13

1886 Words
ด้านหลังของภัตตาคาร มีช่องทางเดินไปสู่ห้องน้ำ ด้านหน้าของห้องน้ำเป็นลานกว้างมีโอ่งดินเผาใส่น้ำสำหรับล้างมือ และด้านหลังมีห้องน้ำเป็นห้องขนาดเล็กเรียงติดกันประมาณ 5 ห้อง ที่นั่นพวกเขาพบศพชายคนหนึ่งนอนหงายหลังอยู่ที่ลานกว้าง มีรอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ตามเสื้อ เฟิงหลี่เฉียงบอกให้ผู้จัดการกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป และไม่ให้ใครเดินเข้ามาในบริเวณนี้ เขาเดินอย่างระมัดระวังไปรอบๆ และไม่ได้แตะต้องศพเพิ่มเติม เพราะเขารู้ว่าอีกสักพัก เจ้าหน้าที่จากอำเภอจะมา ตอนนี้เขาถูกพ่อค้าข้าวสารกล่าวหา ถ้าไปแตะต้องศพก็อาจจะมีปัญหา เขาก้มลงมองที่ศพ ที่พื้น และมองไปด้านหลังที่เป็นสวนขนาดใหญ่ ที่มีต้นบ๊วยกำลังออกดอกส่งกลิ่นหอมยามดึก เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรมากนัก ในขณะที่คนอื่นมองที่ศพและบริเวณรอบๆ อย่างไม่สบายใจ ในที่สุดเจ้าหน้าที่สอบสวนจากอำเภอจำนวน 4 คนก็มาถึง เมื่อเห็นเฟิงหลี่เฉียง อินเฉิน ซุยเฉินเหยา เทียนมู่อวี้ หัวหน้าซึ่งมีอายุประมาณ 35 ปี ก็บอกให้ทุกคนถอยออกไป และสอบถามข้อมูลเบื้องต้น เมื่อรู้ว่ากลุ่มของเฟิงหลี่เฉียงเป็นบัณฑิตและสามารถตรวจสอบศพได้ พวกเขาจึงผ่อนคลายท่าทีลง แต่ก็ยังไม่ยอมให้เฟิงหลี่เฉียงได้ร่วมเก็บหลักฐานด้วย ในระหว่างที่เฟิงหลี่เฉียงยืนรออยู่นั้น เขาสังเกตท่าทางของเด็กหนุ่มที่ถูกกล่าวหา และพบว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี มีท่าทางไว้ตัวและดูใจร้อน ถึงเขาจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ไม่หรูหรามากนัก แต่กิริยามารยาทบ่งบอกว่าจะต้องมาจากตระกูลที่ดี ในตอนนี้ ถึงเด็กหนุ่มจะกังวลใจที่ถูกกล่าวหา แต่เขาก็ไม่มีทีท่าหวาดกลัวหรือมีพิรุธ เขายืนหลังตรง ที่มือข้างหนึ่งมีรอยเปื้อนเลือด ที่เขาอ้างว่าเกิดขึ้นเพราะจับตัวศพเพื่อพลิกดูว่ายังหายใจอยู่หรือไม่ จากนั้นเฟิงหลี่เฉียงก็หันไปสังเกตหวังเฉิง พ่อค้าขายข้าวสารที่กล่าวหาทั้งเด็กหนุ่มและกลุ่มของเขา บัณฑิตหนุ่มพบว่า มีความน่าสนใจหลายอย่างเกิดขึ้น หวังเฉิงมาพร้อมกับผู้ติดตามจำนวน 3 คน ที่เพิ่งถูกเฟิงหลี่เฉียงจัดการ คำถามที่อยู่ในใจ คือ เขาเป็นพ่อค้าข้าวสาร เหตุใดจึงมีผู้ติดตามจำนวนมากขนาดนี้ เมื่อพิจารณาดูคนเหล่านี้แล้ว เฟิงหลี่เฉียงก็หันกลับไปดูตำรวจจากอำเภอที่กำลังชันสูตรพลิกศพ และในที่สุด หัวหน้ากลุ่ม ชื่อ เจียงอู๋ตี้ ก็เดินมาสอบสวนพวกเขาที่อยู่ในเหตุการณ์ทีละคน เขาบอกกับกลุ่มของเฟิงหลี่เฉียงด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “พวกท่านอยู่ในเหตุการณ์ช่วงชุลมุนด้วย จึงอาจจะเป็นได้ทั้งพยานหรือผู้สมรู้ร่วมคิด” ทุกคนยกเว้นเฟิงหลี่เฉียง ต่างพากันหน้าเสีย ถ้าติดร่างแหไปด้วย อนาคตของพวกเขาจะต้องดับวูบลงอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาจะต้องถูกกักตัวคุมขัง และจะต้องใช้เวลาในการสืบสวนสอบสวน และอาจจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสในการเข้าสอบต่อหน้าพระที่นั่ง แล้วที่พวกเขาสู้อดทนทำมาทั้งหมดล่ะ เมื่อคิดได้ดังนั้น อินเฉิน ซุยเฉินเหยา เทียนมู่อวี้ต่างรีบอธิบายและให้ข้อมูลอย่างตื่นตระหนก แต่เจียงอู๋ตี้กลับไม่สนใจฟัง เขาหันไปสอบถามเด็กหนุ่มที่ถูกกล่าวหา โดยมีผู้ช่วยคอยจดคำให้การ เด็กหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มอารมณ์ว่า “ข้าชื่อ สวี่เฟิงหยวน เป็นชาวเมืองหนานจิง ข้ามากินข้าวเย็นที่นี่ แล้วก็ลงมาเข้าห้องน้ำ ตอนที่มาเข้าห้องน้ำก็เห็นศพชายคนนี้ แต่ข้าไม่แน่ใจว่าเขายังมีชีวิตหรือไม่ ก็เลยไปพลิกตัวเขาดู แล้วชายพวกนี้ก็มากล่าวหาว่า ข้าเป็นคนฆ่าเขา!” เจียงอู๋ตี้ถามว่า “เจ้ามีพยานรู้เห็นว่าเจ้าไม่ได้ฆ่าชายคนนี้หรือไม่” “ไม่มีหรอก ข้ามาคนเดียว!” สวี่เฟิงหยวนพูดอย่างเริ่มโมโห ในขณะที่หวังเฉิงแสยะยิ้มและพูดขึ้นมาว่า “เห็นไหมล่ะ แบบนี้แล้ว ยังกล้าปฏิเสธอีกหรือ!” เจียงอู๋ตี้หันไปถามหวังเฉิงบ้าง “เจ้าชื่ออะไร และมาเจอศพได้อย่างไร” “ข้าชื่อหวังเฉิงขอรับ เป็นพ่อค้าข้าวสารอยู่ที่เมืองเสฉวน ไปๆมาๆ ระหว่างเมืองหลวงกับเสฉวน” จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า “วันนี้ข้ามีนัดกินข้าวกับผู้ตาย เขาคือ หลี่เจียน เป็นพ่อค้าเหมือนกัน เขาขอตัวมาเข้าห้องน้ำ แต่ข้าเห็นเขาหายตัวไปนาน ก็เลยลงมาตาม แล้วก็มาพบเจ้าเด็กคนนี้กำลังจับตัวคนตายอยู่ ข้าว่าเจ้าเด็กนี่ละที่เป็นฆาตกร!” สวี่เฟิงหยวนซึ่งโมโหมากขึ้นก็ตอบโต้ทันที “ข้าจะไปฆ่าเขาทำไม! ข้าไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ” “เหอะๆ จะไปรู้หรือ เจ้าอาจจะฆ่าปิดปากเพื่อเอาเงินจากเพื่อนของข้าก็ได้” พ่อค้าตอบพร้อมกับแสยะปาก แต่ก่อนที่พวกเขาจะโต้เถียงกันมากไปกว่านี้ เจียงอู๋ตี้ก็หันมาถามกลุ่มของบัณฑิตที่ยืนรออย่างกระสับกระส่ายว่า “แล้วพวกท่านล่ะ มาเกี่ยวข้องอะไรด้วย” ซุยเฉินเหยารีบตอบว่า “พวกเรามากินเลี้ยงฉลองที่สอบผ่าน จากนั้นก็เตรียมตัวกลับ” เทียนมู่อวี้พูดเสริมว่า “แล้วก็ได้ยินเสียงโต้เถียงกัน จากนั้นน้องชายคนนี้ก็วิ่งมาชนเฟิงหลี่เฉียง เพื่อนของข้าจนเกือบจะล้ม” “แล้วพวกเราก็ถูกชายคนนี้กล่าวหาว่าสมรู้ร่วมคิดด้วย บ้าจริง!” อินเฉินสรุปเป็นคนสุดท้ายด้วยความโมโห ก่อนที่จะพูดอะไร ลูกค้าบางคนที่มากินอาหารและถูกสั่งให้รอก็เริ่มส่งเสียงดังโวยวาย เจียงอู๋ตี้จึงสั่งให้ลูกน้องรีบไปสอบปากคำ จากนั้นก็หันมาพูดกับทุกคนว่า “เอาอย่างนี้ ข้าจะพาพวกท่านไปที่ว่าการอำเภอก่อน แล้วข้าจะกลับมาสอบปากคำคนที่นี่อีกครั้ง” เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนต่างโวยวายขึ้นมาด้วย โดยเฉพาะกลุ่มอินเฉิน ซุยเฉินเหยา เทียนมู่อวี้ที่รู้ดีว่า พวกเขาจะต้องมีมลทินแน่ และไม่รู้ว่าจะสอบปากคำเสร็จวันไหน โอกาสที่พวกเขาจะได้อ่านหนังสือหรือแม้แต่ไปสอบก็จะหลุดลอยไป อินเฉินพูดด้วยความโมโหว่า “พวกข้าจะต้องเข้าสอบระดับพระราชสำนักอีกภายในสองอาทิตย์นี้ ถ้าพวกข้าไปสอบไม่ได้ ท่านจะรับผิดชอบอย่างไร!” อีกสองคนสนับสนุนเสียงดัง ในขณะที่พวกของหวังเฉิงก็ไม่ยอมเช่นกัน “จะไปยากอะไร ก็จับเจ้าเด็กหนุ่มนั่นไปเลยสิ!” แต่แล้วทุกคนที่ต่างคนต่างโต้เถียงก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงทุบโต๊ะดังเปรี้ยงขึ้นมา! เมื่อหันไปมองทางต้นเสียง ก็เห็นเฟิงหลี่เฉียงยกมือขึ้นมาจากโต๊ะช้าๆ แล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดผิดไปจากท่าทีสุภาพภายนอกว่า “ใต้เท้าเจียงอู๋ตี้ อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุป” เขากวาดตามองไปทีละคน จากนั้นก็พูดต่อว่า “ถ้าข้าไขคดีนี้ได้ในตอนนี้ ท่านจะว่าอย่างไร” เจียงอู๋ตี้ชักสีหน้า เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกเด็กหนุ่มลูบคม ถึงคนกลุ่มนี้จะเป็นบัณฑิต แต่เขาก็ทำงานมานาน เขาจึงกระชากเสียงพูดว่า “เจ้าจะทำอะไรได้!” แต่อินเฉินซึ่งเริ่มมีความหวัง ก็รีบพูดขึ้นว่า “ท่านคงไม่รู้ว่า เพื่อนคนนี้ของข้า คือบัณฑิตฮุ่ยหยวนของปีนี้ ถึงเขายังดูเด็ก แต่ท่านน่าจะเชื่อสติปัญญาของเขาบ้างนะ” อีกสองคนรีบสนับสนุนขึ้นมา ทำให้เจียงอู๋ตี้ชะงักไป หลายคนต่างหันมามองบัณฑิตหนุ่มด้วยความทึ่ง ในขณะที่เฟิงหลี่เฉียงก็พูดเตือนว่า “ท่านก็อย่าลืมว่า ในตอนนี้ พวกข้าสามารถรับราชการเป็นนายอำเภอได้ในทันที นั่นก็แปลว่า ข้าสามารถสืบสวนและวินิจฉัยคดีได้ด้วย” เจียงอู๋ตี้หน้าเปลี่ยนสี จริงสินะ บัณฑิตที่เป็นกงเซิงแล้ว สามารถรับราชการได้ทันที เมื่อได้ยินดังนั้น เขาจึงกัดฟันพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “ก็ได้ ข้าจะให้พวกท่านลองไขคดี แต่ถ้าไม่สำเร็จ..จะต้องไปที่อำเภอกับข้า!” ทุกคนตกลงตามนั้น ที่จริงแล้วเพื่อนของเฟิงหลี่เฉียงก็ไม่แน่ใจในความสามารถของเด็กหนุ่มนัก พวกเขารู้จักกันจากการเรียนในโรงเรียน แต่ไม่ได้สนิทสนมมาก แต่ตอนนี้พวกเขาลงเรือลำเดียวกันแล้ว จึงต้องช่วยกันพายไปให้สุดทาง หลังจากทุบโต๊ะเกือบพังไปอีกหนึ่งตัว เฟิงหลี่เฉียงซึ่งนิ่งสงบลง ก็พูดขึ้นว่า “ข้าขอสอบถามพนักงานก่อน” ผู้จัดการภัตตาคารรีบออกไปตามเสี่ยวเอ้อมาให้ เพราะเขาก็อยากให้เรื่องจบโดยเร็วเช่นกัน เมื่อพนักงานจำนวน 6 คนมาถึง เด็กหนุ่มก็บอกว่า “ขอให้พวกท่านตอบคำถามให้ดี และคิดก่อนตอบด้วย” ทุกคนพยักหน้าอย่างกลัวๆ “ข้าขอถามว่า ในวันนี้ มีใครได้พบเห็นคุณชายท่านนี้หรือไม่ ถ้าเห็น หรือได้คุยกับเขา หรือบริการเขา ก็ขอให้ช่วยบอกมาทันที” เฟิงหลี่เฉียงผายมือไปยังสวี่เฟิงหยวนที่ยืนอยู่อีกด้าน เสี่ยวเอ้อทุกคนมองตาม และคนแรกตอบว่า เขาเป็นคนต้อนรับและพาเด็กหนุ่มไปนั่งที่โต๊ะชั้นหนึ่งด้านใน และอีกคนบอกว่าตนเองเป็นคนนำอาหารมาให้ที่โต๊ะ เฟิงหลี่เฉียงพยักหน้า และถามเสี่ยวเอ้อคนแรกว่า “ท่านบอกว่าเป็นคนพาเขาไปนั่งที่โต๊ะ เขามาคนเดียวหรือมากับใคร” เสี่ยวเอ้อรีบตอบ “มาคนเดียวขอรับ” เด็กหนุ่มหันไปถามเสี่ยวเอ้อที่ยกอาหาร เขาก็ยืนยันเช่นกันว่าสวี่เฟิงหยวนมาคนเดียว จากนั้นเฟิงหลี่เฉียงจึงถามต่อว่า “พวกเจ้าคนไหนบ้าง ที่มาต้อนรับและคอยบริการพวกเราทั้งสี่คน” มีเสี่ยวเอ้อสองคนยกมือตอบว่า พวกเขาเป็นคนบริการกลุ่มของเฟิงหลี่เฉียงเอง เด็กหนุ่มจึงถามเสี่ยวเอ้อทั้งสองว่า “พวกท่านเห็นพวกข้ากับคุณชายท่านนี้พูดคุยกันหรือไม่” เสี่ยวเอ้อสองคนหยุดคิดและตอบว่าไม่เห็น พร้อมกัน หวังเฉิงรีบถามขัดขึ้นมาว่า “พวกเจ้าอยู่เฝ้าตลอดหรือไง พวกเขาอาจจะดอดลงไปคุยกันตอนไหนก็ได้” แต่เสี่ยวเอ้อคนหนึ่งกลับแย้งว่า “ไม่มีทางขอรับ ข้าจำได้ว่าทุกคนอยู่แต่ในห้อง เพราะข้ายืนเฝ้าอยู่หน้าห้องตลอด!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD