ไร่ธารารักษ์ จังหวัดเชียงใหม่
"คุณพ่อคุณแม่ให้มาเชิญพ่อเลี้ยงเข้าไปในบ้านค่ะ" น้ำเสียงเชื้อเชิญละมุนละไมของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากประตูหน้าบ้านทำให้'พ่อเลี้ยงปักษ์ ภัครสกุล'ซึ่งยืนดูดบุหรี่อยู่หันขวับไปยังต้นเสียงนั้น
"อืม" เขาตอบสั้นๆ พลางกวาดสายตามองร่างเล็กกะทัดรัดตรงหน้าเสียจนสาวเจ้ารู้สึกอึดอัดเพราะความไร้มารยาทของชายหนุ่ม ดวงตากลมโตสีน้ำตาลโดดเด่นจำใจต้องหลบสายตาที่ดูพิลึกพิลั่นของอีกฝ่ายเมื่อถูกจ้องเขม็งไม่วางตา
"เธอคงจะเป็น...พริมพิจิกาสินะ?" ปักษ์เอ่ยถามเสียงค่อนไปทางเหยียดหยันเล็กน้อย ปฏิกิริยาของพ่อเลี้ยงหนุ่มที่กำลังจ้องมองมาทำให้พริมพิจิกานึกอยากจะเบ้ปากใส่เขาเสียให้รู้แล้วรู้รอด
"ใช่ค่ะ" เธอตอบเสียงเรียบไร้รสละมุนละไมเฉกเช่นก่อนหน้า มือเรียวขยับไปไขว้กันอยู่ด้านหลังเพื่อแสดงจุดยืนว่าตนก็ไม่ได้เกรงกลัวเขาเช่นเดียวกัน ใบหน้าเรียวเล็กเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ปลายจมูกโด่งเชิดรั้นเป็นสัญลักษณ์ของเด็กไร้เดียงสาที่ชอบเอาแต่ใจตนเอง ปักษ์จ้องมองหญิงสาวด้วยความรู้สึกแปลกใจที่กิริยาอ่อนน้อมเมื่อครู่กับตอนนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง
"หลบออกจากประตูสิ ฉันจะได้เดินเข้าไป" พ่อเลี้ยงหนุ่มเอ่ยขึ้นเสียงแข็ง แม้พริมพิจิกาจะไม่อยากหลีกทางให้บุรุษตรงหน้าเพราะรู้ดีว่าเขาเดินทางมาในวันนี้เพื่อพูดคุยเรื่องหมั้นหมายกับตน แต่ทว่าเพราะคำสั่งอันเคร่งครัดของผู้เป็นบิดาทำให้เธอจำต้องยอมหลีกทางให้ผู้มาเยือนแต่โดยดี
"อ้อ! แล้วเธอก็ไม่ต้องห่วงเรื่องงานหมั้นหรือว่างานแต่งหรอกนะ เพราะฉันจะไม่มีทางปล่อยให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด" ปักษ์กดเสียงต่ำราวกับเกรงว่าใครจะมาได้ยินในขณะที่ร่างเล็กกะทัดรัดถอยออกไปยืนอยู่ตรงขอบประตูเพื่อเป็นการหลีกทางให้เขา หลังจากพูดจบพ่อเลี้ยงหนุ่มก็สืบเท้ายาวเข้าไปในบ้านทันที
"คุณตัดสินใจดีแล้วจริงๆ หรือคะ พริมเป็นลูกสาวคนเดียวของเรา เธอควรที่จะ..."
"ผมตัดสินใจแล้ว" พ่อเลี้ยงพฤกษ์พูดแทรกภรรยาขึ้นมา ทำให้คุณเปรมมิกาจำต้องเงียบไป นางรู้ดีว่าทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านหากสามีตัดสินใจเด็ดขาดไปแล้วนางย่อมขัดไม่ได้
"ฉันก็คงจะห้ามคุณเรื่องนี้ไม่ได้สินะคะ"
"คุณก็เป็นเชื้อเจ้าเชื้อนายก็คงพอจะเข้าใจดีในเรื่องการแต่งงานกับคนที่เหมาะสม ผมเองก็เป็นนักธุรกิจเพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมตัดสินใจลงไปย่อมเป็นผลประโยชน์ต่อครอบครัวของเราทั้งนั้น"
"จริงๆ แล้วเพราะคุณเป็นเพื่อนสนิทกับคุณปักษิณาใช่ไหมคะ คุณถึงต้องการที่จะช่วยลูกชายของเขา" คุณเปรมมิกาหมายถึงมารดาของพ่อเลี้ยงปักษ์ซึ่งเป็นอดีตคนรักของสามีนางนั่นเอง
"นั่นก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง แต่ผมรู้จักคุณปักษ์ดีผมถึงไม่ลังเลที่ให้ยัยพริมแต่งงานงานกับผู้ชายคนนี้"
"รู้จักดีงั้นเหรอคะ? แม้ว่าเขาจะยังฝังใจเคียดแค้นกับอดีตภรรยาของเขาและอคติกับผู้หญิงทุกคนอย่างนั้นเหรอคะ?"
"เพราะผมเชื่อว่าลูกสาวของเราเก่งไม่แพ้คุณไงครับ คุณทำให้ผมรักคุณได้จนหมดหัวใจแล้วก็ลืมผู้หญิงทุกคน และที่สำคัญผมก็อยู่กับคุณมาจนถึงทุกวันนี้ ผมถึงเชื่อมั่นว่าลูกสาวของเราจะทำได้ดีเคยเหมือนที่คุณทำ" คำพูดอ่อนโยนของผู้เป็นสามีทำให้คุณเปรมมิกายอมอ่อนข้อลงแม้ในใจจะเป็นห่วงบุตรสาวมากก็ตาม
"ฉันก็พอจะรู้จักคนปักษ์ดีนะคะ เขาดูร้ายกว่าคุณหลายเท่า"
"ฮ่าๆ คุณพูดเหมือนลูกสาวของเราไม่ร้ายเลยนะครับ"
"แต่ฉันเลี้ยงลูกสาวมาเองกับมือนะคะ ฉันรู้ว่ายัยพริมเป็นเด็กอ่อนโยนอ่อนหวานแล้วก็ไม่มีทางสู้อารมณ์ร้ายกาจของพ่อเลี้ยงคนนี้ได้หรอก"
"ผมก็เลี้ยงลูกสาวผมมากับมือเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมก็รู้ดีว่าลูกสาวของผมไม่ได้อ่อนแอและไร้เดียงสา" ผู้เป็นสามีพูดข่มภรรยาไม่จริงจังนัก
"ขออนุญาตครับ" จังหวะเดียวกันนั้นพ่อเลี้ยงปักษ์ก็ยืนเคาะประตูอยู่บริเวณหน้าห้องรับแขก
"เชิญครับคุณปักษ์" พ่อเลี้ยงพฤกษ์ผายมือเชิญผู้มาเยือนให้นั่งลงบนโซฟาระหว่างที่เขาเดินตรงเข้ามาภายในห้องรับแขก
"สวัสดีดีครับ" ชายหนุ่มยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองท่านตามมารยาท เขารู้ดีว่าทั้งสองครอบครัวมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันมานาน
"เชิญนั่งก่อนสิครับ"
"ขอบคุณครับแต่ว่าคงไม่จำเป็น ผมมาที่นี่เพื่อพูดแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้นครับ" พ่อเลี้ยงหนุ่มยืนยัน
"เอ่อ...ทานมื้อเที่ยงด้วยกันก่อนดีกว่ามั้ยคะ แล้วจากนั้นค่อยคุยธุระกัน เดี๋ยวแม่จะได้ไปเตรียมอาหาร" คุณเปรมมิกาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
"ขอบคุณครับ แต่ไม่จำเป็นเพราะผมมาวันนี้ก็เพื่อมาแจ้งเรื่องสำคัญแค่เรื่องเดียว" พ่อเลี้ยงปักษ์เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
"เรื่องสำคัญที่ว่าคือเรื่องงานแต่งงานระหว่างคุณกับลูกสาวของผมใช่หรือเปล่าครับ?"
"ครับ ผมมายืนยันว่า...ไม่ว่าคุณทั้งสองจะยกเหตุผลทางธุรกิจอะไรมาอ้าง หรือคุณแม่ของผมจะยกเหตุผลที่ต้องการให้ผมแต่งงานใหม่หรืออะไรก็แล้วแต่ขึ้นมา ไม่มีทางแต่งงานกับลูกสาวของพ่อเลี้ยงครับ" พ่อเลี้ยงปักษ์พูดออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พริมพิจิกาเดินเข้ามาในห้องรับแขกจึงทำให้เธอได้ยินประโยคนั้นเข้าพอดี
"พริมก็ยืนยันเหมือนที่พ่อเลี้ยงยืนยันทุกคำพูดค่ะ พริมมีคนรักอยู่แล้วนะคะคุณพ่อ พริมไม่มีทางแต่งงานกับพ่อเลี้ยงปักษ์เด็ดขาด" หญิงสาวยกเหตุผลเรื่องคนรักขึ้นมาอ้างเพราะต้องการให้เรื่องราวทั้งหมดจบลง เธอหารู้ไม่ว่าคำพูดของตนสร้างความรู้สึกขุ่นเคืองใจให้พ่อเลี้ยงหนุ่มเป็นอย่างมากเพราะเขาเกลียดคำว่าความรักหรือคนรักเป็นที่สุด
"งั้นก็ตามนี้นะครับ" ปักษ์ปรายตามองหญิงสาวเล็กน้อย จากนั้นจึงหันกลับมาหาผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน
"เอาแบบนี้ก็แล้วกันนะครับ เพื่อเป็นการรักษาความสัมพันธ์แบบพี่น้องของสองครอบครัว ผมอยากให้พ่อเลี้ยงลองทำความรู้จักกับลูกสาวของผมในฐานะญาติสนิทกันก็ได้" พ่อเลี้ยงพฤกษ์ยื่นข้อเสนอ เพราะยิ่งเห็นพ่อเลี้ยงหนุ่มรุ่นลูกกระด้างกระเดื่องเช่นนี้เขายิ่งรู้สึกสงสารคุณปักษิณาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของตนจับใจ
"ไม่ครับ สมัยนี้มันไม่มีหรอกนะครับที่ผู้ใหญ่จะมาบังคับให้เด็กๆ แต่งงานกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ถือว่าจบนะครับ ผมขอตัว" ร่างสูงกำยำหมุนตัวกำลังจะเดินออกไปจากห้องรับแขก ทว่าทันใดนั้นเสียงของสตรีวัยราวหกสิบปีก็ดังขึ้น
"ตกลงตามนั้นค่ะ พ่อเลี้ยงปักษ์จะยอมทำความรู้จักกับหนูพริมหนึ่งเดือน หลังจากนั้นเขาถึงจะบอกเราทุกคนว่าจะเอายังไงต่อไป" น้ำเสียงทรงพลังมากกว่าครั้งใดๆ ของคุณปักษิณาทำให้บุตรชายจำใจต้องปิดปากเงียบ พริมพิจิกายกมือขึ้นไหว้ผู้ใหญ่ด้วยความเคารพ จากนั้นจึงปรายตามองสีหน้าของพ่อเลี้ยงปักษ์ที่ดูนิ่งเงียบไปก็พอจะเดาออกว่าคำพูดของมารดาของเขาคงจะเด็ดขาดเช่นเดียวกันกับคำพูดของผู้เป็นบิดาของตน
พริมธารา แกรนด์ โฮเต็ล
"ฉันมาตามหาผู้หญิงที่ชื่อมีนา บอกมาว่ามันอยู่ห้องไหน?" น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นบริเวณล็อบบี้โรงแรมจนแขกทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่กำลังรอเช็คอินเพื่อเข้าพักหันมามองเป็นตาเดียว
"ขอประทานโทษค่ะคุณผู้หญิง เราไม่สามารถให้ข้อมูลลูกค้าของทางโรงแรมได้ค่ะ" พนักงานต้อนรับสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
"ตายแล้ว! หล่อนคงไม่รู้สินะว่าฉันเป็นใคร บอกมาว่าอีมีนามันอยู่ห้องไหน มันเป็นเมียน้อยผัวฉันพวกเธอยังคิดที่จะปกป้องมันอีกเหรอ?" หญิงสาวยังคงส่งเสียงโวยวายต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าจะลดราวาศอก
"ทางโรงแรมต้องขอประทานโทษด้วยค่ะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่เราไม่สามารถที่จะให้ข้อมูลลูกค้าของเราแก่คุณได้" น้ำเสียงนุ่มนวลทว่ามีพลังดึงดูดเอ่ยขึ้น
"หึ! ฉันคือมาริสสาลูกสาวพ่อเลี้ยงมารุตผู้ร่ำรวย เพราะฉะนั้นฉันต้องการอะไรฉันก็ต้องได้ พวกพนักงานชั้นต่ำอย่างพวกหล่อนไม่มีสิทธิ์มาห้ามฉัน!" มาริสสาหันมาจ้องมองเจ้าของเสียงเมื่อครู่และโวยวายเสียงดังโดยไม่รู้จักเกรงใจหรืออับอายเสียด้วยซ้ำ
"ถึงคุณจะเห็นพวกเราเป็นพนักงานชั้นต่ำ แต่คุณก็ไม่ควรทำกิริยาต่ำๆ แบบนี้กับเรานะคะ" เจ้าของน้ำเสียงทรงพลังนั้นพูดขึ้นอีกครั้งและยังเน้นย้ำชัดเจนทุกคำ
"หล่อนกล้ามากนะที่พูดแบบนี้กับฉัน อยากตกงานหรือยังไง?"
"มีเรื่องอะไรกัน?" จังหวะเดียวกันนั้นบุรุษคนหนึ่งก็พูดขึ้นเสียงดัง
"คุณภูผา" เสียงพนักงานคนหนึ่งขานเรียกชื่อภูผาซึ่งเป็นหลานชายเจ้าของโรงแรม ร่างสูงกำยำกำลังเดินตรงเข้ามาร่วมวงสนทนาที่ดูจะเคร่งเครียดมากเป็นพิเศษ
"มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าครับน้องพริม วันนี้แต่งชุดพนักงานโรงแรมครบสูตรเลยนะครับ ดูสวยจนพี่จำไม่ได้เลย" ภูผาเอ่ยชื่นชมพริมพิจิกาลูกพี่ลูกน้องของตนซึ่งยืนทำหน้าเครียดอยู่ในชุดพนักงานโรงแรม
"คุณมาก็ดี! ดูจากการแต่งตัวน่าจะเป็นเจ้าของโรงแรมใช่หรือเปล่า?"
"สวัสดีครับคุณผู้หญิง ก่อนอื่นต้องเรียนก่อนว่าผมไม่ใช่เจ้าของโรงแรม แต่ผมสามารถให้ความช่วยเหลือคุณได้ในฐานะที่ผมอยู่ในบอร์ดบริหารคนหนึ่ง คุณมีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ?"
"ฉันต้องการคุยกับเจ้าของโรงแรมเท่านั้น คนระดับมาริสสาต้องคุยกับเจ้าของโรงแรมเท่านั้น!" หล่อนมีน้ำเสียงโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง
"ถ้าเช่นนั้นก็เชิญคุยเลยครับ" ภูผาผายมือไปยังพริมพิจิกาซึ่งยืนทำหน้าบึ้งตึงอยู่ข้างกายตน
"ว่าอะไรนะ! พนักงานโรงแรมคนนี้เนี่ยนะเป็นเจ้าของโรงแรม?"
"ใช่ครับ คุณพริมชื่อเดียวกันกับโรงแรมเลย เป็นเจ้าของโดยแท้จริงเลยครับ" คำพูดของภูผาทำให้มาริสสาหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย หล่อนรู้ดีว่าโรงแรมนี้คือโรงแรมหรูของตระกูลมหาเศรษฐีที่ตนเคยหมายปองชายหนุ่มจากตระกูลนี้มาเป็นสามีทว่ากลับไม่เคยเข้าถึงใครเลยแม้แต่คนเดียว
"ก็เล่นแต่งชุดพนักงานโรงแรมมาแบบนี้ ใครจะไปรู้ล่ะว่าเป็นเจ้าของโรงแรม" หล่อนพูดเสียงเบาลง
"ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ ดิฉันไม่สามารถที่จะบอกคุณได้ว่าแขกของเราพักอยู่ที่ห้องไหน เชิญคุณมาริสสากลับไปเถอะนะคะ" พริมพิจิกาพยายามพูดให้น้ำเสียงเป็นปกติที่สุดโดยการข่มความรู้สึกโกรธเคืองไว้ในใจในฐานะที่ตนเองเป็นผู้ให้บริการคนหนึ่ง
"คุณกล้าไล่ฉันเหรอ?"
"ใช่ค่ะ ดิฉันกล้าไล่ เชิญค่ะ" หญิงสาวผายมือออกไปทางหน้าโรงแรมเป็นการส่งแขก มาริสสารู้สึกเจ็บแค้นใจเป็นอย่างมากทว่าหล่อนพยายามเก็บน้ำเสียงที่อยากจะกรีดร้องออกมาไว้และเดินกระทืบเท้าออกไปด้วยความรู้สึกเจ็บใจ
"ผู้หญิงอะไรก็หน้าตาก็สวยชาติตระกูลก็ดี แต่นิสัยนี่สุดยอด" ภูผาส่ายหน้าไปมาระหว่างที่มองตามหลังหญิงสาวที่กำลังเดินจ้ำอ้าวออกไป
"พี่รู้จักเขาเหรอคะ?" พริมพิจิกาขมวดคิ้วถาม
"เธอเป็นอดีตภรรยาของพ่อเลี้ยงปักษ์ที่เป็นเพื่อนสนิทพี่คินครับ" ภูผาหมายถึงภาคินซึ่งเป็นพี่ชายของตน หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่ได้รู้ว่าผู้หญิงที่ตนต่อปากต่อคำด้วยเมื่อครู่คืออดีตภรรยาของปักษ์ซึ่งเป็นคู่หมายของเธอนั่นเอง
"ก็ไม่รู้ว่าเขาร้ายหรือเปล่า เขาอาจจะแค่นิสัยขี้โวยวายก็ได้ อีกอย่างถ้าสามีของใครไปนอนอยู่กับผู้หญิงคนอื่นก็ต้องโวยวายแบบนี้เป็นธรรมดาไม่ใช่เหรอ"
"ครับ แต่สำหรับผู้หญิงคนนี้เขาร้ายนะครับ พี่คินเคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วเขาสวมเขาให้พ่อเลี้ยงปักษ์โดยการคบชู้สู่ชายจนพ่อเลี้ยงฟ้องหย่า หลังจากที่หลุดจากพ่อเลี้ยงปักษ์ไปแล้วเขาก็แต่งงานใหม่ แต่แต่งห้าครั้งในสิบปีนะครับ" ภูผาไม่รู้ว่าครอบครัวกำลังจับคู่พ่อเลี้ยงปักษ์และลูกพี่ลูกน้องของตนจึงเล่าเรื่องนี้ให้หญิงสาวฟังคร่าวๆโดยไม่ได้คิดอะไรมาก
"จริงเหรอคะ แล้ว...พ่อเลี้ยงปักษ์เขาเป็นยังไงเหรอคะที่โดนผู้หญิงสวมเขาแบบนั้น"
"ก็เห็นว่าเสียศูนย์ไปเลยนะครับ เห็นพี่คินบอกว่าเคยพยายามแนะนำผู้หญิงให้พ่อเลี้ยงมาตลอดสิบปี แต่ก็โดนปฏิเสธทุกคน ดูเหมือนว่าเขาจะเกลียดผู้หญิงไปเลยนะครับ ทุกวันนี้พ่อเลี้ยงเขาก็ยังไม่แต่งงานใหม่แล้วก็ไม่คบผู้หญิงเป็นแฟนเลย"
"ความรักทำให้คนเป็นไปได้ขนาดนี้เลยเหรอคะ?"
"ไม่ใช่เพราะความรักหรอกครับ ความรู้สึกเจ็บแค้นใจที่โดนกระทำมากกว่า"
"แต่เหตุมันก็เกิดจากความรักไม่ใช่เหรอคะ?"
"ก็จริงครับ ว่าแต่เราเถอะ ทำไมถึงอยากรู้เรื่องของพ่อเลี้ยงปักษ์ล่ะ?" ภูผาเอียงคอถามลูกพี่ลูกน้องของตนทว่าไม่ได้จริงจังหาคำตอบอะไร
"ก็เรื่องชาวบ้านไงคะเลยอยากสอดรู้สอดเห็นบ้าง" หญิงสาวตัดบทโดยการฉีกยิ้มกว้างทำให้ภูผาเองต้องยอมพ่ายแพ้ให้กับรอยยิ้มสดใสของหญิงสาวเช่นทุกครั้ง
"อ้อ วันนี้พี่ไม่ได้ไปส่งที่บ้านนะครับเพราะว่าพี่ต้องไปรับแขกคนสำคัญของคุณอาที่สนามบิน"
"ไม่เป็นไรเลยค่ะ เดี๋ยวให้พนักงานโรงแรมขับไปส่งก็ได้" หญิงสาวพูดเท่านั้นก็ยกข้อมือเล็กขึ้นมาดูนาฬิกาก็เห็นว่าเป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว
"งั้นพี่ขอตัวนะครับ เดี๋ยวพี่จะไปบอกคนขับรถด้วยว่าให้ไปส่งน้องพริมที่บ้านด้วย"
"ขอบคุณค่ะพี่ชายที่แสนดีของน้องพริม" เธอแกล้งทำเสียงอ้อนหยอกล้อลูกพี่ลูกน้องของตน
"ไม่จำเป็น! ผมจะเป็นคนไปส่งคุณพริมเอง" เสียงดุดันของบุรุษคนหนึ่งดังขึ้นทำให้ทั้งสองคนหันขวับไปยังต้นเสียงนั้นพร้อมเพรียงกัน