ในห้องทรงพระอักษร ชายร่างสูงใหญ่วัย 40 ปี ท่าทางสง่างาม เปี่ยมไปด้วยอำนาจและความเด็ดขาด ใส่ชุดสีดำเดินลายสีทอง ปักรูปมังกร 5 เล็บอยู่ด้านหน้า กำลังนั่งอ่านกระดาษคำตอบของบัณฑิตจำนวน 10 คน ที่ผ่านการคัดเลือกให้เป็นอันดับหนึ่งหรืออี้เจี่ย ในจำนวนนี้จะมีเพียง 3 คน ที่ได้รับการคัดเลือกจากฮ่องเต้ให้เป็น “จ้วงหยวน” “ป๋างเหยี่ยน” และ “ทั่นฮวา”
ขันทีที่ใกล้ชิดของหย่งเล่อ เดินเข้ามาใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง และยกน้ำชามาเสิร์ฟ พร้อมกับช่วยฝนหมึกที่แท่นวางหมึกหยกให้อย่างเงียบๆ
ฮ่องเต้หย่งเล่อพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจว่า “เจ้าฟังนะ จงเซียน ในคำถามแรก ข้าถามว่า ในยุคราชวงศ์หมิง จักรพรรดิเป็นผู้นำสูงสุดที่มีบทบาทในการรักษาความมั่นคงภายในและภายนอกของจักรวรรดิ หากนำแนวคิดของขงจื๊อมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการความมั่นคงของรัฐ จักรพรรดิหมิงควรจะปฏิบัติอย่างไรในการปกครองและการใช้กองทัพเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย จงเซียน เจ้ารู้ไหม บัณฑิตคนนี้ตอบว่าอย่างไร”
จงเซียน ขันทีวัย 43 ปี ซึ่งอยู่รับใช้จักพรรดิหย่งเล่อมาตั้งแต่เขายังเป็นอ๋องแห่งแคว้นเยี่ยน รีบตอบด้วยความสนใจว่า “กระหม่อมอยากรู้เช่นกัน ว่าเขาจะตอบคำถามได้ล้ำลึก สมตามพระประสงค์ของฝ่าบาทอย่างไร”
ฮ่องเต้หยิบกระดาษคำตอบของบัณฑิต ที่ไม่มีการใส่ชื่อเสียงเรียงนามลงไป และอ่านดังๆ ว่า
“บัณฑิตคนนี้ตอบว่า ขงจื๊อให้ความสำคัญกับ ‘การปกครองด้วยคุณธรรม’ ซึ่งหมายถึงการที่ผู้นำควรจะสร้างความศรัทธาในจิตใจของประชาชนและขุนนาง เพื่อให้พวกเขาเชื่อมั่นในผู้นำและปฏิบัติตามกฎหมายได้โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงมากนัก ในการรักษาความมั่นคงภายในและการป้องกันการรุกรานจากภายนอก จักรพรรดิจะต้องใช้กองทัพในฐานะเครื่องมือในการปกป้องแผ่นดิน แต่จะต้องเน้นการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างชนชาติและส่งเสริมความเป็นธรรมในทุกระดับ”
ขันทีจงเซียน ซึ่งติดสอยห้อยตามหย่งเล่อมานาน รู้ได้ทันทีว่าคำตอบของบัณฑิตคนนี้โดนพระทัยของฮ่องเต้อย่างไร เพราะหย่งเล่อเป็นฮ่องเต้ที่แย่งชิงบัลลังก์มาจากหลานของตนเอง คือ ฮ่องเต้จูเหวิน และยังก่อสงครามกลางเมืองขึ้นมานานหลายปีจนยึดบัลลังก์ได้ ถึงในตอนนี้สถานการณ์ภายในต้าหมิงก็ยังมีคลื่นใต้น้ำเกิดขึ้น
หย่งเล่อพูดในสิ่งที่เขาแทบจะไม่เคยพูดออกมา และทำให้ขันทีจงเซียนที่ยืนก้มตัวลงฟังอยู่ด้านข้าง ต้องเหงื่อแตกพลั่กด้วยความกลัว
“หลายคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ข้า เรื่องการเป็นฮ่องเต้ และยังบอกว่าข้าเก่งการรบ แต่ไม่มีความเฉลียวฉลาดด้านศาสตร์อื่นๆ พวกขุนนางกับบัณฑิตบางคนจึงแอบดูถูกข้าอยู่ หึ! คิดว่าข้าโง่นักหรือ แต่บัณฑิตคนนี้ กลับยกทั้งข้อดีข้อเสียของการใช้ทหารมาช่วยปกครองบ้านเมืองมาตอบข้อสอบ”
หย่งเล่ออ่านข้อสอบให้จงเซียนฟังด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ ถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งพูดถึงความในใจที่เก็บเอาไว้มานาน ไปเมื่อสักครู่ก็ตาม
“บัณฑิตคนนี้ตอบว่า ข้อดีของการใช้กองทัพในการรักษาความสงบ คือ การป้องกันภัยคุกคามจากภายนอก เพราะขงจื๊อเน้นใช้คุณธรรมและความยุติธรรมเป็นหลักในการปกครอง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นจากประชาชน ดังนั้น การใช้กองทัพในการปกป้องรัฐจากการรุกรานของชนเผ่ามองโกลหรือชนชาติอื่นๆ ในราชวงศ์หมิง จึงถือเป็นสิ่งที่จำเป็นในการรักษาความมั่นคงของอาณาจักร และยังเป็นหน้าที่ของผู้นำที่ดีในการปกป้องแผ่นดินและประชาชนด้วย
บัณฑิตคนนี้ ยังพูดถึงการสร้างกำแพงเมืองจีนที่ผ่านมา การใช้กองทัพป้องกันการโจมตีจากชนเผ่ามองโกล สะท้อนถึงการปฏิบัติตามหลักของขงจื๊อที่ว่าผู้นำต้องมีภาระในการรักษาความสงบเรียบร้อย และการปกครองอย่างยุติธรรมเพื่อประโยชน์ของประชาชน”
จางเซียนรู้ได้ทันทีว่า หย่งเล่อพอพระทัยกับคำตอบนี้
เพราะอะไรน่ะหรือ
ก็เพราะหย่งเล่อใช้นโยบายทั้งพระเดชและพระคุณกับเผ่ามองโกล จนสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และทำให้ชายแดนด้านเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือสงบลงไปได้หลายปี
หย่งเล่ออ่านต่อว่า “การใช้กองทัพยังเสริมสร้างอำนาจและความชอบธรรมของจักรพรรดิ จากมุมมองของหลักปรัชญาของเต๋า ผู้นำต้องคำนึงถึงการรักษาความสมดุล ระหว่างการใช้อำนาจและการรักษาความสงบในสังคม การที่จักรพรรดิใช้กองทัพในการรักษาความสงบภายในและการปกป้องภายนอก จะต้องเน้นการใช้พลังที่ไม่เกินขอบเขต ซึ่งจะช่วยให้เกิดความสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงและการหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงเกินไป
การรักษาความสงบในแบบของเต๋า คือการหาทางที่นุ่มนวล และไม่กระทบต่อจิตใจของประชาชนมากเกินไป เช่น กองทัพอาจถูกใช้เพื่อปราบปรามการจลาจลภายใน โดยการใช้อำนาจอย่างมีความระมัดระวัง และไม่ใช้ความรุนแรงเกินความจำเป็น ซึ่งเป็นการรักษาความสมดุลระหว่างการใช้อำนาจของรัฐ และการคุ้มครองสิทธิของประชาชน”
แล้วหย่งเล่อก็หัวเราะหึหึในลำคอ เมื่ออ่านคำตอบถัดมา “แต่ข้อเสียของการใช้กองทัพในการรักษาความสงบ คือ การใช้ความรุนแรงอาจทำให้เกิดการต่อต้านจากประชาชน ขงจื๊อเน้นการปกครองที่ใช้คุณธรรมและศีลธรรมในการบริหารราชการ ถ้าผู้นำใช้กองทัพในการบังคับหรือปราบปรามประชาชนโดยใช้ความรุนแรงมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดความไม่พอใจและความตึงเครียดในสังคม เช่น เมื่อจักรพรรดิใช้กองทัพปราบการประท้วงของประชาชน ที่ไม่พอใจการเกณฑ์ทหารหรือการเก็บภาษีอย่างหนัก การใช้กองทัพเช่นนี้ อาจทำให้รัฐเสียความชอบธรรมและทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นในผู้นำ
และถ้าใช้กองทัพมากเกินไป อาจทำให้การพัฒนาทางการศึกษาหรือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนถูกลดลง และการพัฒนาเศรษฐกิจถูกละเลย ส่งผลต่อความมั่นคงในระยะยาวของประเทศ ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักของขงจื๊อ ที่เน้นการพัฒนาในด้านคุณธรรมและการศึกษา เพื่อสร้างสังคมที่ยั่งยืน”
จงเซียนนิ่งฟังด้วยความกลัว เขาได้แต่คิดในใจว่า บัณฑิตคนนี้ช่างหาเรื่องหัวขาดนัก แต่ฮ่องเต้กลับอ่านข้อสอบของเขาด้วยท่าทีนิ่งสงบ และมีแววตาแปลกประหลาด
ตลอดช่วงเวลา 3 วัน ที่ฮ่องเต้หย่งเล่อตรวจข้อสอบของบัณฑิตที่อยู่ในกลุ่มอี้เจี่ยจำนวน 10 คนนี้ หลายครั้งที่หย่งเล่อจะหยิบกระดาษคำตอบของบัณฑิตคนอื่นขึ้นมาอ่าน และส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาจะตอบในเชิงสนับสนุนแนวทางการใช้ทหาร ที่เป็นแนวทางหลักในการปกครองของฮ่องเต้พระองค์นี้ แต่บัณฑิตคนสุดท้ายนี้ กลับตอบทั้งข้อดีและข้อเสียของการใช้กองทัพในการปกครอง...
เอาเถอะนะ อย่างน้อยบัณฑิตคนนี้ก็ยังสอบผ่านจนเป็นถึงจินชื่อ แต่คำตอบแบบนี้ คงจะไม่ติดอันดับ 1 ใน 3 คนที่ได้คะแนนสูงจากฮ่องเต้อย่างแน่นอน และอนาคตการเป็นขุนนางที่ได้ถวายการรับใช้ใกล้ชิดก็คงจะริบหรี่อย่างแน่นอน ขันทีจางเซียนคิดในใจ
หลังจากนั้น หย่งเล่อก็ไม่ได้พูดถึงข้อสอบของบัณฑิตคนไหนอีกเลย พระองค์ตรวจข้อสอบเสร็จ และใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งวันในการตัดสินใจเลือกจินชื่อ จี๋ตี้ หรือจินชื่อผู้โดดเด่น จำนวน 3 คน และในบ่ายวันนั้น ฮ่องเต้หย่งเล่อก็ตัดสินพระทัยคัดเลือกบัณฑิตออกมาได้ และเรียกราชเลขาธิการมาร่างพระราชโองการทันที
ในอีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา บนถนนสายหลัก กลางเมืองหนานจิง ผู้คนต่างพากันมายืนเรียงรายอยู่สองข้างถนน เพื่อรอชมขบวนแห่จินชื่อ จี๋ตี้จำนวน 3 คนของปีนี้ และที่ทำให้พวกเขาตื่นเต้นไม่น้อย คือ บัณฑิตจิ้นชื่อปีนี้ หน้าตาหล่อเหลาสง่างามมาก!
เสียงของหญิงสาวหลายคนต่างซุบซิบกันด้วยความตื่นเต้น “จริงหรือ ที่เขาว่าจินชื่อปีนี้หล่อเหลามากน่ะ!”
หญิงสาวอีกคนที่วันนี้แต่งตัวสวยเช่นกัน ก็พูดว่า “ใช่จ้ะ! พี่ชายของข้าบอกว่า มีสองคนที่ยังเป็นโสดด้วยนะ”
บทสนทนาแบบนี้ดังขึ้นในหลายมุมของเมืองหลวง ในขณะที่ผู้ชายบางคนก็ส่ายหัวด้วยความเอือมระอา บางคนก็ไม่พอใจ จนอดพูดแดกดันไม่ได้ว่า “หล่อแล้วอย่างไรรึ! เขาไม่สนใจพวกเจ้าหรอก”
“ใช่แล้ว ต้องหนุ่มชาวบ้านแต่จริงใจอย่างข้าสิ ที่จะสนใจสาวชาวบ้านอย่างพวกเจ้าจริง!” ชายคนหนึ่งที่กำลังแบกตะกร้าผักบนหลังพูดสนับสนุน
แต่หญิงสาวทั้งหลายไม่ใส่ใจ หญิงสาวคนหนึ่งท่าทางก๋ากั๋นก็พูดว่า “ข้าไม่รู้หรอกว่าใครจริงใจหรือไม่จริงใจ แต่โอกาสที่จะได้เห็นจินชื่อหนุ่มๆ แบบนี้ มีแค่ทุก 3 ปีเท่านั้น!”
คนอื่นๆ ต่างพากันส่งเสียงเห็นด้วย แต่เมื่อได้ยินเสียงตีฆ้องและและเสียงประกาศของเจ้าหน้าที่จากหัวถนนดังมา พวกเขาก็ต้องหยุดถกเถียงกัน และรีบชะเง้อมองไปที่ปลายถนนไกล ตอนนี้ขบวนแห่จินชื่อ จี๋ตี้ทั้ง 3 คน กำลังเคลื่อนมาทางนี้แล้ว!
เสียงตีฆ้องและเสียงประกาศของเจ้าหน้าที่นำขบวนจากกรมพิธีการดังก้องไปทั่ว พวกเขาประกาศให้ประชาชนหลบออกไปจากถนน ในขณะนี้ จินชื่อ จี๋ตี้กำลังเดินทางไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่พระราชวัง
ขบวนที่นำหน้าโดยทหาร และข้าราชการจากกรมพิธีการเดินมาตามถนน ตามด้วยบัณฑิตหนุ่ม 3 คนที่ขี่ม้าเรียงกันตามอันดับที่ได้รับการแต่งตั้ง ชาวบ้านต่างมองพวกเขาด้วยความชื่นชม โดยเฉพาะผู้นำคนแรก ที่เป็นจ้วงหยวนของปีนี้ เขาสวมชุดบัณฑิตสีแดง และหมวกสีดำ และบนหมวกตกแต่งด้วยดอกโบตั๋นที่ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้[1]
หลายคนตกตะลึงเมื่อเห็นเขาขี่ม้าใกล้เข้ามา จ้วงหยวนปีนี้ยังเด็กอยู่มาก และที่สำคัญ เขายังหล่อเหลาสง่างามสมกับข่าวลือที่ได้ยินมา!
เป็นครั้งแรกที่เฟิงหลี่เฉียง ต้องอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมาก ถึงเขาจะเป็นคนที่ไม่สนใจสายตาและความคิดเห็นของใครมากนัก แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป ในฐานะที่เป็นจ้วงหยวนหรือจอหงวนอันดับหนึ่งของปีนี้ เขาต้องขี่ม้าสีน้ำตาลแดงที่ตกแต่งอย่างสวยงาม นำหน้าบัณฑิตที่ได้ตำแหน่งรองจากเขาอีกสองคน
ตลอดเส้นทางนั้น เสียงผู้คนโห่ร้องต้อนรับ และเสียงชื่นชมจากผู้คนที่อยู่ริมถนนดังไปทั่ว หญิงสาวต่างปาดอกไม้และผ้าเช็ดหน้าลงมาจากชั้นสองของอาคาร หรือโยนขึ้นมาให้พวกเขาจากริมถนน นี่คือ ธรรมเนียม ที่แสดงถึงความชื่นชมต่อชายหนุ่มที่มีความโดดเด่น โดยเฉพาะคนที่เป็นข้าราชการพลเรือน ทหารและขุนนางมีตระกูล และยังเป็นโอกาสให้หญิงสาวทั้งหลายได้เห็นหน้าชายหนุ่มเหล่านี้ เพื่อให้พวกเธอได้เลือกคู่อีกทางหนึ่ง
เฟิงหลี่เฉียงได้แต่ยิ้ม และคอยเอี้ยวตัวหลบดอกไม้ที่ปามาโดนหน้าเขาโดยตรง ในขณะที่อีกสองคนนั้น คนหนึ่งยิ้มแย้มแจ่มใส และคุ้นเคยกับการเป็นเป้าสายตาเป็นอย่างดี เขาคือ หลิวเจิ้นจื่อ ซึ่งเป็นลูกชายของเจ้ากรมโยธาธิการ เขามีหน้าตาหล่อเหลาและมีเสน่ห์โด่งดังในเมืองหลวงมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ปีนี้เขาอายุ 26 ปี และได้ตำแหน่งป๋างเหยี่ยน และคนที่สาม ที่ได้ตำแหน่งทั่นฮวา คือ ชายหนุ่มอายุ 40 ปี ซึ่งสอบเคอจวี่มาหลายครั้ง และประสบความสำเร็จในครั้งนี้ เขาชื่อ ติงป๋อ เป็นลูกชายของผู้ว่าการจังหวัดทางตอนกลางของประเทศ เขาไม่ได้มีหน้าตาหล่อเหลาเท่ากับอีกสองคน แต่มีท่าทางจริงจัง และในตอนนี้ก็รู้สึกอึดอัดและเขินอายเช่นกัน น่าเสียดายที่เขาแต่งงานแล้ว ตำแหน่งภรรยาหลวงจึงถูกช่วงชิงไป แต่ก็ยังมีบางคนที่สนใจจะเป็นภรรยารองของเขาด้วย
ในขณะที่จินชื่ออีกสองคนที่ยังโสดนั้น คนที่น่าสนใจที่สุดกลับเป็นอันดับสอง เพราะไม่มีใครรู้ว่า เฟิงหลี่เฉียงมีประวัติความเป็นมาอย่างไร ทุกคนคิดว่าเขามาจากครอบครัวธรรมดา ตั้งใจเรียนและเฉลียวฉลาดจนสามารถสอบผ่านเป็นจ้วงหยวนคนล่าสุดได้ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หลิวเจิ้นจื่อ ซึ่งเป็นลูกชายของเจ้ากรมโยธาธิการจึงมีความน่าสนใจมากกว่า
ในวันนั้น ทั้งสามคนเดินทางไปยังพระราชวังเพื่อรับพระราชทานงานเลี้ยงจากฮ่องเต้หย่งเล่อ ซึ่งมีบทสนทนากับพวกเขา ถึงแม้ว่าหย่งเล่อจะซักถามเฟิงหลี่เฉียงตามธรรมเนียม แต่เขาก็ไม่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ หลายครั้งที่จินชื่ออันดับสองหรือสาม กลับมีความโดดเด่นและได้รับโอกาสมากกว่าอันดับหนึ่ง เพราะมีหลายปัจจัย ทั้งบุคลิกภาพ เครือข่าย และสถานภาพทางสังคม ขุนนางในงานเลี้ยง จึงไม่มีใครใส่ใจจ้วงหยวนที่อายุน้อย และมาจากครอบครัวคนธรรมดา แต่กลับสนใจจินชื่ออันดับที่สองและที่สามที่น่าจะมีอิทธิพลมากกว่า
เฟิงหลี่เฉียงซึ่งเข้าใจโลกดี จึงนั่งกินและดื่มอาหารตามปกติ หากใครสนใจจะคุยด้วย เขาก็จะคุยด้วย หากใครไม่สนใจเขา เขาก็ไม่คิดจะเริ่มต้นบทสนทนาก่อน
หลังจากงานเลี้ยงเลิกราไปแล้ว บัณฑิตทั้งสามจะเดินทางกลับบ้านเกิด โดยมีขบวนแห่ของทางการไปส่ง ซึ่งเฟิงหลี่เฉียงจึงได้มีโอกากลับไปคารวะแม่และอาจารย์ของเขา และได้ใช้เวลาพักผ่อนอยู่ที่บ้านเชิงเขาหลานเถียนอยู่ระยะหนึ่ง จากนั้นจึงเดินทางกลับมาที่เมืองหลวง เพื่อรายงานตัว และเข้าทำงานในตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ในเวลาต่อมา
[1] ในประเทศจีนนั้น ไม่เพียงแต่ผู้หญิงจะประดับดอกไม้ไว้บนศีรษะเพื่อบ่งบอกถึงเกียรติยศ การเฉลิมฉลอง และความเป็นมงคล ผู้ชายยังตกแต่งศีรษะด้วยดอกไม้และเมล็ดพืชบางชนิดด้วย ในราชสำนักยังมีธรรมเนียมที่ฮ่องเต้จะพระราชทางดอกไม้ให้กับขุนนางและข้าราชการเพื่อแสดงถึงเกียรติยศและความชื่นชม ซึ่งจอหงวนหรือข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ จะได้รับดอกไม้นี้เช่นเดียวกัน ธรรมเนียมนี้ยุติไป ในช่วงราชวงศ์หมิงตอนปลาย