เรียวขาสวยก้าวมั่นคงไปยังประตูห้องนอน มีป้ายสีฟ้าห้อยไว้ตรงกลาง ‘ภูมิ&ภีม’ ยามนี้เจ้าแฝดคงหลับปุ๋ยกันแล้ว แต่คนเป็นแม่อดไม่ได้ที่ต้องเข้ามาดูด้วยตาตัวเอง
ภูมินทร์และภูเบศวร์อายุเจ็ดขวบแล้ว เจ้าลูกลิงทั้งสองเริ่มเรียกร้องขอแยกห้องนอนขี้คร้านจะร้องไห้หากันเสียมากกว่าหากได้แยกห้องจริงๆ เธอหมุนลูกบิดอย่างเบามือดวงตาอ่อนโยนทอดมองไปยังเตียงนอนสองชั้นที่ทำมาจากเนื้อไม้อย่างดี ส่ายศีรษะน้อยๆ เมื่อเห็นแฝดคนน้องหลับคาหนังสือการ์ตูน
เธอเขย่งปลายเท้าเอื้อมมือหยิบหนังสือออกจากใบหน้าลูกชายคิดว่าตนทำเบาที่สุดแล้วเชียว ทว่าภูเบศวร์ดันกะพริบตาขึ้นมามองหน้ากัน
“แม่...วันนี้น้องกัดนิ้วภีม” ดารินยิ้มเอ็นดูเห็นหน้าแม่ไม่ได้เป็นอันต้องมีเรื่องฟ้องทุกครั้งไปสินะ
“เจ็บมั้ยคะ เดี๋ยวแม่จะบอกน้องให้นะว่าทำแบบนี้ไม่ดีนอนเถอะคนเก่ง แม่ไม่กวนแล้ว”
ภูเบศวร์พยักหน้าขึ้นลงดวงตาเรียวรีค่อยๆ ปรือลง ง่วงก็ง่วง อยากฟ้องก็อยากฟ้อง ไม่นานนักก็กลับเข้านิทราตามเดิม เธอยิ้มให้ลูกชายจากนั้นยอบตัวนั่งลงข้างขอบเตียงสำรวจใบหน้าแฝดคนพี่
เพราะลูกชายคนโตนอนเตียงชั้นล่างจึงสังเกตกันได้ถนัดตา ภูมินทร์เหมือนตัวจะยืดขึ้นด้วยปลายเท้าที่เริ่มเลยเสาเตียงเห็นทีเร็วๆ นี้คงได้แยกห้องกันสักทีนะ
เด็กชายหลับลึกมากแม้มารดาก้มลงจุ๊บหน้าผากก็ไร้วี่แววจะตื่น ดารินลุกขึ้นกดสายตามองของเล่นกระจัดกระจายบนพื้นห้องถึงจะส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายใจ ทว่ามุมปากกลับแต้มรอยยิ้มเสมอ เธอก้มลงเก็บของชิ้นเล็กชิ้นน้อยใส่ตะกร้าถึงค่อยเดินออกมาพร้อมปิดประตูลงแผ่วเบาถัดไปอีกสี่ก้าวเป็นห้องนอนของการันต์
การันต์มีนิสัยขี้อ้อนติดแม่ ติดคนเลี้ยง ดังนั้นตอนแง้มประตูห้องก็เห็นร่างท้วมของป้าแววนอนอยู่บนฟูกผืนบางด้านล่างดารินไม่ติดหากป้าแววจะขึ้นไปนอนกับการันต์ ทว่าป้าแววให้เหตุผลว่าหล่อนถนัดนอนพื้นเสียมากกว่า เพราะเคยชินมาตั้งแต่ตอนเป็นสาว
เมื่อเห็นว่าลูกชายคนเล็กหลับไปแล้ว เธอก็ค่อยๆ ปิดประตูลงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ดวงตากลมทอดมองพื้นด้านล่างอย่างเหม่อลอยความจริงแล้วเพียงประวิงเวลาด้วยไม่อยากเจอหน้าใครบางคน
‘ไสหัวไปไหนก็ไป’
กี่ครั้งแล้วนะที่ถูกเขาไล่ แต่เธอก็ยังหน้าด้านหน้าทน...
ตอนเปิดประตูห้องเข้ามาเธอไม่เห็นแม้แต่เงาของสามีเดาว่าคงออกไปข้างนอกอย่างที่ชอบทำยามเรามีปากเสียงกัน เป็นเรื่องปกติของบ้านหลังนี้สาวใช้ย่อมรู้ดีกว่าใคร คุณผู้ชายกับภรรยาของเขายามอยู่ต่อหน้าคนอื่นรักกันปานจะกลืนกิน ทว่าหลังบ้านนั้นนับคำได้ที่จะคุยกันดีๆ
ดารินอยู่ในชุดผ้าคลุมอาบน้ำสีขาวหลังเหยียดตรง ดวงตาเฉยชาจ้องมองภาพสะท้อนตนเองในกระจกหลายปีมานี้มีบางสิ่งบางอย่างไม่เหมือนเดิม
เธอเคยสดใส...เคยมีไฟในการใช้ชีวิตแต่บัดนี้ถูกทดแทนด้วยสายตาเรียบเฉยและเย็นชาแทบไม่เหลือเศษเสี้ยวความสุขมีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ชีวิตยังมีความหมายก็คือลูกชายทั้งสามผู้เป็นดังแก้วตาดวงใจ
เอาเถอะชีวิตมันก็บัดซบแบบนี้แหละ
ประโยชน์ของเครื่องสำอางนอกจากจะใช้ประทินโฉมเพื่อความสวยงามก็ยังปกปิดร่องรอยไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย มือเรียวดุจลำเทียนหยิบสำลีแผ่นสำหรับเช็ดเครื่องสำอางขึ้นมาปาดบนใบหน้าออกแรงเพียงแผ่วเบาความหนาเตอะของรองพื้นก็ถูกลอกคราบหมดจด
ผิวหน้าที่สมควรจะเนียนไร้จุดด่างพร้อยกลับมีรอยประทับขึ้นรูปเรียวนิ้วแดงก่ำอย่างน่าอนาถใจ...
ไปสปาอะไรกันเธอก็แค่ไปเป็นสนามอารมณ์ให้บิดามาเท่านั้นเอง ปัญหาเดิมๆ วนเวียนไม่รู้จบ
**********
ชัชวาลย์มักไหว้วานลูกสาวให้มาเกลี้ยกล่อมสามีเรื่องเงินทุนก้อนใหญ่สำหรับทำบ้านจัดสรรค์...ท่าดีทีเหลว ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างรู้ดีแก่ใจว่าพ่อไม่ได้ต้องการทำโครงการอะไรนั่นจริงๆ พ่อก็แค่เข้าบ่อนติดพนันเป็นหนี้ก้อนใหญ่ คงอยากจะได้เงินทุนไปหมุนเวียนเสียมากกว่า ไม่กล้ายุ่งกับเงินบริษัทเพราะอาจถูกสามีลูกสาวตรวจสอบได้เนื่องด้วยเมฆินทร์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ก็นับตั้งแต่ชัชวาลย์ปลดจากการเป็น สส.เขาก็ขายหุ้นบริษัทให้ลูกเขยเกือบหมด
หากจะมีใครสักคนที่ทำให้ดารินถูกครหาว่าเป็นผู้หญิงหน้าเงินก็คงไม่พ้นพ่อบังเกิดเกล้าของเธอนี่เอง
‘ผัวแกรวยตั้งขนาดนั้น เงินแค่ยี่สิบล้านขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก เผลอๆ ให้มากกว่าที่ขอด้วยซ้ำ’
‘พ่อรู้มั้ย แค่ทุกวันนี้ดากับเขาก็แทบมองหน้ากันไม่ติดอยู่แล้วอาทิตย์ก่อนพ่อก็ได้ไปสามล้านยังไม่พอใจอีกเหรอ เงินมากมายขนาดนั้นเอาไปทำอะไรหมด’
‘แหม่...นังลูกไม่รักดีตัวเองสบายแล้วนี่ก็พูดได้หัดนึกถึงบุญคุณกันเสียบ้าง ถ้าไม่ได้ฉันออกหน้าให้ลูกชายฝาแฝดของแกคงไม่ได้ลืมตามาดูโลกใบนี้หรอกทำตัวเหลวแหลกท้องตั้งแต่ยังเรียนไม่จบโชคดีแค่ไหนที่พ่อของเด็กเป็นเจ้าเมฆน่ะ’
‘คุณคะ พูดอะไรน่ะ’ คุณหญิงกำไลปรามสามีแต่เห็นทีไม่ได้ผล
‘ต่อให้พ่อของเด็กไม่ใช่เมฆินทร์ โชติพิสุทธิ์เมธาดาก็เลี้ยงของดาได้!’
‘และพ่อก็ไม่มีสิทธิ์มาพูดว่า ใครสมควรหรือไม่สมควรลืมตาดูโลก!’
เพียะ!
‘ว้าย คุณชัช! อย่าทำลูกหยุดเดี๋ยวนี้นะ’
ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุชัชวาลเตรียมง้างฝ่ามือฟาดอีกหนแต่ถูกภรรยาเข้ามาขวางเสียก่อน
‘หลบไปคุณหญิงผมชักทนไม่ไหวกับมันแล้วนะ ทั้งปากดี ปากเก่ง ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแกจะไปรู้อะไรโลกภายนอกมันไม่ได้สดใสเหมือนการ์ตูนดิสนีย์ที่แกชอบดูหรอกนะนังดาแกบอกว่าแกเลี้ยงได้ ขี้คร้านสุดท้ายก็ต้องซมซานกลับมาหาแม่แกอยู่ดี’
‘แล้วยังไงคะสุดท้ายดาก็ไม่ได้กลับมาขอตังค์พ่อใช้สักนิด’
‘น้องดาพอแล้วลูกอย่าเถียงคุณพ่อ’
ดารินกัดฟันกรอดความเจ็บปวดบนใบหน้าเทียบไม่ได้กับอารมณ์เดือดดาลในอกยามนี้
ชัชวาลหายใจเข้าออกจนหน้าอกกระเพื่อมไหวไปหมดเส้นเลือดขึ้นปูดโปนตามข้างขมับโมโหลูกสาวจนลมแทบจับไม่เคยมีเลยสักครั้งที่มันจะได้ดังใจกันตอนแต่งงานก็ทำอิดออดทั้งที่ตัวเองก็อุ้มท้อง
อวดดีทำเป็นรักศักดิ์ศรีทั้งที่อ้าขาให้ไอ้เมฆมันเอาเองแท้ๆ
‘งั้นก็ดี ถ้าแกขอเงินมันไม่ได้ฉันก็ไม่เอา แต่ไอ้มูลนิธิบ้านเด็กกำพร้าที่แกขอให้ฉันก่อตั้งก็ไม่ต้องสร้างมันต่อหรอก เงินที่แกลงไปฉันจะถือว่าทุกอย่างเป็นอันโมฆะ’
‘คุณชัช!’ คุณหญิงกำไลไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งรู้กันดีว่าดารินลูกสาวของเธอตั้งใจทำโครงการนี้มากแค่ไหนกินเวลาไปหลายปีก็ยังไม่มีทีท่าจะเสร็จ
ผิดที่ดารินหัวอ่อนไม่ทันคนมากประสบการณ์อย่างชัชวาลชื่อนายทุนและผู้ก่อตั้งทุกอย่างจึงเป็นของบิดาทั้งที่คนลงเงินคือเธอแท้ๆ
‘พ่อทำแบบนี้ไม่ได้นั่นมันเงินดา!’
‘แกน่ะมันโง่นังดามีผัวรวยเสียเปล่า แต่ไม่คิดจะปอกลอกมันแค่ฉันวานให้ไปหยิบยืมมานิดๆ หน่อยๆ ดันหน้าบางซะงั้นอยากจะรู้จริงเชียวตอนอ้าขาให้มันเอาทำไมแกไม่หน้าบางอย่างนี้บ้าง’
‘พอแล้วคุณชัชหยุดพูดจาน่าเกลียดใส่ลูกสักที’
‘ก็จนกว่ามันจะหาเงินมาให้ผมได้นั่นแหละ... แล้วก็จำเอาไว้นะนังดาแกน่ะถ้าไม่ได้เป็นลูกฉันก็อย่าหวังว่าจะได้เป็นสะใภ้บ้านโชติพิสุทธิ์เมธาเลย’
ก็คงจะจริงอย่างพ่อเธอกล่าวไว้นั่นแหละถ้าเธอไม่ใช่ลูกสาวชัชวาลอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรป่านนี้ชีวิตเธอกับลูกก็คงไม่ได้เชิดหน้าชูตาในบ้านโชติพิสุทธิ์เมธา แล้วเป็นแบบนี้จะให้เธอกล้าขอตังค์สามีได้อย่างไรแค่เห็นหน้าก็เป็นอันต้องทะเลาะกันทุกที...
**********
ช่วงกลางดึกสงัดใครบางคนค่อยๆ แง้มประตูห้องอย่างเงียบเชียบ
เมฆินทร์เดินไปยังโซนห้องแต่งตัวรูปตัวออกแบบคล้ายตัวยู เขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกทีละเม็ดกลิ่นเหล้าคละคลุ้งติดตามร่างหนาหลังจากทะเลาะกับภรรยาเขาก็ออกไปดื่มเหล้าบ้านเพื่อนสนิทอย่างอัคนี เพราะไม่อยากเห็นใบหน้าสวยๆ ให้ต้องรำคาญใจ
ผู้หญิงอะไรปากเก่งจริงๆ วาสนาเขาคงได้เห็นแม่นั่นสงบเสงี่ยมแค่ตอนออกงานสังคมเท่านั้นแหละ เธอบอกว่าทำหมันคิดแล้วก็ยังโมโหไม่หาย มีลูกด้วยกันถึงสามคนจะมีอีกสักคนมันจะเป็นไรวะเบื่อจะคุย เบื่อจะทะเลาะ หรือถ้าหากวันหนึ่งดารินคิดจะไปจากกันจริงๆ ก็ขอบอกไว้เลยว่า...
ไปได้แต่ตัวเท่านั้นละ ทรัพย์สินสักแดงเดียวก็จะไม่ได้ แม้แต่ลูกชายทั้งสามคนเขาก็จะไม่ให้
เมฆินทร์ใช้เวลาอาบน้ำเพียงไม่นานบวกกับอาการกรึ่มๆ จึงค่อนข้างตาพร่าเบลอ ยามเคลื่อนปลายเท้าไปยังเตียงก็มองเห็นร่างอรชรขดตัวนอนบนเตียงกว้าง
ไม่รู้นึกยังไงถึงเดินไปทรุดตัวนั่งลงพิจารณาเสี้ยวหน้าภรรยาอยู่นานสองนาน เมียเขาเป็นคนตาดุ ทั้งยังชอบมองกันอย่างหยิ่งยโสยามหลับก็ดูไร้พิษสงอยู่หรอก ทว่าตอนมีสติก็น่าทุบใช่เล่น
บางทีก็สงสัยตัวเองเหมือนกันเขาทนอยู่กับผู้หญิงคนนี้ได้ยังไงจะเข้าสู่ปีที่แปดแล้วที่เราใช้ชีวิตด้วยกัน พูดกันดีๆ เห็นทีจะนับครั้งได้
หรือเขาถูกเล่นของใส่กันแน่ ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่หรอก...ตัวแปรของการอยู่ร่วมกันก็คงเป็นเพราะลูกนั่นแหละคือใจความสำคัญของเรื่องราวทั้งหมด
ร่างสูงเดินอ้อมไปยังเตียงอีกฝั่งล้มตัวนอนจนฟูกยวบตัวลงหันซ้ายทีขวาทีเดี๋ยวลุกเดี๋ยวนั่งท่าทีงุ่นง่านทำให้ใครบางคนถอนหายใจออกมาเสียงดัง
“ยังไม่นอนอีกหรือไง” เขาถามเสียงห้วน
ดารินกลอกตาถามมาได้ว่ายังไม่นอนอีกเหรอตัวเองเล่นดิ้นไปมาขนาดนี้ต่อให้ง่วงแค่ไหนใครมันจะไปหลับได้ลง
เมฆินทร์เม้มปากจนแล้วจนเล่าภรรยาก็ไม่ยอมตอบคำถามอาจจะยังไม่หายโกรธกัน เขาจึงเปลี่ยนท่าใหม่หันตะแคงข้างนอนจ้องแผ่นหลังบางไล่ขึ้นไปถึงท้ายทอยขาวเนียนยามกระทบแสงสลัวจากโคมไฟข้างหัวเตียงภาพในการมองเห็นทำใจเขาวาบหวิว จู่ๆลำคอแห้งก็ผากจนต้องเผลอกลืนน้ำลายดังอึก...
ท่อนแขนแข็งแรงพาดเอวคอดอย่างถือวิสาสะหลับตานิ่งรอดูอากัปกิริยาของสาวเจ้า ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด หรือว่าจะหลับแล้วจริงๆ ได้คืบจะเอาศอกนั่นแหละเขา ชายหนุ่มเลิกผ้าห่มจากนั้นก็ยัดเหยียดตัวเองเข้าไปด้านในซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนากับเธอก่อนวางมือลงไว้ตรงตำแหน่งเดิม
เอวบางนุ่มนิ่มทั้งยังอุ่นมาก...
ไออุ่นจากดารินแผ่ซ่านไปทั่วแผ่นอกเขาหลับตาลงรู้สึกผ่อนคลายอย่างหาที่สุดไม่ได้ เธอคงหลับแล้วจริงๆ ไม่งั้นคงไม่ยอมให้กอดอย่างง่ายดาย เมียเขาขี้รำคาญจะตายแตะนิดแตะหน่อยก็บ่นจิ๊จ๊ะในลำคอแล้วซึ่งบางครั้งเขาเองก็หงุดหงิด
ทว่าไม่นานคนเนื้ออุ่นในอ้อมแขนกลับขยับตัวคราแรกนึกว่าเธอจะผลักเขาออก...คาดเดาผิดไปหมด
ดารินพลิกตัวเข้าหาสามีดวงตาดมดุเป็นเอกลักษณ์จ้องสบนัยน์ตาหยาดเยิ้ม เมฆินทร์ไม่อาจละสายตาไปไหนได้แม้แต่นิด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาชอบการที่เธอไม่ต่อต้าน ไม่ผลักไส ไม่มองกันด้วยสายตาหยิ่งยโส รู้ตัวอีกทีฝ่ามือหนาก็เอื้อมสัมผัสแก้มขาวอย่างเผลอไผล
“อุ๊ย”
ดารินสะดุ้งไหวแก้มซีกนั้นช้ำจากการถูกบิดาทำร้าย แต่เพราะเราสองคนอยู่ในห้องที่มืดสลัวเมฆินทร์จึงไม่อาจรับรู้ถึงร่องรอยนั้นได้
“เป็นอะไรไป?”
“เปล่าค่ะ”
เธอตอบเสียงเบาหวิวก่อนยกมือขึ้นวางทับบนหลังมือใหญ่ นับว่าโชคดีที่บรรยากาศในตอนนี้มืดสลัวจนมองไม่เห็นดวงตาที่เอ่อล้นหยาดน้ำใส มันบรรจุความอ่อนแอไว้เต็มเปี่ยม
คำพูดของบิดายังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทอยากจะสลัดออก...
‘ก็จนกว่ามันจะหาเงินมาให้ผมได้นั่นแหละ... แล้วก็จำเอาไว้นะนังดา แกน่ะถ้าไม่ได้เป็นลูกฉันก็อย่าหวังว่าจะได้เป็นสะใภ้บ้านโชติพิสุทธิ์เมธาเลย’
ต่อมาร่างอรชรขยับกายเข้าหาสามี ใกล้ชิดกันจนได้กลิ่นลมหายใจหอมสะอาด เมฆินทร์พยายามเพ่งมองผ่านความมืดเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ทว่าเขาไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความปรารถนาของตนเอง
เธอเป็นฝ่ายเคลื่อนริมฝีปากเข้าหากันก่อนทั้งยังงับปากล่างหยอกล้ออยู่แบบนั้นจนเขาเริ่มทนไม่ไหว เมมฆินทร์หยันตัวลุกขึ้นสะบัดผ้าห่มออกจากร่างเขาผลิกตัวขึ้นคร่อมภรรยาจับเรียวแขนทั้งสองข้างตรึงราบไปกับเตียง
ใบหน้าโน้มต่ำดูดดึงกลีบปากนุ่มสอดลิ้นเข้าหาตวัดไปมาช่วงชิงลมหายใจจนอีกฝ่ายต้องหันหน้าหนีเพื่อกอบโกยอากาศเข้าปอด สายชุดนอนตัวบางถูกเลื่อนลงอย่างเชื่องช้า ไม่นานก็หลุดพ้นหัวไหล่กลมกลึง มืออุ่นร้อนลูบไล้กันอย่างคุ้นเคย
บทรักเริ่มจากความนุ่มนวลขยับเป็นเร่าร้อน ดารินตอบรับทุกท่วงท่าที่คนเป็นสามีมอบให้โดยไม่ปริปากบ่นเลยสักคำ กระทั่งเขาเปลี่ยนให้เธอหันหลังอยู่ในท่าคลานเข่าซึ่งคือท่าไม้ตายที่ตั้งใจเผด็จศึกนี้เสียที แม้เขาไม่อยากจบมันก็ตาม
“ฉัน...ฉันมีเรื่องจะขอ”
ดารินเอียงศีรษะพยายามจะแหงนมอง เมฆินทร์หยุดการเคลื่อนไหวเขาโน้มตัวเข้าหาจูบซับไอร้อนบนเส้นหลังเย้ายวนรอฟังคำขอนั้นอย่างตั้งใจ
“ฉันต้องการเงินยี่สิบล้าน”
“...”
เกิดความเงียบท่ามกลางคนทั้งสองไม่นานเสียงทุ้มต่ำก็เอ่ยถาม “เอาไปทำอะไร”
“...”
“ไม่บอกก็ไม่ต้องเอา”
“เครื่องเพชรชุดใหม่ใส่ออกงาน”
“ได้ พรุ่งนี้ไปซื้อด้วยกัน”
“ไม่...ฉัน...ฉันอยากได้เป็นเช็คเงินสดมากว่า”
เมฆินทร์หน้าเริ่มตึงก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นเริ่มกระแทกกระทั้นท่อนเนื้อด้านล่างอย่างดิบเถื่อน คนถูกกระทำสะดุ้งเฮือกกัดปากจนห้อเลือด แต่ก็ไม่คิดห้ามปรามเขาสักคำ...
"เธอนี่แม่ง..." ที่ยอมเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนก็คงเพราะด้วยเหตุนี้สินะ ไม่ผิดหวังเลย...
ยัยผู้หญิงหน้าเงิน!