7

1850 Words
ต้วนเจี่ยซินกับลู่ปู่ ช่วยเด็กชายดึงข้าวของบางส่วนออกมา บางอย่างเขาก็ห้ามไม่ให้เด็กชายเอาไปด้วย “ทิ้งไว้อย่างนั้นดีกว่า มันเสียหายหมดแล้ว เจ้าอย่าเสียดายไปเลย” เด็กชายทำท่าไม่อยากจะทิ้ง เขาอยากจะเอาข้าวของทุกอย่างออกมาให้หมด แต่ชายชราสอนเขาว่า “ข้าเข้าใจว่าเจ้าเสียดาย และของบางอย่างก็มีความหมายกับเจ้าและแม่ แต่ดูสิ ตอนนี้หิมะเริ่มละลายแล้ว หลายอย่างก็เสียหายเปียกขาดจนใช้ไม่ได้ ถ้าเจ้าฝืนเข้าไปเอามันออกมา ไม่รู้ว่าหลังคากับผนังจะถล่มลงมาตอนไหน รักษาชีวิตกับร่างกายเอาไว้เถิด ข้าวของเงินทอง ไม่ตายก็ยังหาใหม่ได้นะ เสี่ยวเฉียงเอ๊ย!” จริงสินะ เขายังมีเรี่ยวแรงยังมีทางหาเงินได้ แล้วเขาจะเสียดายไปทำไม แต่ชีวิตของเขาสิสำคัญกว่าข้าวของพวกนั้น เหตุการณ์วันนั้น สอนให้เฟิงหลี่เฉียงได้คิดหลายอย่าง ทั้งความไม่แน่นอนของชีวิต ทั้งคำว่าเหลือแต่ตัว และการรู้จักตัดใจทิ้ง เพื่อรักษาชีวิตและร่างกายเอาไว้ โดยเฉพาะคำพูดของต้วนเจี่ยซินที่บอกเขาว่า ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ตราบนั้นคนเราก็ยังหาเงินและข้าวของกลับคืนมาได้ และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กชายเฟิงหลี่เฉียงรู้จักการหาเงิน และไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ตราบใดที่เชื่อว่าตัวเองทำได้ ถึงแม้จะต้องล้มลุกคลุกคลาน และเริ่มต้นชีวิตใหม่จากศูนย์อีกกี่ครั้งก็ตาม เขาก็ไม่เคยยอมแพ้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เฟิงหลี่เฉียงจึงนำของบางอย่างที่พอใช้ได้ออกมา และพาต้วนเจี่ยซินกับลู่ปู่ไปที่ศาลเจ้าหน้าหมู่บ้าน และช่วยกันรักษาอาการบาดเจ็บให้ชาวบ้าน โดยมีเฟิงหลี่เฉียงคอยช่วยเหลือ หลังจากช่วยรักษาชาวบ้านร่วมกับหมอจากอำเภอเสร็จแล้ว ต้วนเจี่ยซินก็ถามลูกศิษย์ตัวน้อยของเขาว่า “เสี่ยวเฉียง ตอนนี้บ้านของเจ้าก็เสียหายจนอยู่ไม่ได้แล้ว เจ้าจะพาแม่กับน้องไปอยู่ที่บ้านของข้าก่อนไหม” เด็กชายอ้าปากค้าง เขาพยักหน้าด้วยความดีใจ เมื่อได้ฟังต้วนเจี่ยซินพูด อันเฟยจูก็ดีใจมากเช่นกัน เธอไม่สามารถอาศัยอยู่ที่ศาลเจ้าไปได้ตลอด และเธอก็ไม่มีใครมาช่วยซ่อมบ้านด้วย ชาวบ้านที่มาพักพิงที่นี่ชั่วคราว ก็เริ่มทยอยไปอยู่ที่บ้านของญาติ เหลือเพียงครอบครัวของเธอที่ไม่มีที่ไป เมื่อได้ยินชายชราบอกแบบนี้ น้ำตาเธอก็อดไหลออกมาไม่ได้ ครอบครัวของเธอรอดชีวิตได้ ก็เพราะท่านหมอต้วนคนนี้แท้ๆ เธอดีใจมากที่ถึงชีวิตจะยากลำบากแค่ไหน ก็ยังมีทางออกให้เธอและลูกได้เดินต่อไป และเธอรู้ดีว่า ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะความรักและความเอ็นดูที่ต้วนเจี่ยซินมีต่อลูกชายคนโตของเธอ พวกเธอจึงได้รับการช่วยเหลือไปด้วยเช่นกัน แล้วชีวิตของบ้านเฟิงที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ก็จบลง พวกเขาช่วยกันขนข้าวของที่มีอยู่เพียงน้อยนิดไปเก็บไว้บนรถลาก และออกเดินทางไปยังบ้านเชิงเขาหลานเถียน เพื่อเริ่มต้นชีวิตบทใหม่ที่ไม่ต้องต่อสู้อย่างเดียวดายอีกต่อไป เมื่อเดินทางมาถึงบ้าน ต้วนเจี่ยซินจัดให้ครอบครัวของเฟิงหลี่เฉียง อาศัยอยู่ที่ห้องทางปีกขวาของบ้าน ในช่วงแรกพวกเขาเกรงใจมาก และคิดว่าเมื่ออากาศดีขึ้นจะย้ายกลับไปอยู่ที่หมู่บ้านตามเดิม แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ต้วนเจี่ยซินและคนอื่นในบ้าน ต่างรู้สึกเอ็นดูสงสารทั้งแม่และลูก โดยเฉพาะพ่อบ้านและแม่ครัวที่อายุมากแล้ว ที่รักและเอ็นดูพี่น้องเฟิงหลี่เฉียงและเฟิงหลี่อิงมาก ต้วนเจี่ยซินจึงบอกให้พวกเขาอยู่ที่บ้านนี้ต่อไป จนกว่าพวกเขาจะอยากย้ายไปอยู่ที่อื่นเอง ซึ่งก็ทำให้คนบ้านเฟิงต้องน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งใจอีกครั้ง และในท้ายที่สุดแล้ว เฟิงหลี่อิงได้เป็นลูกศิษย์ของต้วนเจี่ยซินอีกคนหนึ่ง และกลายมาเป็นหมอหญิงที่มีชื่อเสียงในเวลาต่อมา ส่วนอันเฟยจูนั้น ก็ได้ช่วยทำงานต่างๆ ให้กับหมอต้วน และเรียนรู้การปลูกสมุนไพรและการทำยา จนกลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร สามารถทำเงินจากการขายยาได้ และได้นำความรู้นี้ไปช่วยเหลือผู้คนอีกมากมายในภายหลัง และแล้วเวลาก็ผ่านไป 5 ปี... ลู่ปู่ขี่รถลากไปยังที่ว่าการอำเภอแห่งหนึ่งของเมืองหวยหนาน ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว รถลากหลายคันจอดรออยู่ที่ลานด้านหน้าของอำเภอ เพื่อมารอรับนักศึกษาที่เข้าสอบบัณฑิตในระดับอำเภอที่หรือการสอบถงเซิง ที่แปลว่านักศึกษาเด็ก นี่คือการสอบระดับแรกของการสอบจอหงวน หากสอบผ่านรอบแรกนี้ พวกเขาจะได้เป็น “เซิงหยวน” หรือ “ซิ่วฉาย” ที่หมายถึงบัณฑิตระดับเทศมณฑลหรืออำเภอ ซึ่งการสอบระดับแรกนี้มีความสำคัญมาก จึงมีขุนนางประจำเทศมณฑลหรืออำเภอมาร่วมจัดการสอบ ทั้งการคุมสอบและการตรวจข้อสอบอย่างเคร่งครัด ถึงการสอบถงเซิงครั้งนี้จะแปลว่าการสอบของนักศึกษาเด็ก แต่อายุของคนเข้าสอบกลับมีหลากหลาย ตั้งแต่เด็กวัยรุ่นไปจนถึงชายอายุ 50 ปี บางคนเข้าสอบเป็นครั้งแรก บางคนเป็นการสอบครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ได้เช่นกัน เพราะบางคนสามารถสอบผ่านตั้งแต่ครั้งแรก บางคนต้องสอบหลายครั้ง บางคนยอมสอบจนอายุมากขึ้นก็ยังไม่ยอมแพ้ เพราะรู้ว่าการได้เป็นบัณฑิต ถึงแม้จะเป็นตำแหน่งต่ำแค่ไหนก็ตาม ก็ยังดีกว่าการเป็นชาวนาชาวไร่ธรรมดา ที่ต้องพึ่งพาฟ้าฝนในการทำมาหากิน และคนที่สอบผ่านเป็นเซิงหยวนหรือบัณฑิตระดับอำเภอนี้ ถึงแม้จะไม่ได้สอบในระดับที่สูงขึ้นไปอีก ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิต จะได้รับการยกเว้นการเสียภาษี คนในครอบครัวยังได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกเกณฑ์ทหารด้วย บางคนยังเข้ารับราชการในตำแหน่งเล็กๆ บางคนกลับมาเปิดโรงเรียนและเป็นครูสอนหนังสือในระดับประถมศึกษาได้อีกเช่นกัน เมื่อได้เวลาแล้ว การสอบ 3 วัน 3 คืน ก็สิ้นสุดลง นักเรียนที่เข้าสอบเริ่มเดินออกมาจากประตูสนามสอบ หลายคนหน้าตาซีดเซียวด้วยความเหน็ดเหนื่อย เพราะคร่ำเคร่งกับการสอบ และยังอดหลับอดนอน ในตอนนี้ เฟิงหลี่เฉียงเดินออกมาจากห้องสอบแล้วเช่นกัน ในมือของเขาหิ้วตะกร้าใส่เครื่องเขียน อาหารและน้ำ ที่นำเข้าไปด้วยตั้งแต่สามวันที่แล้ว นักเรียนบางคนเดินออกมาด้วยสีหน้าห่อเหี่ยวสิ้นหวัง บางคนเหนื่อยล้าจากการสอบ และบางคนเดินออกมาด้วยสีหน้ามั่นใจ แต่เฟิงหลี่เฉียงกลับมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่สามารถบอกได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เมื่อเห็นเขาเดินออกมา ลู่ปู่ที่ยืนรออยู่ก็รีบเรียกชื่อ เด็กชายจึงยิ้มออกมาและเดินตรงไปที่รถลาก หลายคนมองตามเฟิงหลี่เฉียงในวัย 12 ขวบด้วยความสนใจ ตอนนี้เขาเติบโตขึ้นมาก เขามีรูปร่างสูง ผอมเพรียว และมีท่าทางสง่างาม ใบหน้าเริ่มเรียวยาวมากขึ้นตามวัย ยิ่งทำให้เขาทั้งสวยงามและหล่อเหลาในคราวเดียวกัน จากแขนขาที่เริ่มยาว ทำให้เห็นว่า เขาน่าจะเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงอย่างแน่นอน เด็กชายเดินเข้ามาใกล้และทักทายลู่ปู่อย่างอารมณ์ดีว่า “พี่ลู่ รออยู่นานไหมขอรับ” อีกฝ่ายรีบตอบอย่างใจร้อนว่า “ไม่นานเลย เสี่ยวเฉียง รีบตอบมาก่อน เจ้าทำข้อสอบได้ไหม!” ใช่แล้ว ทุกคนในหมู่บ้านเชิงเขาหลานเถียน ต่างใจจดใจจ่อกับผลการสอบของเขามาก พวกเขาอยากรู้ว่า เด็กชายที่พวกเขาเห็นมาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ จะสามารถสอบผ่านเป็นบัณฑิตซิ่วฉายได้หรือไม่ ถึงแม้ว่าคนในหมู่บ้าน จะเป็นผู้มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ แต่พวกเขาก็ต้องการเห็นเด็กที่พวกเขาช่วยกันปลุกปั้นมากับมือ ได้ประสบความสำเร็จอย่างที่หวังเอาไว้ เฟิงหลี่เฉียงหัวเราะ “ข้าก็ตอบเท่าที่คิดได้ แต่จะได้หรือไม่ก็ต้องรออีกหนึ่งเดือน ถึงจะมีประกาศผลสอบออกมา” ใช่แล้ว ในการสอบระดับอำเภอ จะมีข้าราชการหลายคนจากเทศมณฑลหลานเถียนมาร่วมกันตรวจข้อสอบ และในการสอบระดับที่สูงขึ้นไปกว่านี้ จึงจะมีบัณฑิตขั้นสูงจากราชบัณฑิตยสถานฮานหลิน หรือฮานหลินหยวน ซึ่งทำงานเกี่ยวกับอักษรศาสตร์ของราชสำนัก มาเป็นผู้ตรวจข้อสอบ อย่างไรก็ตาม กฎข้อบังคับเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละรัชสมัย ตั้งแต่ราชวงศ์แรกของจีน มีการเปลี่ยนแปลงการสอบเค่อจวี่หลายครั้ง รวมไปถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบในการสอบ บางครั้งเป็นหน้าที่ของฮานหลินหยวน บางครั้งเป็นหน้าที่ของกรมพิธีการ บางครั้งเป็นหน้าที่ของซางซู่เซิง หรือกรมกิจการรัฐ หรือสำนักเลขาธิการของพระจักรพรรดิ สำหรับการสอบเค่อจวี่ในยุคของฮ่องเต้หย่งเล่อนี้ หากเฟิงหลี่เฉียงสามารถสอบผ่านการสอบถงเซิงนี้ได้แล้ว เขาจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบัณฑิตเซิงหยวนหรือซิ่วฉาย จากนั้นในอีก 3 ปีต่อมา เขาจึงมีสิทธิเข้าสอบในระดับมณฑลหรือภูมิภาคที่เรียกว่า “เซียงซื่อ” หรือ “ชิวซื่อ” ที่ตั้งชื่อตามช่วงเวลาสอบในฤดูใบไม้ร่วง ผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกในระดับนี้จะเรียกว่า “จวี่เหริน" หรือเรียกกันทั่วไปว่า “จ้งจวี่” จากนั้นจึงขยับไปสู่การสอบในระดับประเทศ และการสอบต่อหน้าพระที่นั่งเป็นขั้นสุดท้าย และในอีกหนึ่งเดือนต่อมา เฟิงหลี่เฉียงกับลู่ปู่ก็เดินทางจากหมู่บ้านหลานเถียนเข้ามาในอำเภออีกครั้ง เพื่อมาดูการประกาศผลสอบ ที่ติดประกาศเอาไว้ที่หน้าอำเภอ แล้วพวกเขาก็ดีใจจนเนื้อเต้น เพราะเฟิงหลี่เฉียงผ่านการสอบครั้งนี้ และยังได้เป็น “เซิงหยวน” ที่มีคะแนนสูงสุดด้วย!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD