล้วก็อมยิ้มเงียบๆ ไม่กล้าเดินเข้าไปทักทาย ระหว่างนั้นที่น้องผ้าแพรกำลังจะเอาสัมภาระไปเก็บที่รถ เห็นเธอมองมาที่ผมแวบนึงดูอึ้งอยู่เล็กน้อยและเธอก็เดินมาหา
“…”
“พี่เซียนสวัสดีค่ะ เจอกันอีกแล้วนะคะ พี่มาทำอะไรที่นี่เหรอคะ?” เธอถามพร้อมกับทำหน้าสงสัยอย่างจริงจัง แล้วสายตาของเธอก็เหลือบมองสัมภาระของผมอยู่ด้วย
“อ้อพี่มาเข้าค่าย”
“คะ? ไปค่ายงั้นเหรอคะ หนูก็จะไปค่ายเหมือนกันค่ะ คณะพี่เซียนก็ไปค่ายด้วยเหรอคะ?”
ได้ยินคำถามนี้ผมก็เลยชี้ไปที่รถบัสตรงหน้าแล้วหันมายิ้มให้กับคนขี้สงสัย
“อ้อ! ไปค่ายนี้แหละ พอดีพี่ลงชื่อไว้” พูดแล้วก็อดยิ้มกับตัวเองเสียไม่ได้น้องคงคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญอีกแล้วสินะ หึๆ
ทว่าพอบอกไปแบบนั้นน้องดันทำหน้าแปลกใจ ขมวดคิ้วสงสัยหนักกว่าเดิมอีก
“เอ๊ะ? ค่ายอาสา ไปกับหนูเนี่ยเหรอคะ?”
ผมพยักหน้าสีหน้าภูมิใจ “อื้ม~ ช่าย พี่ไม่รู้ว่าน้องผ้าแพรก็ไปด้วยนะเนี่ย ดีเลยไปด้วยกันเผื่อมีอะไรที่พี่ช่วยได้จะได้ช่วยกัน”
“แต่ว่า… พี่เซียนคะ ค่ายนี้มันค่ายเก็บประสบการณ์ของปีหนึ่งไม่ใช่เหรอคะ?”
“…!”
ฮึ่ย! เอาแล้วกู! ก็ไม่ได้อ่านเหี้ยอะไรก่อนซะด้วยสิ
“แล้วอีกอย่าง เอ่อ... มันเฉพาะคณะศึกษาศาสตร์รึเปล่าคะ?”
“…!”
“เอ๊ะ! รึจะไปกันหมดหนูก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“…”
ยิ่งเธอพูดผมยิ่งช็อกหนักจนพูดไม่ออก ยิ่งเห็นสีหน้าสงสัยของเธอ ผมก็รู้สึกว่าต้องพยายามเค้นหาคำตอบดีๆ เพื่อที่จะไม่ทำให้เธอจับได้ว่าผมปิดบัง
ว่าจริงๆ แล้วผมนั้นแอบตามเธอมา แต่ดูเหมือนว่าหัวสมองผมตอนนี้มันตื้อไปหมด! คิดอะไรไม่ออกเลย
เอาไงดีวะอายว่ะ! แม่งจะเดินหนีไปดื้อๆ ตอนนี้ดีไหมวะหน้าแตกยับเยิน เอ้อ! กูพลาดเองไม่อ่านดีๆ ไอ้เซียนเอ๊ย อายเขาไหมล่ะมึง!
ขณะที่กำลังครุ่นคิดกับตัวเองน้องผ้าแพรก็พูดขึ้นมา “อาจารย์มาพอดีเลยค่ะ”
“…!”
เวรแล้วไหมล่ะกู แม่งเผ่นดีกว่า!
ทว่าขณะที่กำลังตัดสินใจจะหนี อาจารย์ที่น้องเรียกเมื่อสักครู่นี้ก็ได้มายืนอยู่ข้างผมจะหนีไปตอนนี้ก็ไม่ทันซะแล้ว
“...!”
“ว่าไงนรีนันท์?”
“...”
ผมยืนมองอาจารย์ผู้หญิงร่างท้วมผมสั้นประบ่า วัยกลางคนกำลังพูดกับน้องผ้าแพรอยู่ไอ้เรายืนฟังเงียบๆ ไม่พูดอะไร
“อาจารย์คะ คือว่าเอ่อ... พี่เขาอยู่คณะบริหารธุรกิจค่ะ แล้วพี่เขาจะไปค่ายกับพวกเราเห็นบอกว่าลงชื่อแล้วด้วย แต่ว่าค่ายนี้เฉพาะศึกษาศาสตร์ปีหนึ่งรึเปล่าคะ?”
อาจารย์เหลือบมองมาที่ผมทำหน้างงแวบนึง แล้วหันไปตอบคำถามน้องผ้าแพร
“อ่า ใช่ค่ายของศึกษาศาสตร์ปีหนึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิชาหลักให้พวกเราเก็บประสบการณ์ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอกดีซะอีกมีผู้ชายเพิ่มเข้ามาสักคนจะได้ช่วยกันยกของยกนั่นนี่ด้วย” พอพูดจบก็หันมายิ้มให้ผม “ไปด้วยกันนี่แหละเนาะ”
ได้ยินแบบนั้นคงต้องตามน้ำไปก่อนแล้วล่ะ “ครับผม”
ดีเลยนั่นแปลว่าผมไม่ได้มาเสียเวลาเปล่า คุณยังได้ไปต่อนะคร้าบ เรื่องน่าอับอายช่างมันไปก่อน คุยตกลงกับอาจารย์คณะศึกษาศาสตร์เสร็จกำลังจะแยกตัวไปเก็บของขึ้นรถ ทว่าขณะที่กำลังจะเดินไปทางรถบัสนั้นสายตามันเหลือบเห็นนักศึกษาชายหน้าตาดูดีหน่อย ดูจากท่าทางและใบหน้าคิดว่าน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกำลังเดินมาทางผม เห็นแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรมากหรอก
“พี่นเรศสวัสดีค่ะ”
“...!”
เท่านั้นแหละทั้งที่ไม่ได้สนใจอะไรแต่พอได้ยินเสียงน้องผ้าแพรทักทายเป็นกันเอง เท้ามันดันหยุดเดินอัตโนมัติเลย ไม่เพียงแค่นั้นสายตายังเฝ้ามองทั้งคู่คอยแอบสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ อะไรยังไงวะเนี่ย?!
“ครับ น้องแพรมาแต่เช้าเลยนะ”
คิ้วเริ่มขมวดเป็นปมเมื่อได้เห็นสีหน้าระรื่นของมันที่กำลังทักทายน้องผ้าแพร เห็นแล้วมันรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าไรแฮะ เอะ! รึว่าผมคิดมากเกินไปนะ?
“...”
ดูเหมือนน้องจะยิ้มกลับเป็นมารยาทเท่านั้น เหมือนตอนที่ผมไปกินข้าวที่ร้านน้องไม่มีผิด
“ค่ะ งั้นหนูขอตัวไปเก็บของก่อนนะคะ” พอน้องพูดจบก็เดินไปทางรถบัสทันที ดูท่าทีไม่ได้สนใจไอ้หมอนี่สักเท่าไร ซึ่งนั่นก็ดีรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยๆ
หลังจากที่เธอเดินไปได้ไม่นาน ผมที่ยังอยู่ที่เดิมกำลังมองไอ้หมอนี่อยู่ไม่ได้ละสายตาไปไหนราวกับเฝ้ามองศัตรูอะไรแบบนั้น บอกตามตรงว่าไม่ถูกชะตาเท่าไร เห็นมันเดินไปทักทายอาจารย์ที่คุยกับผมก่อนหน้านี้
“อาจารย์ครับ สวัสดีครับ” อาจารย์รับไหว้มันก็พูดต่อ “ตอนนี้รถพร้อมแล้วครับอาจารย์ คนก็เริ่มทยอยกันมาแล้วเหลือน้องๆ ไม่กี่คนที่ยังมาไม่ครบ”
“โอเค งั้นนเรศดูน้องนะอาจารย์ก็จะไปด้วยนี่แหละแต่อาจจะดูไม่ทั่วถึงนะ แล้วจำนวนเรามีทั้งหมดเท่าไรล่ะ?”
“เอ่อ... น้องปีหนึ่งสี่สิบคน แล้วก็ทีมงานปีสามของพวกผมอีกห้าคนแล้วก็อาจารย์อีกหกคนครับ อาจารย์กับปีสามจะนั่งรถตู้ไปครับ ส่วนปีหนึ่งจะให้นั่งอยู่รถบัสกับคนที่จะขนของ”
“อ้าวเหรอ ทำไมน้องปีหนึ่งไม่มีคนดูเลยล่ะ?”
ได้ยินแบบนั้นผมก็เดินไปหาอาจารย์ทันที “อาจารย์ครับเดี๋ยวน้องปีหนึ่งผมช่วยดูเอง”
ไอ้คนที่ชื่อนเรศหันมามองที่ผมด้วยสีหน้าประหลาดใจ “อ้าว! ไม่ทราบว่าเป็นใครเหรอครับเนี่ย?” มันถามแล้วหันไปมองอาจารย์อย่างสงสัย “คนติดตามอาจารย์เหรอครับ?”
อาจารย์รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “อ้อ เปล่าๆ เขาลงชื่อมาด้วย”
“อ้อครับ”
“...”
พอมันได้คำตอบก็หันมามองผมอีกรอบ อะไรนักหนาวะ
“เรียนอยู่ปีไหนครับ?”
“ผมปีสามครับ” ตอบมันไปแบบนั้นมันดันทำหน้าสงสัยกว่าเดิมอีก “ปีสามเหรอ? ทำไมผมไม่คุ้นหน้าเลยล่ะ?”
“ผมเรียนบริหารธุรกิจครับ”
“บริหารธุรกิจ? อ้าว! ค่ายครั้งนี้เราไปแค่ศึกษาศาสตร์นะครับคณะอื่นไม่ได้เกี่ยว”
อ้าวไม่เวรนี่! สงสัยอยากมีเรื่อง
ขณะที่ผมมองหน้ามันคิดอยู่ว่าจะเอาไง อาจารย์ของคณะศึกษาศาสตร์ก็เดินมาตรงกลางอย่างกับมาห้ามศึกอย่างนั้นแหละ แล้วอาจารย์ก็มองไปที่มัน
“ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวไปด้วยกันนี่แหละมีอะไรจะได้ช่วยกันก็ลงชื่อไว้แล้วนี่”
เออแม่ง! อาจารย์คณะนี้ก็พูดดีนะแต่ทำไมลูกศิษย์ปากแจ๋วนักวะ ได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้นผมก็ตอกหน้ามันทันที แม่งหมั่นไส้ว่ะ!
“อาจารย์อนุญาตให้ไปด้วยแล้วนี่ครับ แล้วอีกอย่างก็คือ ผมลงชื่อเข้าร่วมแล้วที่จริงก็ไม่ได้อ่านรายละเอียดอะไรมากมายหรอกก็แค่อยากไปช่วย ไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไรเจ้าหน้าที่ที่ติดต่อมาก็ไม่เห็นจะว่าไงนะครับ ไม่งั้นผมจะเตรียมตัวมาได้เหรอถ้ามันมีปัญหา?”
“...”
เห็นสีหน้าไม่พอใจของมันแม่งกูหงุดหงิดว่ะ ต่อยแม่มดีมะ!
“ไม่เป็นไรๆ ไปด้วยกัน” อาจารย์บอกผมแล้วหันไปหาไอ้คนที่ชื่อนเรศอีกรอบ “อะ... ไปนเรศงั้นก็ขึ้นรถตู้พาอาจารย์คนอื่นล่วงหน้าไปก่อน เดี๋ยวอาจารย์จะดูน้องๆ เอง”
“...”
“ครับ?!”
เห็นสีหน้ามันตื่นตะลึงดูร้อนรนแปลกๆ อย่างกับว่าไม่อยากไปนั่งรถตู้อย่างนั้นแหละ แล้วสักพักมันก็ดันแย้งขึ้นมาจริงๆ “อาจารย์ครับตอนแรกผมว่าจะนั่งไปกับน้องๆ จะได้มีรุ่นพี่ไว้คอยคุมคอยดูแลด้วย อาจารย์ไปนั่งรถตู้ก็ได้นะครับ”
อาจารย์ส่ายหน้ารัวๆ แสดงเจตนาชัดเจน “ไม่เป็นไรหรอกเราก็คอยดูแลอาจารย์คนอื่นบนรถนั่นแหละ คอยดูคอยประสานงาน”
ผมยืนฟังแสยะยิ้มนิดๆ สะใจชะมัด แล้วอาจารย์ก็มองมาที่ผมพอดีเห็นรอยยิ้มเมื่อกี้รึเปล่าไม่รู้นะแต่ช่างเถอะไม่สนโว้ย!
“เนี่ยเดี๋ยวจะไปกับ... ชื่ออะไรนะเราอะ”
“อ้อ ผมธราเทพครับ”
“งั้นธราเทพไปกับอาจารย์”
“ครับๆ”
โอเคเลยเข้าทางกู หึๆ
“…”
ตกลงกันได้แล้วเห็นมันเดินคอตกไปทางรถตู้ ผมก็เลิกสนใจมัน เดินจะไปเก็บสัมภาระตัวเองไว้บนรถ พอขึ้นมาก็มองไปรอบๆ กะว่าจะเนียนนั่งกับน้องซะหน่อย มองปราดเดียวเห็นละว่านั่งติดริมหน้าต่างแถวสอง เท้ามันกำลังเดินไปหาอย่างตื่นเต้น
ทว่าจู่ๆ ก็ถูกมือใครไม่รู้คว้าหมับเข้าที่หัวไหล่
“…!”
“เดี๋ยวก่อน... ธราเทพ นี่มาช่วยยกของก่อนมา เนี่ยผู้ชายแรงเยอะๆ นี่”
ผมนี่ยิ้มแห้งเลย อาจารย์นะอาจารย์
“ครับอาจารย์”
ได้แต่มองที่ว่างข้างน้องผ้าแพรตาละห้อย ไม่รู้เลยกลับมาจะยังมีที่ว่างเหลืออยู่รึเปล่า
พอลงจากรถเท่านั้นแหละก็เริ่มขนของขึ้นรถกับพวกน้องนักศึกษาผู้ชาย สิ่งของที่ขนขึ้นรถมีทั้งกลองชุด กล่องขนม กล่องหนังสือสมุดที่เอาไว้แจกมีแต่ของหนักๆ ทั้งนั้น
โอ้ว... แบกไปขนาดนี้เรียนได้ถึงสิบปีเลยมั้งเนี่ย!
ใช้เวลาสักพักเลยแหละกว่าจะขนของทั้งหมดจนเสร็จเล่นซะแทบหมดแรง กำลังจะขึ้นรถคาดหวังในใจไว้แล้วว่าที่นั่งข้างน้องผ้าแพรยังจะว่างอยู่
เรียบร้อย! อื้อฮือ!
เต็ม! ไม่ต้องพูดถึงที่นั่งข้างน้องผ้าแพร ไม่มีเหลือ! สายตามองหาที่ว่างเห็นแล้วถึงกับเผลอร้องโอ้โหออกมา หลังสุดเลย! ของเต็มด้วย
ระหว่างทางจะเดินไปนั่งหลังสุด เหมือนเห็นสายตาน้องๆ มองมาที่ผมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่ผมดันไม่ได้รู้จักใครเลยสักคนเดินไปแบบไม่ได้สนใจอะไร ก็มีเสียงกระซิบกระซาบตามหลังมา จะแกล้งไม่ได้ยินก็คงไม่ได้เพราะพวกรุ่นน้องกำลังพูดถึงผมอยู่
‘นั่นๆ พี่เซียนนี่ สุดหล่อบริหารธุรกิจรึเปล่า? ทำไมพี่เค้ามาได้อะ’
‘อุ๊ย สุดหล่อบริหารธุรกิจ ดีจังในค่ายมีหนุ่มหล่อมาด้วย’
‘หืมม มีรุ่นพี่หล่อๆ จากคณะอื่นมาด้วยเหรอ’
‘เฮ้ย... ค่ายเราไปแค่คณะศึกษาศาสตร์ไม่ใช่เหรอพี่เขามาไงเนี่ย’
‘เออน่า ดีแล้วไม่ใช่เหรอเจริญหูเจริญตาออก’
‘พี่เขาหล่อจังอะ ไม่มีแฟนจริงดิ’
แม่งนินทาเหมือนกูไม่ยืนอยู่ตรงนี้ กูก็เขินอายเป็นนะโว้ย!
ผมเดินไปนั่งหลบมุมด้านหลังสุดที่จริงที่นั่งตรงท้ายมันนั่งได้เกือบห้าคนแต่ตอนนี้มันเหลือที่ว่างแค่ที่เดียวเพราะข้างๆ เนี่ยคือของวางเต็มไปหมด ผมนี่เหมือนเด็กเฝ้าของอะตอนนี้
มองของแต่ละอย่าง แม่งจะหล่นทับหัวกูไหมเนี่ย สภาพ!
ขณะที่กำลังกลุ้มใจเหมือนได้ยินเสียงคนขับสตาร์ทเครื่องยนต์
แอ๊ดๆๆๆ
“...!”
เหี้ย! กูคงไม่ได้ลงไปเข็นรถกลางทางหรอกใช่ไหม?! แม่ง! เปลี่ยนใจกลับตอนนี้ทันไหมวะ?
#Dan Part
12.20น.
@ZCondo
ผมตั้งใจมาหาไอ้เซียนที่ห้องว่าจะรับมันไปกินข้าวด้วยกันซะหน่อย แต่พอเดินมาหยุดที่หน้าประตูแม่ง เปิดคีย์การ์ดเข้าไป ไอ้ห่านี่ไม่อยู่ ไปไหนของมันวะ?!
ออกมายืนอยู่หน้าห้องแป๊บนึงก็ยกหูโทรศัพท์กะว่าจะโทร. ถามว่ามันอยู่ไหน
‘เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’
“...!”
“ฮั่นแนะ! ไอ้นี่ มันต้องไปเฝ้าร้านน้องเขาแน่ๆ”
ผมเลิกโทร. หามันเปลี่ยนเป็นโทร. หาไอ้เฟยแทนเรื่องนี้ทุกคนต้องรู้ ไม่ได้การแล้วต้องเรียกรวมพล!!
โทร. หาไอ้เฟยแป๊บเดียวมันก็รับสายแทบทันที
[เออ ว่าไงวะ?]
“เฮ้ยๆๆ ไอ้เซียนไม่อยู่ห้องเว้ย โทร. ไปก็ไม่ติด ชัวร์ กูว่าเวลานี้ชัวร์! มันต้องไปสิงอยู่ร้านโจ๊กแน่ ตามไปๆ มึงรออยู่นั่นนะเดี๋ยวกูไปรับจะได้ไม่ต้องเอารถไปหลายคัน”
[เออๆ]
@สวนสาธารณะตรงข้ามร้านโจ๊ก
หลังจากนั้นไม่นานผมก็ลากไอ้เฟยกับเอ็มมี่มาถึงสวนสาธารณะจอดรถซะไกลจากร้านโจ๊กพอสมควรกำลังจะพากันลงรถไอ้เฟยก็พูดขึ้นมา
“ไอ้แดน มึงนี่หาเรื่องสนุกได้ทุกวี่ทุกวันนะ”
“อ้าว แล้วมึงอยากรู้เหมือนกูไหมล่ะ?”
“เออ กูอยากรู้นี่แหละถึงได้ตามมึงมา” ไอ้เฟยพูดจบเอ็มมี่ก็สวนขึ้นมา
“เฟย มี่หิวแล้วอะเราเข้าไปกินข้าวกันเลยมะ?”
“ไม่ได้ดิ ต้องดูไอ้เซียนก่อนอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่นเราต้องดูมันก่อน ดูมันกินถ้ามันอยู่ตรงนั้นเราก็เข้าไปจ๊ะเอ๋มัน เอาให้แมร่งช็อกหน้าหงายไปเลย แหม! ไม่ทันไรก็แอบมาอีกละ มาก็ไม่บอกซะด้วย”
ขณะที่ไอ้เฟยกำลังวางแผนผมก็ยกโทรศัพท์โทร. หาไอ้เซียนอีกรอบดูว่าคราวนี้มันยังปิดเครื่องอีกรึเปล่า
“ฮั่นแนะ ปิดเครื่อง! เดี๋ยวมึงเจอกูไอ้เซียน เดี๋ยวมึงเจอกู”
พอพากันลงจากรถไอ้เฟยก็บ่นทันที “ไอ้แดนไมมึงมาจอดรถไกลจังเลยวะ”
“เอ้ามึงจะบ้าเหรอ มาสืบนะเว้ย ไม่ต้องห่วงกูมีไอเท็ม”
ผมเปิดท้ายรถหยิบเอากล้องส่องทางไกลมาอวด แล้วใช้ส่องไปที่ร้านโจ๊กทันที
“ไม่เห็นว่ะ ไอ้เซียนไม่อยู่ว่ะ”
“มึงลองมองรอบๆ ดิ๊”
“ไม่มีว่ะ พลาดแล้วว่ะ เชี่ย! มันผิดจากที่กูเดาได้ไงวะ”
“อะไม่เห็นก็ไม่เห็น จบ! เฟยมี่หิวแล้วงั้นเราก็ไปกินร้านนี้กันเถอะ”
ได้ยินที่เอ็มมี่พูดผมนี่แทบจะร้องไห้แล้ว “มึงพากูกินอย่างอื่นดีกว่าไหม คือกูกินโจ๊กมาเป็นอาทิตย์แล้วนะ กวยจั๊บกูก็กินมาเป็นอาทิตย์แล้วจากตู้เย็นไอ้เซียนมัน มึงไม่เป็นกูไม่รู้หรอก ไปกินอย่างอื่นเถอะถือว่ากูขอล่ะ!”
กูกินจนเอียนกินต่อได้มีอ้วกอะ
“โอ๋ๆ แดนผู้น่าสงสาร งั้นไปกินชาบูปะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
“ไป๊!”
Dan End