14
Chapter XIV: พระเอกจัดไหมล่ะกู
#Zian Part
@จุดพักก่อนถึงค่ายอาสา
เกือบ ๆ ห้าชั่วโมงที่ผมนั่งอยู่บนรถบัสเมื่อยตูดแทบแย่ เส้นทางจากกรุงเทพฯ มาถึงกาญจนบุรีไม่คิดว่าการมาค่ายอาสาจะเดินทางมาไกลกันขนาดนี้ ก่อนมาไอ้เราก็ไม่ได้อ่านรายละเอียดอะไรด้วยสิ ในหัวคิดแค่ว่าค่ายนี้มีน้องผ้าแพรเข้าร่วมเลยแอบตามมาก็เท่านั้น
มาถึงจุดหมายทุกคนก็เริ่มทยอยลงจากรถ ผมก็ได้แต่นั่งมองเงียบ ๆ ให้พวกรุ่นน้องเดินลงไปก่อน พอเห็นลงไปเกือบหมดผมค่อยยกตูดลงตามไปเท้าแตะโดนพื้นดินรู้สึกโล่งใจมาก ๆ หายใจสะดวกไม่ต้องนั่งทรมานบนรถบัสเก่า ๆ อีกต่อไป
สูดอากาศเข้าเต็มปอดลึก ๆ บิดขี้เกียจอีกหน่อย ระหว่างนั้นเห็นอาจารย์สาวร่างท้วมเดินมาตรงกลางที่นักศึกษากำลังยืนคุยเล่นกันอยู่ แล้วอาจารย์ก็พูดขึ้นมาเสียงดังแทบจะตะโกน
“เอาล่ะนักศึกษานั่งพักให้หายเหนื่อยกันก่อนแล้วเตรียมเก็บของขึ้นเขา เช็กดูสัมภาระตัวเองให้เรียบร้อยเพราะโรงเรียนที่เราจะไปค่ายอยู่บนเนินเขาระยะทางเกือบหนึ่งกิโลเมตรก็ถึงจุดหมายแล้ว เดินเท้าเท่านั้นรถขึ้นไม่ได้และนักศึกษาชายต้องเป็นฝ่ายแบกของ”
“…!”
ได้ยินแบบนั้นก็ช็อกสิครับ! นึกว่ามาถึงจุดหมายแล้ว ที่ไหนได้นี่มันเพิ่งเริ่มต้นต่างหาก!
เฮ้อ... บ่นไปก็แค่นั้นในเมื่อทำอะไรไม่ได้ผมรีบเดินไปดูของก่อนใครอย่างน้อยก็เลือกได้ว่าจะแบกอะไร เอาที่เบาที่สุดก่อนละกันวะ
“...!”
อุตส่าห์มาถึงก่อนใครและเล็งไว้แล้วว่าจะแบกอะไร แต่... น้องผ้าแพรดันยืนอยู่ตรงจุดวางของพอดี แถมเธอยังมองมาที่ผมอีกด้วย!
“…”
“พี่เซียนจะยกอันไหนเหรอคะ เดินมาก่อนเพื่อนเลยนะ”
เหงื่อซึมออกเลยจะเอาของที่เบาสุดก็ยังไงอยู่ “อ้อ พี่มาเดินดูของว่ามีเยอะรึเปล่าอันไหนที่เบา ๆ เดี๋ยวค่อยให้พวกน้อง ๆ เลือกไปก่อน เหลืออันไหนที่มันหนัก ๆ ยกไม่ไหวเดี๋ยวพี่ค่อยขนขึ้นไปครับ”
พระเอกจัดไหมล่ะกู
“…”
ขณะที่พูดอยู่ไม่รู้เลยว่าอาจารย์สาวเดินตามหลังมาแล้วมองมาด้วยสายตาชื่นชม “เยี่ยม ๆ แบบนี้ค่อยคุ้มค่าให้มาด้วยหน่อย”
“…”
หลังจากที่ผมเพิ่งถูกชมเห็นอาจารย์หันไปมองพวกปีสามศึกษาศาสตร์ที่กำลังเดินมายกของ “พวกปีสามผู้ชายน่ะ ช่วยกันขนของหนัก ๆ ตามน้องไปนะ”
“…”
หลังจากนั้นพวกรุ่นน้องรุ่นพี่ก็ต่างยกของกันคนละไม้ละมือ ผมมองดูแล้วรู้สึกใจชื้นขึ้นมา สมกับเป็นค่ายอาสาใครช่วยขนอะไรได้ก็ช่วยขนกันไป ไม่นับรุ่นน้องรุ่นพี่หรือแยกชายหญิง ตอนแรกยอมรับว่าเกือบร้องนึกว่าจะได้หอบของคนเดียวปีนขึ้นเขาแล้วซะอีก
เห็นแต่ละคนเดินทยอยขึ้นเขาไปตามทางเดินตอนนี้เหลือไม่กี่คนแล้ว มีผม กับไอ้คนที่ชื่อนเรศรุ่นพี่ที่ผ้าแพรเพิ่งทักทายไปเมื่อเช้า
“...”
ผมเห็นมันวุ่นอยู่กับการหอบข้าวหอบของขึ้นบนบ่าพะรุงพะรัง ส่วนมากเป็นอุปกรณ์ทำครัว หม้อ กระทะ อะไรเทือกนั้น มองผ่าน ๆ ไม่ได้สนใจอะไรมากมายถ้ามันไม่ได้มองกลับมาแล้วทำท่าจะพูดกับผมน่ะนะ
“นี่นาย แบกส่วนที่เหลือแล้วกันนะ”
ผมปรายตามองของที่เหลือตามที่มันบอก มองเผิน ๆ เหมือนหมอนใบนึงท่าทางน่าจะเบา ไม่นึกว่ามันจะเป็นคนดีกว่าที่คิด
“อือ”
ตอบมันไปก็เห็นมันเดินไปไกลแล้ว ผมเดินเข้าไปใกล้หมอนใบนั้นเพื่อจะถือขึ้นตามไป
“…!”
แค่จับเท่านั้นแหละยังไม่ทันยกขึ้นบ่า มันรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่เป็นมิตรเอาซะเลย เหมือนติดอะไรอยู่ เลยเหลือบไปดูว่าติดอะไรทำไมยกไม่ขึ้น
“แมร่งเล่นกูแล้ว! นี่มันกระสอบข้าว! ไอ้ห่า ข้าวสิบกิโล! เหลือกูคนเดียวด้วยเข่าอ่อนเลยไหมล่ะกู!”
@ค่ายอาสา
ถึงแล้ว! ถึงสักที! ตาย ตายวันนี้แหละกู ขนาดเข้าฟิตเนสมาบ้างยังไม่เคยเหนื่อยอะไรเท่านี้ สงสัยเพราะก่อนหน้านี้แดกเหล้าเข้าไปเยอะร่างกายไม่ค่อยฟิตเหมือนเดิม ถึงค่ายแทบหมดแรงได้แต่บ่นพึมพำแล้ววางกระสอบข้าวสารที่แบกมาอย่างทุลักทุเลตลอดทาง ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นหายใจหอบเหนื่อย เหงื่อท่วมเต็มตัว
พอได้นั่งพักก็เพิ่งสังเกตโรงเรียนที่อยู่ตรงหน้าที่ทางคณะศึกษาศาสตร์จัดค่ายอาสาขึ้นมา สภาพโรงเรียนนั้นดูเก่าและทรุดโทรมไปมากแทบไม่เหมือนโรงเรียนที่ใช้ทำการเรียนได้ซะด้วยซ้ำ เพิ่งเคยเห็นอะไรแบบนี้ ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเด็ก ๆ ก็หันไปมองดู เด็กตัวเล็ก ๆ หลายคนสวมชุดมอมแมมไม่มีรองเท้าวิ่งเล่นหัวเราะท่าทางสนุกสนาน และยังเห็นนักศึกษาที่ขึ้นเขามาก่อนหน้ากำลังจัดเตรียมสถานที่ เตรียมจัดของ ดูวุ่นวายกันทุกคน
“…”
ผมคิดว่าตัวเองควรนั่งพักพอแล้ว ถึงตอนนี้จะเหนื่อยแทบตายก็ตามเถอะแต่ก็ไม่ควรมานั่งอู้อยู่ที่นี่คนเดียว ลุกขึ้นกำลังจะเดินไปหาพวกน้องนักศึกษาจะไปช่วยงานแต่ว่าก็ต้องหยุดเดินโดยอัตโนมัติ เพราะอยู่ ๆ ไอ้นเรศมันโผล่มาตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่หน้าผมแล้ว
“…”
“นายอะพักก่อนก็ได้นะ ท่าทางไม่ค่อยมีแรงแล้วนี่” มันพูดจบก็เดินไปยกกระสอบที่ผมเพิ่งแบกมาเดินไปหาอาจารย์สาวร่างท้วมคนเดิม
“…”
อะไรของมันวะ?!
ได้แต่สงสัยไม่ได้ใส่ใจอะไรกำลังจะเดินไปทางพวกรุ่นน้องหางานทำ แล้วก็ได้ยินเสียงมันร้องบอกอาจารย์ที่เพิ่งพูดถึง
“ข้าวสารมาแล้วครับอาจารย์ ไม่คิดว่าจะช้าขนาดนี้ ขอโทษที่ให้รอครับ”
“อ้อ ดี ๆ นึกว่าจะไม่มีคนขนขึ้นมาซะแล้ว เอ้า ๆ ฝ่ายคนครัวเอาข้าวไปหุงหน่อย ก่อไฟกันรึยัง?”
“เรียบร้อยแล้วครับอาจารย์ เดี๋ยวผมอำนวยความสะดวกให้ครับ”
“…”
โฮ่! เอาหน้ากันด้าน ๆ แบบนี้เลยเหรอวะ เห็นสภาพไอ้นเรศทำตัวแล้วได้แต่ส่ายหัวแล้วเลิกสนใจมัน เดินไปหาพวกรุ่นน้องแล้วเพิ่งคิดได้
น้องผ้าแพรอยู่ไหนหว่า? ขึ้นเขามายังไม่เจอเธอเลย
ก่อนจะทำงานจริงจังขอมองหน้าให้หายคิดถึงหน่อย ผมเดินตามหาน้องผ้าแพรตามกลุ่มพวกรุ่นน้องผู้หญิงเดินไม่นานก็เห็นร่างบอบบางเดินวุ่นอยู่แถวด้านหลังอาคารไม้เก่า ๆ เห็นน้องกำลังเตรียมจานชามกับนักศึกษาหญิงคนอื่น ๆ อยู่
ในระหว่างที่กำลังเดินไปหา เพื่อที่จะได้เห็นหน้าแล้วก็อยากทักทายน้องผ้าแพรสักหน่อย จู่ ๆ ก็มีมือยื่นมาแตะที่หลังผมเบา ๆ
“…”
ใครมันมาขัดจังหวะอี้ก?! พอหันไปมองเห็นน้องนักศึกษาผู้ชายท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ทำท่าเหมือนมีอะไรจะพูดด้วย
“...?”
“ใช่พี่เซียนรึเปล่าครับ?”
“อ่า ครับ มีอะไรรึเปล่าครับน้อง?”
“พี่นเรศให้ผมมาบอกพี่เซียนให้พาพวกกลุ่มผู้ชายไปลุยงานซ่อมแซมน่ะครับ เครื่องมืออยู่ตรงนั้นหมดแล้ว”
“ฮะ?!”
เชี่ย! อะไรวะ?!
ผมนี่อึ้งไปพักใหญ่เลย รู้ตัวอีกทีรุ่นน้องคนนั้นก็ไม่อยู่ตรงนี้แล้ว แถมในมือข้างนึงยังถือค้อนอยู่ในมืออีก มาตอนไหนวะ?!
ยอมรับตามตรงว่างานช่างผมไม่เป็นสักอย่างมีอะไรหัก พัง ซ่อม ผมโทรหาช่างอย่างเดียวเริ่มเครียดเลย นี่กูมาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย
เฮ้อ... ไอ้เซียนนะไอ้เซียน
จู่ ๆ ก็คิดถึงไอ้แดนขึ้นมาถ้ามันมาด้วยป่านนี้มันคงปีนขึ้นหลังคาไปแล้ว
“...!”
ไม่ได้สิต้องอดทนกว่านี้จะอ่อนปวกเปียกไม่ได้ เราอยู่ที่นี่กับน้องผ้าแพรจะมาโชว์ความไร้ประโยชน์ให้น้องเห็นได้ไงวะ แล้วกูจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
ได้แต่ส่ายหัวถอนหายใจเบา ๆ เอาวะลองดูก่อนแล้วกัน!
ผมเดินไปหาพวกรุ่นน้องกลุ่มงานซ่อมแซมแล้วเดินไปคุยด้วย “พี่เพิ่งเคยมาค่ายแบบนี้ครั้งแรก พวกงานช่างพี่ไม่ค่อยชำนาญเท่าไหร่ มีอะไรให้พี่ช่วยหรือให้ทำอะไรบอกมาได้เลยนะครับน้อง ๆ ไม่ต้องเกรงใจ”
ทุกคนมองหน้าผมยิ้มแย้มแล้วน้องคนนึงในกลุ่มก็พูดขึ้นมา “ไม่เป็นไรเลยครับพี่เซียน พี่คอยเอาอุปกรณ์ที่ขาดมาให้พวกผมก็พอ พวกผมพอจะเป็นอยู่บ้าง บางคนก็ชำนาญด้านนี้โดยเฉพาะ เชื่อมือได้เลยครับ”
ตอนแรกคิดว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้วยังดีที่โชคยังพอเข้าข้างผมบ้าง พวกน้อง ๆ ไม่ได้โม้เกินตัวเลยหลายคนดูคล่องแคล่วกับงานช่างมาก ๆ ผมนี่เป่าปากโล่งใจเลยทีเดียว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีความคิดจะยืนอยู่เฉย ๆ มองพวกน้อง ๆ ทำงานหรอกมันดูไม่แมนเท่าไร อะไรที่ผมพอช่วยได้ก็รีบทำทันทีไม่คิดเอาเปรียบหรือทำตัวเกะกะพวกน้องเขาแน่นอน
“เอ่อ พี่เซียนครับ รบกวนพี่เอาไม้แผ่นมาเพิ่มให้ได้ไหมครับ อยู่แถว ๆ โรงครัวด้านหลัง ที่มีอยู่ตอนนี้น่าจะไม่พอ”
“ได้ ๆ เดี๋ยวพี่จัดการให้ รอแป๊บนะ”
ผมไม่รอช้ารีบเดินไปทางโรงครัวทันที ขณะที่เดินอยู่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าน้องผ้าแพรก็อยู่แถวนั้นพอดีเหมาะเหม็งเลย!
เท้าเดินไปอย่างฉับไวสาวเท้าไม่กี่ทีก็ถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว มาถึงก็เดินไปหาไม้แผ่นให้พวกรุ่นน้องก่อน พอจัดเตรียมได้แล้วค่อยแวบไปแอบดูหน้าน้องผ้าแพร หึ ๆ
ขณะที่กำลังยกไม้แผ่นที่อยู่ข้างโรงครัวนั้น สายตาดันเหลือบเห็นน้องผ้าแพรเดินผ่านมาไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่เท่าไร แค่เห็นหัวใจก็เต้นแรง ชุ่มชื้นหัวใจ ได้แค่ยืนมองอมยิ้มอยู่คนเดียว เพียงไม่กี่วินาทีก็ทำให้รอยยิ้มนั้นของผมหุบลง ทันทีที่เห็นไอ้นเรศเข้าไปหาและยืนอยู่ข้าง ๆ น้อง
ไอ้เวรนี่จะทำอะไรวะ?!
สายตาเฝ้ามองทั้งสองอยู่ห่าง ๆ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ห่างเท่าไรนักยังได้ยินเสียงที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่
“…”
“ต้องขอบคุณพี่นเรศนะคะที่ช่วยพวกหนูยกของ”
“ไม่เป็นไรครับ เล็กน้อยน่าพี่เต็มใจ มีอะไรให้พี่ทำอีกไหม?”
“ไม่มีแล้วค่ะ แค่นี้ก็รบกวนพี่นเรศมากพอแล้ว ยิ่งข้าวสารที่คุณแม่ฝากมาด้วย ถ้าไม่ได้พี่นเรศขนขึ้นมาให้ก็ไม่รู้ว่าหนูจะถือมาไหวรึเปล่า”
“ฮ่า ๆ สบายมากครับ เห็นแบบนี้พี่ออกกำลังกายทุกวันนะ อีกอย่างพี่ได้รับคำสั่งให้มาดูแลน้อง ๆ ที่ค่ายด้วยนี่ครับ ถ้าปล่อยให้รุ่นน้องลำบาก ในฐานะรุ่นพี่ พี่ก็ดูแย่สิครับ”
“…”
ฟังแล้วอยากจะอาเจียน มือกำหมัดแน่นผู้ชายคนอื่นเขาไปทำงานใช้แรง ไอ้ทุเรศนี่เอาเวลามาเต๊าะหญิง เป็นแค่รุ่นพี่ถือดียังไงมาเต๊าะน้องผ้าแพรของไอ้เซียนคนนี้วะ แล้วที่สำคัญ ข้าวสารกระสอบนั้นกูเป็นคนแบกแม่งยังกล้ามาเคลม ไอ้เวรเอ๊ย!
โครม ~
ผมแกล้งทำแผ่นไม้หล่นลงพื้นเกิดเสียงโครมครามสนั่น แล้วทั้งสองคนก็หันมามองผมตามคาด
“อ้าวพี่เซียน” เสียงใส ๆ เอ่ยชื่อของผม พร้อมเผยยิ้มบาง ๆ แล้วเดินวกมาตรงที่ผมยืนอยู่
โอ๊ย! อ่อนระทวยอยากจะสลายกลายเป็นของเหลวละลายอยู่ตรงนั้นให้ได้เลย ผมได้แต่ยิ้มมุมปากไม่พูดอะไรมาก ลืมความโกรธก่อนหน้าไปชั่วขณะ
“พี่เซียนทำอะไรอยู่เหรอคะ?”
“เอ่อ พี่แวะมาเอาแผ่นไม้น่ะ พอดีมือมันลื่นนิดหน่อยไม้เลยหล่นน่ะครับ”
“เหนื่อยไหมคะ เดี๋ยวหนูเอาน้ำมาให้นะ แวะกินน้ำหน่อยละกันค่ะ รอแป๊บนะคะ” พูดจบน้องก็รีบแจ้นไปที่กระติกน้ำ ตักน้ำใส่แก้วใบใหญ่แล้วเดินเอามาให้ทันที
“…”
ผมยื่นมือรับด้วยความปีติ บทจะโชคเข้าข้างก็นะไอ้เซียน แต่ไม่วายก็มีเสียงของมารผจญดังขึ้นแทรกกลางระหว่างผมกับน้อง
“เป็นรุ่นพี่อายุก็มากกว่า เรี่ยวแรงไม่มี ไม่อายน้อง ๆ มันบ้างเร้อ ~ ปล่อยให้รุ่นน้องทำงานงก ๆ จนหมดแรง แต่พี่มันกลับมานั่งจิบน้ำสบายใจเฉิบ”
“…”
ถูกไอ้นเรศพูดเหน็บแนม ผมพอรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งที่เห็นชัดเจนมากที่สุดก็คือ สายตาที่มันมองน้องผ้าแพร แน่นอนว่าผมมีคู่แข่งแล้ว! คิดถูกจริง ๆ ที่มาค่ายอาสาครั้งนี้
ผมยื่นมือส่งแก้วน้ำคืนให้น้องผ้าแพร “ชื่นใจจังเลย ขอบคุณนะ”
เธอพยักหน้าพร้อมรับแก้วในมือคืน ส่วนผมก็เดินไปรวบรวมแผ่นไม้ที่ตกหล่นพื้นเพื่อจะเดินกลับทางเดิม แต่ก่อนจะไปขอพูดอะไรทิ้งท้ายไว้หน่อยแล้วกัน หมั่นไส้!
“นั่นน่ะสิ เป็นรุ่นพี่แท้ ๆ เรี่ยวแรงไม่มี พึ่งพาไม่ได้ หนีงานหนัก มาปักหลักงานเบา เอาหน้าเป็นงานเสริม เพราะแบบนี้รุ่นน้องเลยต้องมาพึ่งรุ่นพี่คณะอื่น น่าอดสูจริง ๆ เฮ้อ... ไอ้เซียนนะไอ้เซียนเห็นแบบนี้แล้วทนดูไม่ได้ คณะตัวเองก็ไม่ใช่ แต่คนมันแมนพออะนะก็จะช่วยให้เต็มที่แล้วกัน”
“…”