“ชิงเกอ เธอที่เป็นพี่สะใภ้จะทำใจกว้างกับน้องสาวไม่ได้หรือ ไม่เอาน่า... ตลอดมาเธอคือคนที่มีเหตุผล เพียงเรื่องเล็กน้อยอย่าทำให้เราต้องทะเลาะกัน”
คำโกหกโดยตาไม่กะพริบของเขา ยังโยนว่าเป็นความผิดของเธอยิ่งทำให้ชิงเกอรังเกียจ ทุกครั้งที่หลี่หยางหยางกระดิกนิ้วเรียกเขาก็อ้างแบบนี้ เธอเพิ่งตระหนักได้ว่าที่ผ่านมาตัวเองใจดีเกินไป แต่เธอไม่ใช่คนที่จะรังแกง่ายขนาดนั้น
เธอรู้จักชีหวายอัน เขาชอบควบคุม มีความภาคภูมิใจที่ได้อยู่เหนือกว่า หากเธอแสดงออกว่าไม่เชื่อฟังเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อบีบเธอ ซึ่งตอนนี้เธอยังไม่สามารถรับมือกับความเอาแต่ใจของเขา มุมปากของเธอยิ้มน้อยๆ ปรับโทนเสียงให้นุ่มนวลขึ้น
“คุณติดค้างฉันแบบนี้ ปล่อยให้ฉันต้องเดินเท้าเปล่า รองเท้าฉันพังเมื่อต้องเดินสามสิบกว่ากิโลเมตร ยังไม่นับที่ฉันต้องหารถไฟเที่ยวสุดท้ายกลับเอง ไม่คิดว่าควรชดเชยให้ฉันที่เป็นคู่หมั้นหรือ?”
“ว่าแล้ว พี่สะใภ้ใจกว้างขนาดนี้แค่อธิบายก็ไม่น้อยใจ พี่หวายอัน ต่อไปพี่ต้องดีกับพี่สะใภ้ให้มาก” หลี่หยางหยางแกว่งแขนเขาพูดจายิ้มแย้ม ต้องยอมรับว่าการแสดงออกของเธอน่ารักมาก ไม่แปลกที่ชีหวายอันจะชอบ
“ได้สิ ไว้ฉันจะชดเชยให้เธอ หิวไหมเราไปทานข้าวกัน ถือว่าฉันไถ่โทษ”
ชิงเกอได้ยินพลันหัวเราะเสียงดัง จนคนแถวนั้นหันมามอง ชีหวายอันเห็นคู่หมั้นที่ดูแปลกไป ไม่แสดงความหึงหวง ไม่แสดงความโกรธเหมือนทุกครั้งกลับไม่เข้าใจ
“ฮะ ฮะ! หวายอันคะ ฉันเพิ่งพูดไปเองว่าคุณปล่อยฉันลงข้างทางกลางป่า แต่คุณจะเลี้ยงข้าวเช้าฉันหนึ่งมื้อเนี่ยนะ? แค่ราคารองเท้าที่พังคู่นั้นยังต้องกินหลายมื้อ” คำพูดที่เอาแต่ใจอย่างไม่จริงจังกลับทำให้สถานการณ์กระอักกระอ่วน ชีหวายอันรู้สึกแปลกแปร่งในใจ แต่บอกไม่ถูกว่าที่ใด
“ไม่ใช่แบบนั้น ฉันเพียงเห็นมันยังเช้าอยู่ เธอน่าจะยังไม่ได้กินอะไร ไม่ได้เกี่ยวกับการชดเชยเลย เรื่องนั้นฉันจะทำให้เธอพอใจแน่”
“เช่นนั้นคุณจะชดเชยฉันยังไง อย่าบอกนะว่าเลี้ยงกาแฟหนึ่งแก้วแล้วจบ”
คราวนี้ใบหน้าของชีหวายอันมืดครึ้ม เขาดูเป็นคนขี้เหนียวขนาดนั้น หลี่หยางหยางที่ยืนอยู่ข้างมองประเมินชิงเกอเสียใหม่ รู้สึกผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนไป เธอกำลังจะเล่นสงครามประสาทกับตน
“พี่หวายอันคะ พี่ลองถามพี่สะใภ้ดูว่าต้องการอะไร เถอะนะ เอาใจพี่สะใภ้เขาหน่อย ไม่งั้นไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้เธอดีไหม”
“ดี! ฉันกำลังเบื่อรองเท้าเก่า อยากเขี่ยทิ้งจะแย่”
ใบหน้ายิ้มแย้มแววตาเปล่งประกายทำให้ชีหวายอันที่ยืนงงไม่เข้าใจ ว่าชิงเกอกำลังเสียดสีเขา แต่ชาเขียวอย่างหลี่หยางหยางกลับฟังเข้าใจ เธอจึงใช้คำพูดโต้กลับไปแบบเดียวกัน
“เช่นนั้นก็ดี การง้อพี่สะใภ้แบบนี้ก็ไม่เลวนะคะ”
ในเมื่อแกไม่เอา ก็อย่ามาร้องไห้โวยวายกับฉันทีหลัง!
“เช่นนั้นเราไปกัน ตอนนี้ร้านน่าจะเปิดแล้ว” ผู้ชายที่ไม่รู้เรื่องจึงพยักหน้า เขาตกลงจะพาเธอไปเลือกซื้อรองเท้า แต่ชิงเกอกลับส่ายหน้า
“พอดีฉันมีธุระ คุณคือคู่หมั้นฉันต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับฉัน ดังนั้นให้คุณเลือกตามสไตส์ของฉัน ยังไงคุณมีหยางหยางช่วยให้คำแนะนำ เพียงแต่...เท้าของฉันกับเธอคนละไซซ์นะ คุณห้ามจำสลับกันล่ะ”
เห็นว่าหลี่หยางหยางจะอ้าปากเสแสร้ง ชิงเกอชิงเอ่ยขึ้นต่อว่า “และฉันอยากได้รุ่นลิมิเต็ด เพื่อให้สมกับฐานะคู่หมั้นผู้จัดการใหญ่ ถ้าซื้อคู่ไม่กี่ร้อยหยวน ผู้คนจะหัวเราะเยาะแน่ ขนาดน้องสาวต่างสายเลือดยังพรีเมียมทั้งตัว”
เป็นครั้งแรกที่ชิงเกอแสร้งพูดจาหยอกล้อ ตลอดเวลาใบหน้าเธอไม่ขาดรอยยิ้ม ชีหวายอันจึงไม่รู้ว่าเธอพูดจาเสียดสีเขากับหลี่หยางหยาง แค่ไม่คุ้นเคย แต่สาวชาเขียวย่อมรู้ ดวงตาจึงเต็มไปด้วยความโกรธ ถงหยวนที่แอบดูอยู่ข้างๆ ยิ้มกว้างพยักหน้าหงึก รู้สึกว่าไม่ต้องออกแรงพี่สาวก็จัดการไหว
“โอ้จะแปดโมงแล้ว! ฉันยังต้องกลับไปซักผ้า เช่นนั้นฉันกลับก่อน อย่าลืมนะคะหวายอัน หยางหยาง ต้องดูรองเท้าคู่ที่สวยที่สุดมาให้ฉันนะ เพราะถ้าคุณซื้อมาผิด ฉันต้องเสียดายแน่ที่ไม่ได้ใส่มัน แต่ก็ไม่อยากเก็บไว้ สุดท้ายจะยกออกไปให้คนอื่น เก็บไว้มันคือขยะ”
ชิงเกอเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือของชีหวายอัน เธอไม่รอให้เขาตอบสนองจึงเดินผ่านลงบันไดเลื่อนไปทันที ถงหยวนจึงตามหลังไปห่างๆ ไม่มีใครสนใจเขา เพราะไม่รู้ว่าเขามากับพี่สาว แต่ก็ทำให้ถงหยวนจดจำใบหน้าของชายหญิงคู่นี้
ชีหวายอันตัวแข็งทื่อ มองแผ่นหลังของคู่หมั้นไกลออกไป รู้สึกว่าเธอผิดปกติมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอเห็นเขาอยู่กับหลี่หยางหยางจะส่งสายตาตัดพ้อและน้อยใจ พออยู่กันตามลำพังเธอจะถามจี้เขาเรื่องความสัมพันธ์ แต่ครั้งนี้กลับดูไม่ใส่ใจเลย จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาคนสนิท
“นี่ผู้ช่วยเหวิน ฉันมีเรื่องนอกเวลาอยากให้นายช่วย”
“ครับผม! บอกมาได้เลย”
“ไปหารองเท้าแบรนด์ชั้นนำ เครื่องประดับชุดเล็ก จำไว้ว่าต้องเป็นรุ่นลิมิเต็ดให้คู่หมั้นของฉัน และต้องไม่ผิดไซซ์”
“เอ่อ…แล้วคุณเยว่ใส่รองเท้าเบอร์อะไรครับ”
“นั่นแหละที่ฉันจะบอก นายช่วยไปสืบมาให้ฉันหน่อย”
ปลายสายเงียบไป ก่อนจะตอบรับเสียงไม่มั่นคง “...เอ่อได้ครับ”
หลี่หยางหยางเห็นชีหวายอันให้ความสำคัญต่อชิงเกอก็โมโห แต่เธอเก็บซ่อนมันเอาไว้ แสร้งทำตัวเป็นดอกไม้สีขาวที่อ่อนโยนและเข้าใจ
“พี่หวายอันคะ ตอนนี้เราไปทานข้าวกันได้รึยัง ฉันหิวมาก”
“ไปสิ ฉันต้องบำรุงเธอ” น้ำเสียงของเขาลุ่มลึก แสดงอารมณ์ที่สื่อความหมาย หลี่หยางหยางหน้าแดง รู้ว่าเขาหลงใหลตนแล้วจึงพอใจ อย่างน้อยเขาก็อยู่กับเธอ เป็นสุนัขที่เธอเลี้ยงไว้ ถึงชิงเกอคนนั้นจะเล่ห์แต่สู้ความร้อนแรงของเธอไม่ได้
เยว่ชิงเกอ! แกคอยดู! ฉันจะทำให้แกกระอักเลือดตาย!
ด้านชิงเกอที่เพิ่งเดินออกมากลับทั้งหนักอึ้งและโล่ง แม้จะไม่หายโกรธแต่ก็ดีกว่าอดทนไว้คนเดียว
“ไม่คิดว่าการที่ไม่ต้องเก็บสีหน้า โต้กลับไปบ้างจะทำให้สะใจ” ก่อนเธอจะนึกบางอย่างออก
“แย่แล้ว! ถงหยวนล่ะ! เสี่ยวหยวน!”
“ผมอยู่นี่!” เด็กชายยืนข้างหลังเธอ ส่งรอยยิ้มซุกซนมาให้
“เป็นฉันที่เกือบทำเธอหาย มัวแต่ใจลอย”
“พี่สาวครับ ผู้ชายคนนั้นดูเป็นคนไม่ดีเลย เขาพูดกับผู้หญิงที่มาด้วยถึงพี่ลับหลังล่ะ”
“เขาพูดว่ายังไง” ชิงเกอใจเต้นแรง รู้สึกหงุดหงิดอย่างยิ่ง ที่แท้ตลอดมาสองคนนั้นชอบพูดถึงเธอลับหลังงั้นรึ
ถงหยวนพยักหน้าก่อนจะพูดออกมา “เขาบอกว่าพี่สาวคือแรงงานฟรี ที่คบกับพี่ก็เพื่อให้มีลูก เพราะคนที่ชื่อหยางหยางคนนั้นมดลูกไม่ดี แล้วยังพูดอีกว่าพี่น่าเบื่อ เอ่อเขาว่าอะไรนะ?”
“อ้อใช่แล้ว! บอกว่าด้วยคุณสมบัติของพี่ไม่คู่ควรจะเช็ดรองเท้าให้ด้วยซ้ำ เมื่อพี่เข้าบ้านเขาจะบีบให้พี่เป็นบ้า จากนั้นส่งไปอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวช ไม่ให้พี่ได้เจอลูกอีกเลย...” เจ้าหนูลากเสียงยาว มันกลับแสลงหูเหมือนเสียงกรีดกระป๋อง
ตู๊มมมม!!!!! เสียงระเบิดในหัวของชิงเกอดังจนหูอื้อไม่ได้ยินอะไร ใบหน้าเธอบิดเบี้ยวมือจิกเกร็งไปทั้งตัว เธอได้คำตอบแล้ว ว่าทำไมเขาถึงขอเธอแต่งงาน ทั้งหมดก็เพื่อหลี่หยางหยาง!
เห็นว่าพี่สาวโกรธจัดถงหยวนก้มหน้าลง มีรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนเขาจะเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างไร้เดียงสา
“พี่ครับ เราจะกลับบ้านกันได้รึยัง”
“อ้อไปสิ กลับบ้านกัน” เธอพักความโกรธไว้ก่อน จูงถงหยวนกลับบ้านซึ่งอยู่ห่างไปสามกิโลเมตร
ในหอพักกลางเก่ากลางใหม่มีทั้งสิ้นสิบห้าชั้น บ้านของเธออยู่ชั้นสี่ ถือว่าไม่สูงมากนักเพราะในตอนนั้นยังไม่มีลิฟต์ พ่อแม่เธอจับจองเป็นกลุ่มแรกๆ จึงได้บ้านหลังนี้มา ราคาที่พักอาศัยในเขตเมืองแต่เดิมก็สูงลิ่ว หาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าพยายามมาก เธอจึงขอบคุณความทุ่มเทของพ่อแม่ไม่คิดน้อยเนื้อต่ำใจ
“เสี่ยวหยวนเธอเดินไหวไหม”
“ไหวครับ ฉันแข็งแรง”
“เก่งจังเลยนะตัวแค่นี้”
“เอาล่ะถึงแล้ว” พอก้าวขาเข้าบ้านขาสองข้างแทบไม่มีแรงเดิน อยากทรุดตัวลงนอนราบแผ่หลาเสียตรงนั้น อาจเพราะรู้สึกปลอดภัยจึงมีความคิดแบบเด็กๆ ถ้าเธออยู่คนเดียวอาจนอนเป็นแมวขี้เกียจไปแล้ว
ถงหยวนเดินเข้ามาสำรวจสถานที่แปลกใหม่ กวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ขนาดห้องที่เล็กแต่ไม่แคบเท่าใด ในห้องดูโล่งมีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น แต่กลับทำให้บ้านเป็นระเบียบมองแล้วสบายตา
ชิงเกอไม่ได้พูดอะไรมาก เดินไปขยับโซฟาเดี่ยวออกมา กลายเป็นโซฟาตัวยาวพร้อมที่วาง เด็กชายยิ้มรีบไปนั่งลงพร้อมวางของเอาไว้ เขาตีขาแกว่งไปมา ส่งยิ้มให้ชิงเกอ
“พี่สาวครับ ของพวกนี้เป็นแบบอเนกประสงค์ทั้งหมดเลยหรือเปล่า”
เธอมองเขาอย่างแปลกใจ แต่ก็ยินดีตอบคำถามเขา “อืม ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้น เพราะฉันชอบบ้านที่กว้างขวางดูโล่ง จึงสั่งเป็นแบบที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย”
“ดีจัง บ้านมีที่เหลือเยอะมาก”
“มาทางนี้ ฉันจะจัดห้องนอนให้เธอ นี่คือห้องเก่าของพ่อแม่ เธอนอนได้ไหม”
ถงหยวนส่ายหน้า เขาชี้ไปที่ห้องของเธอ “พี่มอบห้องใหญ่ให้เด็กอย่างผม กลางคืนต้องนอนไม่หลับแน่ ให้ผมย้ายไปห้องนั้น มันเล็กกว่าเหมาะกับเด็ก”
ชิงเกอประทับใจมาก ที่เขาพูดนั้นถูกต้อง ห้องของพ่อแม่มีขนาดใหญ่และกว้างขวางกว่า เด็กคนนี้กลับรู้ว่าตนเองเด็กเกินไป อยากย้ายไปพักที่เล็กกว่า พอเธอคิดตามก็เข้าใจเขา มันอาจทำให้โหวงเหวงจนนอนไม่หลับ
“เช่นนั้นมาช่วยฉันย้ายของ เสร็จแล้วจะได้กินข้าว ฉันจะสั่งอาหารเดลิเวอรี่ เธอมีสิ่งที่อยากกินพิเศษไหม?”
“ขอแค่ไม่เผ็ดไม่มันเยิ้ม ผมกินได้ทั้งนั้น”
“เธอเหมือนกับฉัน ไม่ชอบของเผ็ดจัดและมันเยิ้ม” ชิงเกอรู้สึกว่าเจอคนที่คล้ายคลึงกับตน เธอจึงเลือกรายการอาหารมาสองอย่าง เพื่อที่ตอนจัดห้องเสร็จอาหารจะมาถึง
สองคนช่วยกันจัดของให้เข้าที่ มีเสียงกริ่งที่ประตู ชิงเกอเดินไปส่องตาแมวเห็นเป็นพนักงานคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่คนส่งอาหารที่เธอกำลังรอ เธอจึงถามเขา
“มาหาใคร?”