ยามอิ่ว (18.20)
“หิวมากก็ทานมากๆ นะ” น้องสาวท่านหมอหญิงผู้มีนามว่าป้าลี่ตักข้าวให้สตรีงดงามช่างอ้อนเป็นชามที่สองอย่างชอบใจ ด้วยทั้งนางและพี่สาวมิมีสามีจึงมิเคยมีโอกาสได้เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานเลยสักครา ก่อนหน้านี้ที่เห็นชิงเซียนอยู่ในถังแช่น้ำอุ่นนางก็ตกใจแต่เมื่อนั่งฟังเรื่องราวของสตรีรุ่นหลานก็เริ่มเห็นใจ การจากบ้านมาแสนไกลทำให้ยิ่งสงสาร เวลาไม่ถึงสองเค่อนางกลับชักชวนสตรีตัวน้อย ใบหน้างดงามอยู่ร่วมสำรับเย็นเสียแล้ว จะบอกว่าถูกชะตาคงไม่ผิดนัก “เช่นนั้นคืนนี้ก็นอนพักที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยเดินทาง”
“ขอบคุณท่านป้ามากเจ้าค่ะที่เมตตาชิงเซียน” พยายามใช้ตะเกียบคีบข้าวเข้าปากอย่างยากเย็น ก่อนจะขอเสียมารยาทหยิบช้อนตักน้ำแกงขึ้นมา “ข้าใช้ตะเกียบไม่เก่งขอใช้ช้อนอันนี้ตักข้าวแทนนะเจ้าคะ”
“หืมมม” ป้าลี่มองสตรีผู้ใช้ช้อนตักน้ำแกง ตักข้าวร้อนๆ เข้าปาก นางไม่ได้แปลกใจหรือห้ามปรามเพราะมันมิได้ผิด เพียงแค่ดูแตกต่างจากคนอื่นเท่านั้น “ตามเจ้าสะดวกเถอะ”
ชิงเซียนยิ้มให้ป้าลี่ก่อนจะหันมองไปรอบๆ กระท่อมมองหาสัตว์สีดำตัวอ้วน “แล้วอาหารแมวมีหรือไม่เจ้าคะ” แม้นางจะไม่เห็นแมวน้อยแต่นางก็ยังอดห่วงอีกฝ่ายไม่ได้ ไม่รู้ว่าแมวของนางไปแอบจับหนูที่ใดแล้วก็ไม่รู้
“อาหารแมวรึ” ป้าลี่ส่ายหน้า “ไม่มีหรอก ป้าไม่เคยเลี้ยงสัตว์เลยสักตัว ว่าแต่เจ้าจะเอาอาหารแมวไปให้แมวที่ใด” ในเมื่อตอนเจอกับสตรีตัวน้อยนี้ นางก็ไม่พบแมวรึสัตว์อื่นใดสักตัว
“แมวอ้วนของข้าเจ้าค่ะ ยามนี้คงจะออกไปหาหนูทานแล้วกระมัง”
ผู้ถูกกล่าวหาว่าไปหาหนูทานนั่งส่ายหน้าอยู่นอกหน้าต่าง ก่อนหน้านี้อี้ฟานแอบไปเฝ้าดูท่านหมอชราทำการรักษากวนผูเล่ออยู่ที่ห้องพักอีกด้าน ภายในห้องนั้นเขาได้เห็นบุรุษวัยกลางคนที่แบกผูเล่อเข้ามากับหนึ่งสตรีรุ่นเยาว์ที่คาดว่าคงจะผ่านพ้นวัยปักปิ่นมาไม่นาน ฟังจากที่ทั้งสามคนสนทนากัน สตรีรุ่นเยาว์นางนั้นคือบุตรสาวของผู้ให้การช่วยเหลือกวนผูเล่อ หากเขามองไม่ผิดสตรีน้อยนางนั้น เฝ้ามองผูเล่อด้วยดวงตาหวานเชื่อม หลงใหล จำได้ว่าสตรีที่ผูเล่อหลงรักมาหลายร้อยชาติคือบุตรสาวของนายกองท่านหนึ่งที่เป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวงและนายกองท่านนั้นคือหมากตัวสุดท้ายที่ผูเล่อหลอกใช้ชิงเซียน หลอกให้นางไปร่วมรักกับนายกองเพื่อระบายความใคร่แล้วยกบุตรสาวตนให้สมรสกับเขา ในคืนนั้นเองที่ชิงเซียนตาสว่างลอบสังหารนายกองผู้นั้นอย่างเลือดเย็นก่อนที่อารมณ์นางจะปะทุขึ้นจนธาตุไฟเข้าแทรก บวกกับยาพิษที่ถูกผูเล่อวางเอาไว้มาช้านานเริ่มออกฤทธิ์ ยามนั้นร่างกายนางฉีกขาดออกเป็นเสี่ยงๆ เกือบหนึ่งร้อยชาติที่ชิงเซียนหาทางแก้ไขเรื่องราวของตนเองจนสุดท้ายนางหาทางออกด้วยการจ้างวานนางโลมมากกว่าสิบคน ไปเป็นตัวแทนยามที่ต้องใช้ร่างกายระบายความใคร่แก่เหล่าบุรุษมากหน้าหลายตาตามคำสั่งของผูเล่อ วิชามารถูกนำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นวิชาพรางตา วิชาปิดกั้นเส้นเสียงหรือแม้แต่วิชาสลายวิญญาณ แน่นอนว่าอย่างหลังนางใช้เพื่อสังหารบุรุษต่ำช้ามาแล้วหลากหลายคน ย้อนกลับมาในยามนี้ ยามที่มีสตรีคนใหม่มาเพิ่มและผู้ช่วยเหลือกวนผูเล่อนั้นเปลี่ยนไป...ตัวอี้หยุนเองที่เป็นเพียงแมว? ก็ทำได้เพียงเฝ้ามองและชี้นำ ซึ่งชิงเซียนคนใหม่นี้ดูจะไม่เคยฟังสิ่งใดที่ตนชี้แนะเลย อื่นใดนั้นไม่สำคัญเท่าเรื่องที่นางจะหา อาหารแมวมาให้ตน! “เหอะ ข้ามิเคยทานอาหารแมวเลยสักครั้งเหตุใดนางจึงไม่เข้าใจ” ใช้หางปัดยุงไปมาอย่างรำคาญ เหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า บรรยากาศยามเย็นพัดพาให้คิดถึงชิงเซียนคนเก่า ชิงเซียนที่เป็นดั่งสหาย เป็นดั่งน้องสาว สตรีเด็ดขาดที่น่าสงสาร ยามนี้นางจะเป็นเช่นไรมิมีใครรู้ได้ สุดท้ายหากมิได้พบกันอีกก็ขอให้นางได้ใช้ชีวิตในแบบที่นางใฝ่ฝัน…แต่อะไรคือทิ้งร่างให้สตรีไร้ยางอายผู้นี้มาอาศัยอยู่แทนเล่า!! แมวดำนอนหมอบลงเมื่อเห็นหมอชราเดินเข้าไปในกระท่อม (ด้านหลังของโรงหมอ) อี้หยุนรู้ว่าหมอชราต้องเข้ามาระบายความอัดอั้นตันใจเกี่ยวกับเรื่องของชายตกร่องเขา จะเป็นผู้ใดได้ถ้ามิใช่กวนผูเล่อ บุรุษเห็นแก่ตัวผู้นั้น เมื่อในอดีตชาติ
๑--------------------๑
ในกระท่อม
ชิงเซียนมองท่านหมอหญิงผู้รักษานางจากอาการคันอย่างเป็นห่วง ความเหนื่อยล้าเผยออกมาจากดวงตาเหี่ยวย่นนั้นอย่างปิดไม่มิด นางรู้ว่าบุรุษบาดเจ็บผู้นั้นที่แมวดำบอกกับนางกำลังอยู่ในความดูแลของท่านหมอหญิงฉู่หลัน อาการเป็นตายอย่างไรนางไม่ได้ถามเพราะไม่คิดอยากจะเข้าไปเกี่ยวข้องนอกเสียจากว่าจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยง “ท่านยาย ทานสำรับเย็นก่อนเถิดเจ้าค่ะ เรื่องอื่นค่อยคิดหลังจากนี้เถิด”
หมอหญิงชราที่ถูกเรียกขานว่าท่านยายพยักหน้าช้าๆ อย่างเหนื่อยใจ แท้จริงแล้วเรื่องที่ทำให้นางต้องคิดคือเรื่องที่บุรุษบาดเจ็บผู้นั้นร้องขอเมื่อฟื้นขึ้นมา ‘ท่านหมอขอรับ ข้าต้องเดินทางไปสอบบัณฑิต ทำอย่างไรก็ได้ให้ข้าไปถึงที่แห่งนั้นในอีกสิบวันข้างหน้า ท่านโปรดเมตตาช่วยข้าด้วยเถิดขอรับ’ คำอ้อนวอนนั้นไม่ใช่นางไม่อยากช่วยเพียงแต่ว่าจะช่วยอย่างไรในเวลากระชั้นชิดเช่นนี้ ก่อนหน้านั้นครึ่งชั่วยามสองพ่อลูกตระกูลเซาได้เสนอตัวแล้วว่า หากบุรุษรูปงามจะเดินทางเข้าเมืองหลวง ทั้งคู่ยินดีที่จะไปส่งจนถึงจุดหมายด้วยรถม้าขนาดเล็กที่ยังสามารถไปขอหยิบยืมมาได้แต่ถ้าบุรุษผู้นี้เป็นเพียงพ่อค้าหรือชาวบ้านทั่วไป การรักษาอยู่ที่นี่จนกว่าจะหายก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดี...แต่บังเอิญมันมิใช่ “พวกเจ้าสองคนรู้หรือไม่ว่าถ้าหากเราจะเดินทางจากที่นี่ไปถึงเมืองหลวงภายในสิบวัน เราควรเดินทางอย่างไรดี”
“เหตุใดมิใช้รถม้า” ป้าลู่ออกความเห็น
หมอชราฉู่หลันส่ายหน้า “เจ้าก็รู้ว่ารถม้าจะต้องเดินทางอ้อมภูเขาสองลูก กว่าจะไปถึงเส้นทางสัญจรทั่วไป ยามนั้นก็ใช้เวลามากกว่าเจ็ดวันแล้ว จากนั้นยังต้องเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงอีกหกวันเล่า ไม่ทันแน่ๆ”
“ไม่ทันรึเจ้าคะ” ชิงเซียนถามขึ้นมาเมื่อคิดว่าท่านหมอต้องการร่นเวลาเพื่อทำอะไรสักอย่าง “ถ้าท่านยายไม่อยากช้า เหตุใดไม่ขี่ม้าไปเลยเล่าเจ้าคะ” นางเข้าใจว่าในยุคสมัยนี้คงเป็นสมัยเก่า หลายร้อยปีก่อนที่นางจะเกิด ซึ่งมันไม่แปลกหากจะเสนอให้ขี่ม้าแทนการนั่งรถม้าเทอะทะกินพื้นที่
“จะขี่อย่างไรไป ในเมื่อที่ข้าถามคือต้องการไปส่งบุรุษบาดเจ็บผู้นั้นเข้าสอบบัณฑิต” หมอชราทานข้าวไปพูดไป “ขาหักสองข้าง โชคยังดีที่มือเขาไม่เป็นอะไร ยังพอจับพู่กันได้ คนพาเขาไปน่ะมีอยู่แล้วที่กังวลคือเรื่องการเดินทาง”
‘ขาหักสองข้างเลยรึ? ดียิ่งที่นางไม่ลงมาเจอเขาก่อน มิเช่นนั้นก็คงต้องแบกเขาขึ้นหลังแน่ๆ’ แค่คิดชิงเซียนก็เมื่อยแล้วเจ้าค่ะ “ช่างโชคร้ายยิ่งนัก” ทำเป็นเห็นใจแล้วยกถ้วยซดน้ำแกงปกปิดรอยยิ้มให้กับความโชคดีของตน
อัพเว้นวันนะคะ