ปฐมบท

1360 Words
ปฐมบท   เมื่อครั้งที่เหมันต์คืบคลานเข้ามายังดินแดนที่ราบลุ่มแม่น้ำโลหิต[1] แคว้นที่อยู่ทางใต้ตั้งแต่หนานเยว่[2]ทางทิศตะวันออกรวมไปถึงดินแดนซื่อซวน[3]ทางทิศตะวันตกประสบปัญหาความหนาวเย็นอันโหดร้าย จากดินแดนที่เคยอุดมสมบูรณ์ พืชพรรณธัญญาหารกลับขาดแคลนอย่างแสนสาหัส ประชาชนที่ยากไร้ต่างก็ลุกฮือต่อต้าน ก่อการจลาจลวุ่นวาย แคว้นฉินแต่เดิมเป็นแคว้นที่อยู่ในภาคกลาง อากาศย่อมหนาวเย็นกว่าดินแดนลุ่มแม่น้ำ แต่กลับมีผลผลิตทางการเกษตรเพียงพอตลอดทั้งปี อาศัยช่วงเวลาที่บ้านเมืองของแคว้นลุ่มน้ำระส่ำระสายร่วมมือกับแคว้นเว่ยเข้าบุกยึดครอง ใช้กุศโลบายอย่างชาญฉลาดเพื่อยับยั้งความยากไร้ในยามนั้น อาศัยข่าวลือที่ว่าดินแดนภาคกลางแม้ไม่อุดมสมบูรณ์เท่าทางใต้ แต่กลับมีอาหารการกินเหลือเฟือไปอีกนับร้อยปี  อีกทั้งเป็นเพราะความอ่อนแอจากภายในของแคว้นฉู่ สุดท้ายฉินและเว่ยจึงกำชัยเหนือพวกเขาได้อย่างดงาม แคว้นฉู่ แต่เดิมเป็นแคว้นใหญ่ที่คอยช่วยเหลือให้ความดูแลแก่แคว้นเล็กๆ โดยรอบ ทว่ากลับเกิดความระส่ำระสายจากการแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างวงศ์ญาติ ค่ำคืนของวันขึ้นปีใหม่ซึ่งหิมะตกหนักที่สุดในรอบปี เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่วางแผนการใหญ่ซึ่งกำลังมั่นใจในความสามารถของตนเกิดความชะล่าใจ กระทั่งหลังจากเสร็จสิ้นงานเฉลิมฉลองในวัง ยังสามารถวางใจและเฉลิมฉลองอย่างหรูหราในครัวเรือนของตนได้ ทว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ในกองทัพหนานฉู่ ที่คนเหล่านั้นคิดว่าสามารถใช้ต้านศัตรูที่เข้ามาประชิดเมืองกลับไม่สามารถนำออกมาใช้ได้ทันการ เรื่องนี้กลายเป็นหนามแหลมที่คอยทิ่มแทงใจบรรดาขุนนางในราชสำนักฉู่ไม่เสื่อมคลายในกาลต่อมา เพราะสุดท้ายจากความอ่อนแอของแคว้นก็ทำให้ถูกกองทัพของแคว้นเว่ยบุกยึดวังหลวงหนานฉู่ได้อย่างรวบรัดหมดจดเพียงแค่ชั่วข้ามคืน กุญแจสำคัญของศึกนี้คือการที่แคว้นเว่ยได้รับความช่วยเหลือจากเผ่าหมาป่าซึ่งมอบแบบร่างอาวุธบุกประชิดเมืองชนิดใหม่ให้ เป็นรถลากที่ใช้แรงของม้าศึกในการน้าวยิงคันศรขนาดราวหนึ่งจั้ง[4] อานุภาพการทะลุทะลวงรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง จึงสามารถบุกประชิดเมืองหลวงหนานฉู่ได้อย่างรวดเร็ว พลุไฟสว่างไสวในค่ำคืนเฉลิมฉลอง อันเป็นแรกก้าวเข้าสู่ฤดูวสันต์ เบื้องหลังบุปผาพราวพรั่งบนท้องฟ้าสีน้ำหมึก กลับซ่อนเร้นห่าธนูที่ผลิตจากเหล็กกล้าชั้นดี ความสว่างไสวอำพรางกลอุบายนี้อย่างแยบคาย นอกประตูเมืองห่างออกไปสามสิบลี้ ยังสามารถส่งอาวุธร้ายเข้าสู่เขตพระราชฐานของแคว้นฉู่โดยที่ชาวเมืองด้านนอกยังไม่ทันรู้ตัว ห่าธนูนับสิบหมื่นพุ่งทะลวงสู่วังหลวง สังหารข้าทาสบริวารและ เชื้อพระวงศ์ไปจำนวนหนึ่ง ฉู่หวางที่ยังคงสำเริงสำราญพระทัยกับเหล่าฟูเหริน[5] โดยมิได้สนถึงความเร้นแค้นของประชาชนชาวหนานฉู่ ในที่สุดก็ถูกธนูกลุ่มหนึ่งทำลายกระเบื้องตำหนักร่วงกราว ราวกับว่าอดีตผู้ครองแคว้นพระองค์นี้เป็นที่รังเกียจของสวรรค์ กระทั่งแค่เศษกระเบื้องที่ร่วงกระแทกพระเศียร ยังทำให้สิ้นพระทัยคาอกของเหล่าฟูเหรินได้ เป็นฉากการสังหารที่น่าสังเวชใจยิ่งนัก หลายปีต่อมาในแคว้นฉู่และแคว้นใกล้เคียงจึงมีละครล้อเลียนการสิ้นพระชนม์ของฉู่หวางพระองค์นี้อยู่ร่ำไป หลังจากนั้นไม่นาน ฉู่หวางพระองค์ใหม่จึงขึ้นครองราชย์ แคว้นฉินร่วมมือกับแคว้นเว่ยแผ่ขยายแสนยานุภาพไปยังดินแดนภาคใต้ ท้ายที่สุดหนานฉู่ก็ยอมสวามิภักดิ์ แคว้นปาและแคว้นสู่ซึ่งอยู่ในดินแดนซื่อชวน รวมไปถึงดินแดนหนานเยว่ที่อยู่ติดกับทะเลตงไห่ก็ส่งบรรณาการมาแสดงความสวามิภักดิ์แต่โดยดี หนึ่งปีหลังจากนั้นฉินหวางได้เถลิงรัชศกใหม่ สถาปนาอาณาจักร เมื่อถึงกาลที่ฤดูเปลี่ยนผัน ปีเก่าย่างเข้าปีใหม่ ในที่สุดอาณาจักรฉินก็ถูกเรียกว่าต้าฉิน ฉินหวางจึงกลายเป็นจักรพรรดิของต้าฉิน ทรงพระนามฉินเยว่หวงตี้[6]ซึ่งเป็นปฐมจักรพรรดิ ต้าฉินกลายเป็นจักรวรรดิที่ทั่วทั้งแปดทิศให้ความสวามิภักดิ์โดยพร้อมเพรียง บรรดาผู้นำแคว้นต่างๆ เข้าร่วมดื่มน้ำปฏิญาณตน กำหนดให้ รัชศกเทียนจินที่หนึ่งเริ่มศักราชใหม่ ภายในยี่สิบปีห้ามแต่ละแคว้นผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์เกินกว่าที่กำหนดไว้ แร่โลหะที่มีค่าครึ่งหนึ่งต้องส่งมาบรรณาการต้าฉิน เริ่มการเปลี่ยนแปลงเงินตราที่แลกเปลี่ยนเป็นเหรียญทองแดงกลมที่เจาะรูสี่เหลี่ยมตรงกลางเรียกว่า ป้านเหลี่ยงเฉียน[7] มีกฎหมายให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารโดยไม่สมัครใจ ยกเลิกการค้าทาสที่มาจากการทำสงครามโดยสมบูรณ์ ยกเว้นว่าจะเกิดจากความยินยอมจากผู้ขายแรงงาน แคว้นเว่ยเป็นแคว้นใหญ่ที่เป็นพันธมิตรกับต้าฉินมาตั้งแต่แรกเริ่ม การบุกหนานฉู่เมื่อปีก่อนนั้นก็เป็นผลมาจากการทำนายอันแม่นยำของ เว่ยหวางฝูหย่ง ฉินเยว่หวงตี้จึงแสร้งหลับพระเนตรข้างหนึ่ง มิได้เคร่งครัดเรื่องกำลังทหารของแคว้นเว่ยเท่ากับแคว้นอื่น อีกทั้งแร่ทองแดงที่ได้จากแคว้นเว่ยก็เป็นหลักประกันว่าจะไม่เกิดการซ่องสุมกำลังพลในภายหลัง ทว่าสิบเก้าปีต่อมากลับเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น เมื่อฉินเยว่หวงตี้มีราชโองการให้ประทานยาพิษแก่เว่ยหวางฝูหย่งในข้อหาก่อกบฏ ไม่มีใครกล้ายื่นฎีกาคัดค้าน แคว้นเล็กๆ มากมายต่างก็คิดว่าตนเป็นนกขมิ้น[8]ที่มองอยู่ภายนอกเพื่อรอฉกฉวยผลประโยชน์ โอรสที่ประสูติจากหวางเฟยจึงสืบราชสมบัตินับแต่นั้นมา ขนานพระนามว่าเว่ยหวางฝูเจี้ยน หนึ่งปีให้หลังมักมีเรื่องตลกที่แอบพูดคุยกันอย่างลับๆ ว่าฉินเยว่หวงตี้นั้นแท้จริงแล้วเมื่อเสร็จศึกก็ฆ่าขุนพล น่าสงสารแต่อดีตเว่ยหวางที่วางพระทัยผิดคน ทั้งชีวิตใช้เพียงดวงตาคู่หนึ่งเพื่อเปิดเผยความลับสวรรค์จนต้าฉินแผ่ขยายอำนาจเกรียงไกร ทว่ากลับมิอาจล่วงรู้อนาคตของตนว่าจะถูกกำจัดทิ้งในกาลต่อมา           [1]     ดินแดน แม่น้ำ และแคว้นในเรื่องนี้มีบางส่วนที่หยิบยกมาจากชื่อจริงในสมัยเจ็ดแคว้น แต่มิได้เอาประวัติศาสตร์ทั้งหมดมาอ้างอิงด้วย หลายส่วนเป็นจินตนาการของผู้เขียนเอง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านค่ะ [2]     ผู้เขียนยกมาบางส่วน เนื้อหาไม่ได้สอดคล้องกับประวัติศาสตร์จริง ความจริงแล้วหนานเยฺว่(**) หรือ นามเหวียต เป็นอาณาจักรโบราณที่มีอาณาเขตปกคลุมบริเวณมณฑลทางตอนใต้ของจีน อันได้แก่ กวางตุ้ง, กว่างซี และยูนนาน ไปจนถึงตอนเหนือของเวียดนามในปัจจุบัน [3]     ซื่อชวน หรือ เสฉวน เนื้อหาในนิยายบางส่วนไม่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์จริง [4]     หน่วยฉือในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาลถึงคริสต์ศตวรรษที่ 3 ช่วงเวลานี้ตรงกับช่วงยุคราชวงศ์ฉินถึงยุคสามก๊ก มีค่าประมาณ 23.1 – 24.3 เซนติเมตร 10 ฉือเท่ากับ 1 จั้ง หรือประมาณ 2.31 – 2.43 เมตร [5]     ในยุคสมัยนี้ ตำแหน่งภรรยาเล็กๆ ของบรรดาเจ้าผู้ครองเมืองหรือเชื้อพระวงศ์จะถูกเรียกว่าฟูเหริน รวมถึงตำแหน่งภรรยาขุนนางก็ด้วย [6]     เดิมจะใช้นามว่า ฉินซื่อหวง(***) ซึ่งอ้างอิงจากปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ฉินตามประวัติศาสตร์ [7]     ป้านเหลี่ยงเฉียน (***) หรือเงินครึ่งเหลียง อ้างอิงจากสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ เหลียง(ตำลึง) มีอีกหลายชื่อเรียกคือ  หวนจิน (**) หวนเฉียน (**) หนึ่งเหลี่ยงมีค่าเท่ากับ เหรียญทองแดงหนึ่งก้วน หรือหนึ่งพวง เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญเรียกว่าเหวิน [8]     มาจากสำนวนที่ว่าตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นรออยู่ข้างหลัง หมายถึงรอจังหวะเพื่อฉกฉวยผลประโยชน์
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD