ถงหยวนแสร้งทำไม่เห็น นำหมายเลขบัญชีที่ได้ไปลงในเว็บไซต์หนึ่ง ตอนนี้เขาสร้างแอ็กเคานต์ใหม่ขึ้นมา โดยเลือกแบบไม่ระบุตัวตน ในเพจที่ไม่เข้มงวดนัก แต่ข้อมูลที่ใส่เป็นของชิงเกอ เขารู้รายละเอียดทั้งหมดของเธอในเวลาแค่สิบนาทีจากการเจาะข้อมูลส่วนตัว ใครจะคิดว่าเด็กแปดขวบจะมีความสามารถขนาดนี้
“พี่สาวรอก่อน เงินที่ยืมไปจะต้องคืนให้ร้อยพันเท่า” ปลายนิ้วกดยืนยันครั้งหนึ่ง จากนั้นก็นั่งรอมองกราฟยาวๆ
ในสายตาของชิงเกอเธอคิดว่าเขาติดเกม จึงนวดขมับคิดหาคำพูดดีๆ เพื่อทำความเข้าใจ แต่พอเห็นแววตาที่เปล่งประกายมุ่งมั่นจึงกลืนคำพูดเหล่านั้นลงท้อ
“ช่างเถอะ! ตอนนี้เขามีความสุขปล่อยไปก่อนก็แล้วกัน” เธอเองก็เคยเป็นเด็ก และเขาเพิ่งบาดเจ็บมาเธอไม่อยากเป็นพี่ที่เข้มงวดจนเขาเก็บกด ไว้ค่อยตะล่อมบอกเอาตอนที่สนิทกันจนพร้อมเปิดใจ
แต่เธอไม่รู้ว่าเขาจะสร้างหลักประกันอันมั่นคงให้เธอในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้…
23.45น. เสียงการแจ้งเตือนดังเบาๆ เด็กชายที่คลุมผ้าห่มจ้องดูหน้าจอจึงยิ้ม เขากดปุ่มปิดคอมเพื่อเข้านอน ยังหาวหวอดเพราะความง่วง
ชิงเกอยืนกอดอกมองแสงใต้ประตู เห็นเพียงความมืดถึงกับลูบอก เธอลุ้นมากว่าถงหยวนจะนอนตอนไหน แม้เธอจะไม่อยากควบคุมเขาแต่ใช่ว่าไม่ห่วง อีกทั้งยังเป็นคืนแรกในบ้านคนอื่น
“เอาล่ะ ฉันก็ควรเข้านอนเสียที” ไม่มีอะไรให้กังวลจึงเดินเข้าห้องตัวเอง ห่มผ้าแล้วจึงหลับสนิทไปตลอดทั้งคืน เธอผ่านเรื่องราวอันหนักหนาในเวลาเพียงหนึ่งวัน จึงเพลียไม่น้อย
ร่างกายที่ถูกฝึกจนชินตื่นแบบอัตโนมัติก่อนนาฬิกาปลุก “ทำไมถึงได้ปวดร้าวไปหมดทั้งตัวขนาดนี้ เมื่อวานไม่ได้รู้สึกเท่าไหร่ มาวันนี้รู้เรื่อง” อาจบอกได้ว่ายังเพราะจิตใจสับสนจึงไม่สะเทือนไปทั้งตัว วันนี้ร่างกายจึงประท้วง
“ฮาอยากลางานจังเลย!” พูดไปก็เท่านั้น ขืนเธอลาจริงถูกหักโบนัส ความพยายามตลอดทั้งปีได้สูญเปล่า
ดึงสติตัวเองจนแต่งตัวเรียบร้อย สวมผ้ากันเปื้อนเดินเข้าครัวเพื่อทำอาหารเช้าให้ถงหยวน ไม่นานเด็กชายเดินเกาหัวออกมา
“อรุณสวัสดิ์ครับ... ฮ้าว! พี่สาวตื่นเช้าจัง”
“หิวรึยัง ฉันทำขนมปังกับดาวไข่และนมหนึ่งแก้ว ในตู้มีของจำกัด ไว้ตอนเย็นฉันจะสั่งของจากซูเปอร์มาร์เก็ต”
“พี่ไม่ต้องลำบาก นมกับขนมปังก็พอ”
“ไม่ได้สิ กินแบบนี้ทุกวันจะไม่โต นี่เธอใช้ไมโครเวฟเป็นใช่ไหม มีอาหารกล่องสามารถอุ่นกินได้”
“เป็นครับ” สองคนนั่งทานมื้อเช้าด้วยกัน ก่อนที่ชิงเกอจะลุกขึ้นหอบกระเป๋าปากยังคาบขนมปัง โบกมือเพื่อไปทำงาน
“เดินทางดีนะครับ” ถงหยวนนั่งบนโต๊ะดื่มนมที่เหลือจากนั้นจึงเก็บของไปล้าง เขานั่งบนที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมา ตาจ้องจอคอมไปด้วย ขณะนั้นเส้นกราฟได้พุ่งขึ้นไปยังจุดสูงสุด
“ดี ได้เวลาขายเปลี่ยนซื้อตัวใหม่แล้ว”
บัดนี้ตัวเลขเดิมจากสองพันหยวนได้พุ่งทะยานไปถึงหนึ่งล้านหยวน ชิงเกอที่ไม่รู้เรื่องยังวิ่งกระหืดกระหอบไปถึงที่ทำงาน ความไม่เรียบร้อยของเธอทำให้หัวหน้างานอ้าปากค้าง กลืนคำตำหนิที่เตรียมไว้
“ขอโทษนะคะ! นี่ค่ะงานที่สั่งฉันเพิ่งทำเสร็จ!”
เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเอ่ยทักหลังจากสำรวจเธอรอบหนึ่ง “ชิงเกอ ทำไมหน้าเธอซีดขนาดนั้น เหมือนคนป่วยเลย”
“ฉันเพิ่งออกจากโรงพยาบาล แต่ยังสามารถทำงานไหว”
หัวหน้าเธอขมวดคิ้ว แวบหนึ่งเขาดูตกใจ ก่อนจะปรับสีหน้าให้กลับมาเคร่งขรึมดังเดิม เสียงของเขายังคงดุร้ายเข้มงวด แต่ไม่น่ากลัวเท่าทุกวัน
“เอาล่ะ ไปนั่งจัดแจงตัวเองดีๆ ถ้าไม่ไหวก็ไปห้องพยาบาล”
“ขอบคุณค่ะหัวหน้า” เธอยังคงทำตัวว่าง่าย นั่งลงเป่าปากอย่างโล่งใจ ยามที่ก้มหน้าสางผมมีรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏ แต่ยังไม่ทันดีใจเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มันช่างเขย่าประสาทของเธออย่างยิ่ง
กริ้ง!
“เยว่ชิงเกอค่ะ”
“เธอเข้ามาหาฉันหน่อย” เป็นหัวหน้าที่โทรเข้ามา ชิงเกอเสียวสันหลังวาบ ใจคอไม่สู้ดี
“นี่ชิงเกอ ฉันขอแนะนำให้เป็นลมถ้าเห็นลมแรง ใช้ความไม่สบายหนีออกมาซะ”
“คำแนะนำนี้ยอดเยี่ยม แต่ฉันต้องถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แน่ หัวหน้าเขาจับผิดเก่งจะตาย”
“งั้นฉันจะไว้อาลัยให้เธอ” เพื่อนร่วมงานล้วนจนปัญญา ต่างไม่เข้าใจว่าทำไมหัวหน้าถึงจ้องเล่นงานชิงเกอนัก ตั้งแต่เป็นเด็กฝึกงานจนกระทั่งเข้าบรรจุเป็นพนักงานประจำ
“หัวหน้าเรียกฉันมามีอะไรหรือคะ”
แทนคำตอบ เขาดันแฟ้มเอกสารส่งมาตรงหน้า “อ่านดู ถ้ายอมรับได้ก็เซ็นชื่อ แต่ฉันว่าเธอไม่จำเป็นต้องรีบร้อน อ่านผ่านๆ ก็พอ”
เธอสูดลมหายใจเข้า หวังว่าจะไม่เผลอไปล่วงเกินใครจนถูกเตือน แต่เมื่อเปิดอ่านดูอย่างละเอียดต้องเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง
“นี่มันอะไรกันคะ! ทำไมถึงย้ายฉันไปที่สาขาใหญ่”
“พวกเขาขาดคน อีกอย่างแถวนั้นมีบ้านพักของบริษัท แต่กฎระเบียบเข้มงวด ฉันเห็นว่าเธอทำงานพอใช้ได้ คิดดูให้ดีๆ โอกาสนี้ไม่ได้มีมาง่ายๆ แต่ก็ต้องแลกกับอะไรหลายอย่าง คนที่นั่นไม่ได้ใจดีเหมือนฉัน”
ฉึก! เร็วกว่าลมคงจะเป็นลายเซ็นของเธอ หัวหน้ามองอย่างตะลึง เขาเห็นเธอเซ็นชื่อจึงตกใจ นึกว่าจะไม่ไป เพียงเขาขยับปากเธอก็เซ็นเสร็จแล้ว
“นี่เธอ!” ใบหน้าเขาเดี๋ยวแดงเดี๋ยวคล้ำ บ่งบอกได้ว่าโกรธมาก
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ ฉันจะรีบไปเก็บของและนำใบส่งตัวไปยืนยันที่สาขาใหญ่วันนี้เลย” เธอยิ้มกว้างดีใจและซาบซึ้งอย่างมาก
เพราะเธอรู้จักเขาดี ถ้าเธอแสดงออกว่าตื่นเต้นเธอจะไม่มีโอกาสได้เซ็นมันแน่ แต่ถ้าทำตรงข้ามเขาจะเผยข้อมูลออกมา เพราะเขาซ่อนรายละเอียดที่สำคัญไว้ข้างล่าง ที่เรียกเธอมาก็เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาบอกเธอแล้ว ไม่ใช่อยากส่งเสริมจริงๆ
เสียใจ! ตาฉันดี คิดว่าปิดแล้วจะไม่เห็นหรือ? ทั้งเงินเดือนก็สูงกว่านี่มันได้เลื่อนตำแหน่งชัดๆ
“ว้าว! ชิงเกอของเราโชคดี ตอนแรกฉันคิดว่าเธอจะถูกฉีกเนื้อกิน”
“ไม่หรอก หัวหน้าเขาไม่ใช่คนที่จะทำร้ายใคร เขาก็แค่เป็นหัวหน้าที่ต้องรับผิดชอบงานในแผนก”
“เหอะ! เขาคงยินดีที่เธอพูดเยินยอ ดูหน้าเขาสิ จนตอนนี้ยังโมโหอยู่เลย” เพื่อนโต๊ะข้างๆ แอบหัวเราะ
“แต่ฉันได้ยินมาว่าที่สาขาใหญ่ลิสต์รายชื่อของชิงเกอเอาไว้ เพราะแบบนี้หัวหน้าถึงได้เรียกเธอไปถาม เขาคาดหวังอย่างมากเพื่อให้เธอปฏิเสธ เพราะเขาไม่สามารถทำเอง”
“จริงหรือ”
“คนอื่นเขาไม่ได้โง่ หัวหน้าไม่มีผลงานเป็นของตัวเอง หลายปีมานี้ล้วนแย่งของคนอื่น ในบริษัทมีกล้องกี่ตัว มือเดียวปิดแผ่นฟ้าไม่ได้หรอก งานนี้คือการเตือนเขา”
“แต่ว่าได้ดีแล้วอย่าลืมกัน ว่างๆ มากินข้าวเที่ยวเล่นนะ”
“โอ้ฉันว่าเธออย่างเพ้อฝันหน่อย ชิงเกอเขาไม่ว่างหรอก ต้องไปดูแลคู่หมั้น ชวนทีไรก็ส่ายหน้าแบบนี้”
“ใครว่าล่ะ ฉันก็เหนื่อย อยากไปสนุกเหมือนกัน”
“ดี! เธอพูดแล้วนะ ถ้าไม่ไปคราวนี้ฉันโกรธ!”
“สัญญาลูกผู้ชาย วาจาข้านี้ดุจทอง”
“แหวะ แหวะ! ไม่ต้องมาล้อฉันเลย” เพื่อนคนนี้ติดซีรีส์แนวพีเรียด จึงแสร้งทำไม่พอใจ ก่อนจะหัวเราะ
ชิงเกอพูดกับคนในแผนกไม่กี่คำต้องรีบขอตัวจากลา เหตุผลคือหัวหน้าขยับตัวทำท่าทางคล้ายจะเดินออกมา เธอไม่อยากถูกเขาเลี้ยงส่งด้วยการยกสารพัดบุญคุณมาอ้าง ซึ่งทุกคนก็เข้าใจ
เพราะเกรงว่าจะทำให้ความประทับใจแรกไม่ดี ชิงเกอจึงแวะสำรวจความเรียบร้อยก่อนไปที่สาขาใหญ่ เนื่องจากในใบงานบอกอย่างชัดเจนว่าหากเธอต้องการย้ายสาขา ต้องไปรายงานตัวไม่เกินบ่าย โชคดีที่ผ่านมาเธอทำตัวว่าง่าย ขืนถ้าหัวหน้าเรียกเธอไปถามตอนเที่ยงคงได้นั่งร้องไห้
“ยังพอมีเวลา ขอมัดผมเติมลิปสติกสักนิด” อาศัยกระจกรถที่จอดทาปาก เธอมองซ้ายมองขวาจึงมั่นใจว่าในรถไม่มีคน มันน่าอายหากเธออ้าปากแล้วมีคนนั่งมอง ภาพมันไม่ได้น่าพิสมัยเท่าไร
แต่ที่เธอไม่ทราบคือเจ้าของรถเขายืนโทรศัพท์อยู่ไม่ไกล ยังมองเธอที่เป็นธรรมชาติเหลือเกิน
“มองอะไรหรือครับเจ้านาย” เสียงจากคนที่เพิ่งเดินกลับมาถามตอนที่เห็นเขามองโดยไม่ละสายตา
“ไม่มีอะไร เอามาครบรึยัง”
“ครบแล้ว ไรเดอร์นำมาส่งทันเวลา”
“อืม เข้าข้างในกัน” เขากดวางสายหลังเลขาแจ้งว่าทุกคนพร้อมเข้าประชุม ก่อนจะหันไปดูที่รถอีกครั้ง แต่ไม่พบเงาร่างผู้หญิงคนนั้น..
ชิงเกอเดินเข้ามาด้วยความสำรวม เธอติดต่อรีเซฟชั่นเพื่อรายงานตัว
“สวัสดีค่ะ ฉันเยว่ชิงเกอมารายงานตัว นี่คือเอกสาร”
“ตอนนี้ระดับหัวหน้ามีประชุม นั่งรอสักครู่นะคะ ขึ้นไปชั้นสิบเอ็ดแล้วแจ้งพนักงานที่นั่นอีกครั้ง”
“ขอบคุณค่ะ”
แลกบัตรเรียบร้อยจึงเดินไปรอหน้าลิฟต์ ขณะที่ลิฟต์กำลังลง เธอเห็นเงาร่างสูงโปร่งในกระจกที่เดินมายืนด้านหลัง เครื่องหน้าสมบูรณ์เอามากๆ เสียดายที่ผ่านการทำหัตถกรรมมา แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาหล่อจนร้องว้าว! ในใจคิดอย่างไรก็เรื่องหนึ่ง แต่การแสดงออกของเธอยังคงอ่อนน้อม ขยับหลบไปยืนข้างๆ ตนเป็นผู้น้อยหากไม่ระมัดระวังจะอยู่ลำบาก
เขาไม่เหลือบมองเธอด้วยซ้ำ แต่เดินผ่านเข้าไปในลิฟต์ เห็นเขาดูอึดอัดจึงขยับเนกไท เธอจึงชะงักไม่กล้าตามเข้าไป ครุ่นคิดว่ายังไงก็ต้องขึ้นไปนั่งรอ เช่นนั้นรอลิฟต์มาใหม่ จะได้ไม่ทำให้พวกเขาอึดอัด
“ไม่เข้ามาหรือ?” ชายอีกคนที่ดูเป็นมิตรเอ่ยถามเมื่อเห็นเธอไม่ขยับ
“ไม่เป็นไรค่ะ เชิญไปก่อน” เธอกล่าวอย่างสุภาพ
ลักษณะที่เจียมตัวนั้นทำให้พวกเขาพอใจ แต่แวบหนึ่ง เขาเห็นความเบื่อหน่ายในดวงตาเธอก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“ไปสืบมาว่าเธอเป็นใคร”
“สนใจหรือเจ้านาย แต่เธอดูธรรมดาเกินไป นี่ไม่เหมือนความชอบของคุณ”
“ถ้านายมีไหวพริบกว่านี้ คงทันได้เห็นความจริงในใจเธอ ผู้หญิงคนนี้ปรับตัวได้เก่งเหมือนกิ้งก่า”
“คุณพูดว่าเธอเสแสร้ง?”
สวี่หรานไม่ตอบ เขาถือว่าตนเองพูดชัดเจน ไม่นานลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นห้องประชุม ผู้จัดการเสวียนอ้าปากบ่นงึมงำอยู่ข้างหลัง
“ผู้อำนวยการของผม โปรดอย่าทำเหมือนคุณรู้ทันคนแค่ตัวเองได้ไหม นายกำลังทำลายความมั่นใจฉันนะ”
“พูดมาก ที่นี่คือบริษัท สำรวมด้วย”
“คราบ… ทราบแล้วครับ ผอ. สวี่ ว่าแต่คุณจะไม่ทบทวนเรื่องสัญญาของกลุ่มบริษัทชีหน่อย ผมว่ารูปแบบข้อมูลดูน่าสนใจดี มีหลายบริษัทที่อยากลงทุนกับเขา”