3

2418 Words
ในวันหนึ่ง แม่ครัววัย 30 กว่าปี เห็นร่างเล็กๆ ของเด็กชายวัย 6 ขวบ พยายามยืนบนม้านั่งตัวเล็กเพื่อหัดทำอาหาร ถึงจะลำบากแต่เขาก็สู้ไม่ถอย นางจึงถามว่า “เสี่ยวเฉียง เจ้าชอบทำอาหารหรือ โตขึ้นจะไปเปิดร้านอาหารเองหรืออย่างไร” เด็กชายหัวเราะพร้อมกับใช้ทัพพีไม้คนหม้อต้มน้ำซุปอย่างระมัดระวัง “ข้าอยากทำอาหารเป็นขอรับ ข้าไม่ได้อยากเปิดร้านอาหาร แต่อยากทำให้แม่กับน้องกิน จะได้แบ่งเบาภาระได้ แล้วก็..” เขาหยุดสักพัก ก่อนพูดต่ออย่างจริงจังว่า “ข้าอยากพึ่งพาตัวเองได้ด้วย” ป้าเฟยหรือแม่ครัวเฟย อึ้งไปกับคำตอบ นางไม่คิดเลยว่าเด็กชายวัย 6 ขวบจะคิดได้ขนาดนี้ และที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ต้วนเจี่ยซินเดินผ่านห้องครัวมาพร้อมกับชายคนหนึ่งอายุประมาณ 30 กว่าปี และได้ยินบทสนทนาของพวกเขาพอดี หมอต้วนหัวเราะหึหึ ใช้มือลูบเคราตัวเองอย่างพอใจ ในขณะที่ชายอีกคนมีสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นพวกเขาก็เดินไปยังห้องหนังสือของหมอต้วนด้วยกัน เมื่อเดินเข้าไปในห้องหนังสือ ที่มีตำรา และอุปกรณ์การแพทย์หลายอย่างวางอยู่บนชั้น ต้วนเจี่ยซินหันไปพูดกับชายอีกคนว่า “เจ้าคิดอย่างไรบ้าง” ชายคนนี้ หรือต้วนเหวินเจี่ย ลูกชายของหมอต้วนตอบช้าๆ ว่า “ดูมีความมุ่งมั่นดีขอรับท่านพ่อ แต่แค่นี้ยังบอกอะไรไม่ได้มากนัก” หมอต้วนพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เด็กคนนี้มาอยู่ที่นี่ได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว เด็กอายุแค่ 6 ขวบ ต่อให้พยายามเสแสร้งอย่างไร ผู้ใหญ่อย่างพวกเราก็ดูออกอยู่ดี พ่อเห็นคุณสมบัติสำคัญของเด็กคนนี้ คือ มีความมุ่งมั่น เฉลียวฉลาด และซื่อสัตย์” “ท่านพ่อดูจะชอบเด็กคนนี้มากนะขอรับ” ต้วนเหวินเจี่ยหัวเราะออกมา ชายชราพยักหน้ายอมรับ “พ่อไม่อยากจะให้เด็กฉลาดแบบเสี่ยวเฉียง มาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านนอกแบบนี้ไปตลอด” “ท่านพ่ออยากจะให้เขาเป็นหมอหรือ” ลูกชายถามอย่างแปลกใจ เพราะพ่อของเขาไม่ยอมรับลูกศิษย์มานานหลายปีแล้ว แต่กลับยอมรับเด็กคนนี้มาอยู่ด้วย ชายชรากลับส่ายหน้า สีหน้าของเขาเคร่งขรึม “เสี่ยวเฉียงเป็นเด็กหัวดี ถ้าเรียนการแพทย์ เขาก็สามารถเป็นหมอที่มีชื่อเสียงได้” ชายชราหันไปสบตาลูกชาย และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่เขาเหมาะสมจะใช้สติปัญญาและความสามารถเพื่อช่วยเหลือผู้คน ได้กว่าการเป็นหมอเพียงอย่างเดียว” ต้วนเหวินเจี่ยขมวดคิ้ว “ท่านหมายความว่าอย่างไรขอรับ” ชายชราตอบด้วยดวงตาเป็นประกายว่า “พ่ออยากจะให้เขาสอบเข้ารับราชการเป็นบัณฑิต และไปทำงานที่เมืองหลวง!” ต้วนเหวินเจี่ยตะลึงไปสักพัก “แล้วท่านจะทำอย่างไรกับเด็กคนนี้ละ จะให้เขาไปเรียนหนังสือเพื่อเตรียมสอบเป็นบัณฑิตอย่างเดียวเลยหรือ แล้วการเรียนแพทย์กับท่านพ่อล่ะ” “พ่อยังจะให้เขาเรียนกับพ่อก่อน พ่ออยากฝึกให้เขาเป็นคนมีเมตตา รู้จักการเสียสละเพื่อคนที่ด้อยกว่า นี่คือการฝึกฝนด้านจิตใจและคุณธรรม ส่วนในด้านวิชาความรู้นั้น ถ้าเป็นไปได้..พ่อจะให้เขาไปเรียนกับโม่ชิงเฉิง” ต้วนเหวินเจี่ยตกใจ “แต่เขาไม่ยอมรับใครเป็นลูกศิษย์เลยนะขอรับท่านพ่อ แล้วก็ยังมีนิสัยขี้โมโห เขาจะอยากสอนหนังสือให้กับเด็กอายุแค่นี้หรือ!” แต่ชายชรากลับยิ้มด้วยดวงตาเป็นประกาย “เสี่ยวเฉียงก็ต้องทำให้โม่ชิงเฉิงอยากจะสอนเขาให้ได้ด้วยตัวเอง” ต้วนเหวินเจี่ยส่ายหน้า เขารู้ว่าพ่อต้องการจะทดสอบเด็กน้อย และยังคิดจะลองเสี่ยงดูด้วย แต่การจะให้คนอย่างโม่ชิงเฉิงยอมเปิดใจรับเด็กคนหนึ่งมาเป็นลูกศิษย์นั้น เขายังนึกไม่ออกว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในบ่ายวันนั้น ต้วนเจี่ยซินแนะนำให้เฟิงหลี่เฉียงรู้จักกับลูกชายคนเดียวของเขา คือ ต้วนเหวินเจี่ย “เสี่ยวเฉิง มารู้จักท่านลุงเจี่ยซินสิ นี่คือลูกชายคนโตของข้า และตอนนี้ทำงานเป็นแพทย์หลวงขั้น 5 ที่สำนักแพทย์หลวงในเมืองหลวงหนานจิง”[1] เด็กชายก้มลงคำนับอย่างสุภาพ “ท่านลุงเจี่ยซิน ข้าชื่อเฟิงหลี่เฉียงขอรับ” ในเย็นนั้น พวกเขากินข้าวและพูดคุยกัน ถึงแม้บ้านต้วนจะเป็นหมอ แต่พวกเขาไม่เคยห้ามเรื่องการพูดคุยในขณะกินข้าว เพราะโอกาสที่พวกเขาจะได้พบกันมีจำกัด การกินข้าวด้วยกัน จึงเป็นเหมือนช่วงเวลาที่ใช้ในการพูดคุยด้วย ในวันนั้น เด็กชายจึงได้รู้ว่า ต้วนเจี่ยซินเคยเป็นหัวหน้าสำนักแพทย์หลวงมาก่อน เขาเกษียณตัวเองออกมาก่อน และย้ายมาอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ ที่นี่ไม่ใช่บ้านเกิดของเขา แต่เป็นสถานที่ที่เขาเคยผ่านมาและชื่นชอบบรรยากาศ จึงสร้างบ้านอยู่ที่นี่ และเพื่อนบ้านอีก 3 หลังที่อยู่ล้อมรอบนั้น ก็ล้วนแล้วแต่มาจากที่อื่น และเลือกที่นี่เพราะชอบความสงบเงียบด้วยเช่นกัน เด็กชายเคยเห็นเจ้าของบ้านแค่หนึ่งคนในระยะไกล แต่ยังไม่เคยเห็นเจ้าของบ้านอีกสองหลัง ต้วนเจี่ยซินบอกเด็กชายว่า “เจ้าไปทำความรู้จักคนบ้านอื่นได้นะ จะได้ไม่เหงา” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็ดีใจ ถึงเขาจะเฉลียวฉลาดและจริงจังแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นเด็กที่ยังอยากรู้อยากเห็นและเรียนรู้โลกภายนอกเช่นกัน เขาจึงถามหมอต้วนว่า “อาจารย์ขอรับ ข้าอยากรู้ว่า บ้านหลังอื่นที่อยู่แถวนี้ เป็นบ้านของใครบ้าง” ต้วนเจี่ยซินบอกเด็กชายว่า “เป็นบ้านของปรมาจารย์ด้านฮวงจุ้ย ของนักปราชญ์ที่เคยเป็นข้าราชการ และของจอมยุทธ์ที่พเนจรไปทุกที่ บางคนก็อยู่ที่นี่มาตลอด บางคนไปๆมาๆ และบางคนไม่กลับมานานแล้ว” เด็กชายตาโต “พวกเขาเป็นเพื่อนของท่านหมดเลยหรือขอรับ” พ่อลูกต้วนสบตากัน จากนั้นก็หัวเราะออกมา ก่อนที่หมอต้วนคนพ่อจะพูดว่า “จะบอกว่าเพื่อนก็ไม่ใช่เสียทั้งหมด บางคนเคยมารักษากับข้า บางคนรู้จักกันตอนอยู่ในเมืองหลวง บางคนแค่ผ่านมาแล้วก็ชอบที่นี่ ทุกคนชอบความสงบสุข จึงไม่มีใครมารบกวนพวกเขาที่นี่อย่างไรล่ะ” นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เด็กชายก็มักจะเดินไปกับแม่บ้านบ้างหรือคนงานที่บ้านหมอต้วนบ้าง เพื่อไปทำความรู้จักกับคนงานที่อยู่บ้านหลังอื่น ที่นี่ยังมีเด็กอายุ 7-8 ขวบ ที่เป็นลูกของคนงานอีกหนึ่งคน ทำให้เฟิงหลี่เฉียงได้มีเพื่อนเล่นวัยใกล้เคียงกัน หลังจากนั้นอีก 2-3 วัน ต้วนเจี่ยซินบอกเฟิงหลี่เฉียงว่า “เสี่ยวเฉียง พรุ่งนี้เช้า เจ้านำยาบำรุงชี่ไปมอบให้ท่านโม่ชิงเฉิงที่อยู่บ้านไม้ไผ่หลังนั้นหน่อยนะ” เด็กชายซึ่งกำลังอ่านตำราเกี่ยวกับจุดฝังเข็มและเส้นลมปราณในร่างกายมนุษย์เงยหน้าขึ้น และรับปากด้วยความสนใจ เขาเองก็อยากรู้ว่าใครอยู่บ้านหลังนั้นเช่นกัน สักพักเขาก็ถามขึ้นว่า “อาจารย์ขอรับ ข้าขอกลับบ้านไปเยี่ยมแม่กับน้องจะได้ไหมขอรับ” หมอต้วนยิ้ม “ได้สิ ให้ลู่ปู่ไปส่ง แล้วจะไปวันไหนล่ะ ข้าจะฝากของไปให้แม่กับน้องของเจ้าด้วย” เด็กชายคิดก่อนตอบ “น่าจะอีก 3 วันข้างหน้าขอรับ ข้าจะช่วยท่านเก็บสมุนไพรในแปลงให้หมดก่อน อากาศหนาวมาก ข้ากลัวสมุนไพรจะแข็งตายก่อน” ต้วนเจี่ยซินยิ้มอย่างพอใจที่เด็กชายรู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ เขาบอกเด็กชายว่า “ช่วงปีใหม่ เจ้ากลับไปอยู่กับแม่ก็ได้นะ จะได้ช่วยที่บ้านทำงาน” เขารู้ว่าที่บ้านของเด็กชาย มีสวนปลูกผักผลไม้ด้วย เด็กชายคิดสักพักและตอบว่า “ไว้ตอนกลับไปครั้งนี้ ข้าขอดูว่าแม่จะทำอะไรหรือเปล่า ถ้าจำเป็นจะต้องใช้แรงงาน ข้าก็จะขออนุญาตอยู่ช่วยแม่” จากนั้นเขาก็ถามอย่างเกรงใจว่า “อาจารย์จะเดินทางไปไหนหรือเปล่าขอรับ จะให้ข้าไปด้วยหรือไม่” ชายชราตอบว่า “ช่วงอากาศหนาวข้าไม่ไปไหน จะไปอีกทีก็ช่วงใบไม้ผลิ ถึงตอนนั้น ข้าอาจจะพาเจ้ากับสวี่กั๋วไปด้วย” เด็กชายยิ้มอย่างดีใจ และก้มหน้าก้มตาท่องจำจุดฝังเข็มอย่างตั้งอกตั้งใจ วันรุ่งขึ้น หลังจากทำงานตามที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้ว เฟิงหลี่เฉียงถือขวดยาบำรุงเดินไปยังบ้านที่อยู่เกือบด้านในสุดของชุมชนนี้ เขาเดินไปที่ประตูรั้วไม้ไผ่เตี้ยๆ ที่สร้างล้อมรอบบ้านเอาไว้ เมื่อมองเข้าไปจะเห็นบ้านชั้นเดียวสร้างจากไม้ไผ่ และมีบ้านอีก 2 หลังเล็กสร้างไว้ใกล้กัน ถึงแม้ว่าบ้านของบัณฑิตชื่อโม่ชิงเฉิงจะสร้างจากไม้ไผ่ แต่ออกแบบให้เรียบง่ายและสวยงาม ด้านหลังและด้านข้างปลูกต้นไผ่เรียงกันเป็นแนว ด้านหน้าของบ้านมีแปลงไม้ดอกและไม้ผล วันนี้มีหมอกจางๆ ลอยปกคลุม ยิ่งสร้างบรรยากาศลึกลับราวกับเป็นบ้านของพวกเทพเซียนเหมือนที่เคยอ่านพบในหนังสือ ที่ประตูบ้าน มีกระบอกไม้ไผ่แขวนเอาไว้ เขาจึงเขย่ากระบอกไม้ไผ่ เพื่อบอกให้เจ้าของบ้านรู้ว่ามีคนมาหา สักพัก ชายวัย 30 ปี สวมชุดสีเทาก็เดินออกมาจากบ้านหลังเล็ก เด็กชายแนะนำตัวว่า “ท่านอา ข้าชื่อเฟิงหลี่เฉียง เป็นลูกศิษย์ของท่านหมอต้วนเจี่ยซิน อาจารย์ให้ข้านำยาบำรุงมามอบให้ท่านโม่ชิงเฉิงขอรับ” ชายคนนี้ คือ พ่อบ้านโม่ จึงยิ้มและเอื้อมมือมารับขวดยาบำรุง และกล่าวขอบคุณเขา แต่ก่อนที่เด็กชายจะหันหลังเดินกลับไป เขาก็ได้ยินเสียงเรียกของชายคนหนึ่งดังมาจากบ้านหลังใหญ่ “เด็กน้อย! อย่าเพิ่งไป เข้ามานี่ก่อน” พ่อบ้านชะงัก สีหน้าของเขาประหลาดใจมาก แต่ก็รีบเปิดประตู “คุณชายตามข้ามาขอรับ ข้าจะพาไปพบนายท่าน” เด็กชายหันไปบอกว่า “เรียกข้าว่าเสี่ยวเฉียงก็ได้ขอรับท่านอา” พ่อบ้านยิ้มและพาเด็กชายเดินไปตามทางเดินที่โรยกรวดสีขาว ด้านข้างปลูกดอกไม้หลากหลายสีเรียงรายเอาไว้ ดูเรียบง่ายแต่สวยงาม เมื่อไปถึงบ้านหลังใหญ่ พ่อบ้านโม่พาเขาเดินเข้าไปในห้องโถงที่มีโต๊ะกินข้าวและเก้าอี้จัดวางไว้สวยงาม ในห้องมีรูปภาพและตัวอักษรที่เขียนโดยพู่กันจีนแขวนเอาไว้หลายรูป พวกเขาไปหยุดอยู่ที่ห้องหนังสือ เมื่อเคาะประตูและแจ้งว่าเขาพาเด็กชายมาแล้ว เสียงของชายคนนั้นก็บอกให้เด็กชายเดินเข้ามาข้างใน ภายในห้องหนังสือ เต็มไปด้วยชั้นหนังสือ และภาพวาดภาพเขียนอีกจำนวนหนึ่ง เฟิงหลี่เฉียงเห็นชั้นที่วางอุปกรณ์การเขียนหลากหลายชนิด และยังมีเครื่องดนตรีที่เขาไม่รู้จักวางเอาไว้ด้วย ที่ริมหน้าต่าง เขาเห็นชายวัย 28-29 ปี ยืนอ่านหนังสืออยู่ด้านข้าง เขามีรูปร่างผอมสูง หน้าตาหล่อเหลา กิริยามารยาทสง่างาม แต่แฝงความเฉียบขาดเอาไว้ในที โม่ชิงเฉิงบอกเด็กชายด้วยเสียงเรียบเย็นว่า “มานั่งที่โต๊ะ” เด็กชายเดินเข้าไปใกล้ ก้มลงคำนับและแนะนำตัวว่า “ข้าชื่อเฟิงหลี่เฉียง เป็นลูกศิษย์ของท่านหมอต้วนเจี่ยซินขอรับ อาจารย์ให้ข้านำยาบำรุงชี่มามอบให้ท่าน” โม่ชิงเฉิงรับยาจากเด็กชาย เขาเปิดขวดยาและดมกลิ่น ก่อนจะพูดด้วยความพอใจว่า “ยาของท่านหมอต้วนยังคงมีกลิ่นฉุนแรงตามเดิม แต่สรรพคุณก็เยี่ยมยอดเช่นเดียวกัน ฝากขอบคุณท่านหมอต้วนด้วยนะ แล้วข้าจะไปเยี่ยมคารวะอีกครั้ง” จากนั้นเขาก็สั่งให้พ่อบ้านนำชาและขนมมาให้เด็กชาย ซึ่งทำให้อีกฝ่ายแปลกใจ นายท่านของเขาไม่ค่อยออกไปพบปะกับใคร โดยเฉพาะกับเด็กๆ แต่ครั้งนี้เขากลับเชิญลูกศิษย์ของต้วนเจี่ยซินให้มานั่งสนทนาด้วย เขาจึงรีบออกไปทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว เด็กชายกวาดตามองรอบห้องด้วยความสนใจ โม่ชิงเฉิงถามเด็กชายว่า “เจ้าอ่านหนังสือออกไหม” “ข้าอ่านเขียนได้ขอรับ ท่านแม่เป็นคนสอนให้” โม่ชิงเฉิงเดินไปหยิบกระดาษ พู่กันและหมึกมาวางไว้ที่หน้าเด็กชาย “ลองเขียนให้ข้าดูหน่อย” เมื่อเห็นเด็กชายมีสีหน้าสงสัย เขาก็บอกด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “เขียนอะไรก็ได้” เฟิงหลี่เฉียงคิดสักพัก จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเพื่อให้เขียนถนัด เขาหยิบพู่กันจุ่มลงในแท่นหมึก ปาดน้ำหมึกส่วนเกินออก จากนั้นก็ลงมือเขียนช้าๆ แต่มั่นใจ โม่ชิงเฉิงจับตาดูท่าทางของเขาด้วยความสนใจ เด็กคนนี้มีสมาธิดี และมีจิตใจมั่นคง เมื่อเด็กชายเขียนเสร็จแล้ว เขาก็เงยหน้าบอกอีกฝ่ายด้วยความสุภาพว่า “ข้าเขียนเสร็จแล้วขอรับ” [1] ในยุคต้นของราชวงศ์หมิง เมืองหลวงตั้งอยู่ที่เมืองหนานจิง หรือนานจิง หรือนานกิง จนในภายหลังฮ่องเต้หย่งเล่อมีรับสั่งให้ย้ายเมืองหลวงไปทางตอนเหนือของประเทศ คือ ที่เป่ยผิง หรือเป่ยจิง หรือปักกิ่ง ที่เป็นเมืองหลวงมาจนถึงยุคปัจจุบัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD