ประกาศจากมหาวิทยาลัยถูกแชร์ไปทุกกลุ่มภายในไม่กี่นาที
งานกิจกรรมใหญ่ประจำปี
งานที่ทุกคณะต้องส่งตัวแทน
และต้องทำงานร่วมกันแบบเลี่ยงไม่ได้
เพลงพิณอ่านจบ
เงยหน้าขึ้นช้า ๆ
“ประธานสโมสรนิเทศ × ประธานสโมสรวิศวะ”
เธออ่านออกเสียง
แล้วหัวเราะหึ
แพรวาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เงยหน้าขึ้นทันที
“อย่าบอกนะ…”
รดาถอนหายใจ
“ใช่”
เพลงพิณพิงพนักเก้าอี้
“โลกกลมเกินไปหรือมหาลัยแกล้ง”
ยังไม่ทันพูดจบ
โทรศัพท์ก็สั่น
ชื่อที่ขึ้นหน้าจอ
ทำให้เธอเลิกคิ้วทันที
ขุนเขา
เพลงพิณกดรับ
โดยไม่พูดก่อน
“เห็นประกาศแล้วใช่ไหม”
เสียงเขาดังมาเรียบ ๆ แต่ชัด
“เห็น”
เธอตอบสั้น ๆ
“แล้วไง”
“เราต้องคุยกัน”
เขาพูดตรง
“เรื่องงาน”
เพลงพิณยิ้ม
ยิ้มแบบที่เพื่อนเห็นแล้วรู้เลยว่าไม่ใช่เรื่องดี
“คุยเรื่องงานได้”
เธอว่า
“แต่ถ้านายจะมาสั่ง ฉันไม่รับนะ”
ปลายสายเงียบไปนิดหนึ่ง
ก่อนจะตอบกลับ
“ผมไม่ได้คิดจะสั่งใคร”
“แค่อยากให้งานมันผ่านไปได้”
“ก็ดี”
เพลงพิณลุกขึ้น
“ฉันก็คิดเหมือนกัน”
⸻
ห้องประชุมกลางถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย
โต๊ะยาว วางผังงานกางเต็มพื้นที่
ตัวแทนสองคณะทยอยเข้ามานั่ง
บรรยากาศยังดูปกติ
จนกระทั่งประธานทั้งสองคนเดินเข้ามาพร้อมกัน
เสียงในห้องเงียบลงโดยอัตโนมัติ
แพรวากระซิบกับรดา
“เริ่มแล้ว”
ขุนเขาวางเอกสารลงบนโต๊ะ
เงยหน้ามองเพลงพิณตรง ๆ
“งานนี้ต้องแบ่งหน้าที่ชัดเจน”
เขาเริ่ม
“วิศวะดูแลระบบ แสง เสียง โครงสร้าง”
เพลงพิณพยักหน้า
“นิเทศดูแลคอนเทนต์ สื่อ เวที และภาพรวม”
“โอเค”
เขาพูด
“งั้นขอให้ทุกอย่างตรงเวลา”
เพลงพิณยิ้มบาง
“ถ้านายไม่มาขัด ฉันก็ไม่ช้า”
เพื่อนวิศวะคนหนึ่งหัวเราะเบา ๆ
“ประโยคแรกก็เริ่มแล้วว่ะ”
ขุนเขาเหลือบมอง
ก่อนหันกลับมาที่เพลงพิณ
“ผมไม่ได้ขัด”
เขาพูดเสียงเรียบ
“ผมแค่ไม่อยากให้งานพังเพราะอารมณ์ส่วนตัว”
เพลงพิณเอนหลัง
“ดีเลย”
“ฉันก็ไม่อยากให้งานพังเพราะอีโก้ใครบางคน”
บรรยากาศในห้องตึงขึ้นทันที
รดารีบแทรก
“โอเค ๆ โฟกัสงานนะคะ”
การประชุมเดินต่อ
แต่ทุกครั้งที่เพลงพิณเสนอไอเดีย
ขุนเขาจะถามรายละเอียดเพิ่ม
ไม่ใช่เพราะจับผิด
แต่เพราะอยากให้มันชัด
และทุกครั้งที่ขุนเขาปรับแผน
เพลงพิณจะเงียบไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะโต้กลับด้วยเหตุผล
ไม่มีใครยอมใคร
แต่ก็ไม่มีใครทำให้งานสะดุด
แพรวานั่งฟัง
สายตาสลับไปมา
“มึงรู้สึกไหม”
เธอกระซิบกับรดา
“มันไม่ใช่แค่เถียง”
รดาพยักหน้า
“มันเหมือน…ตั้งใจฟังกัน”
ช่วงพักเบรก
เพลงพิณเดินออกไปหน้าห้อง
ยืนรับลม
ไม่กี่วินาทีต่อมา
ขุนเขาก็เดินออกมาตาม
“เมื่อกี้ไอเดียเวทีของเธอ”
เขาพูดขึ้น
“มันเวิร์ก”
เพลงพิณหันมามอง
แปลกใจเล็กน้อย
แต่ไม่แสดงออก
“ขอบคุณ”
เธอตอบ
“ระบบแสงของนายก็โอเค”
ทั้งสองยืนเงียบ
บรรยากาศไม่อึดอัด
แต่ก็ไม่สบายใจ
“เราคงต้องทำงานด้วยกันอีกพักใหญ่”
ขุนเขาพูด
“คงงั้น”
เพลงพิณตอบ
“แต่ขออย่างเดียว”
“อะไร”
“อย่าเอานิสัยปากหมามาใช้กับทีมฉัน”
เธอพูดตรง
“ฉันไม่ชอบ”
ขุนเขาหัวเราะเบา ๆ
“งั้นเธอก็อย่าเอานิสัยกัดไม่เลือกมาใช้กับผม”
เพลงพิณยิ้ม
“ตกลง”
ทั้งคู่หันกลับเข้าห้องประชุม
โดยไม่รู้ตัวว่า
สายตาของเพื่อน ๆ
กำลังมองตามด้วยความรู้สึกเดียวกัน
นี่ไม่ใช่แค่คู่กัดธรรมดา
หลังประชุมจบ
แพรวาเดินเข้ามาคล้องแขนเพลงพิณ
“ยอมรับเถอะ”
เธอพูด
“แกไม่ได้เกลียดเขาขนาดนั้น”
เพลงพิณถอนหายใจ
“กูแค่…ไม่สบายใจเวลาอยู่ใกล้”
“นั่นแหละที่น่ากลัว”
แพรวาหัวเราะ
อีกฝั่งหนึ่ง
เพื่อนวิศวะเดินมาชนไหล่ขุนเขา
“มึงไม่เหมือนเดิมนะ”
เขาพูด
“ปกติมึงไม่ฟังใครขนาดนี้”
ขุนเขาไม่ตอบ
แค่มองไปทางที่เพลงพิณเดินออกไป
เขายังจำอะไรไม่ได้
ยังต่อภาพไม่ติด
แต่เขารู้สึกได้ชัดเจนว่า
ผู้หญิงคนนี้
ไม่ใช่แค่คนที่เขาอยากเอาชนะด้วยคำพูด
และการทำงานร่วมกันครั้งนี้
อาจเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่อง
ที่ไม่มีใครควบคุมได้ง่าย ๆ อีกต่อไป
⸻
🃏 คุ้นเกินไป (ทั้งที่ไม่ควรคุ้น)
การประชุมเลิกเกือบสองทุ่ม
ห้องประชุมค่อย ๆ ว่างลง เหลือแค่เสียงเก็บเอกสารกับเสียงเก้าอี้เลื่อนเบา ๆ
เพลงพิณกำลังเก็บแท็บเล็ต
แพรวายืนพิงโต๊ะ มองหน้าเพื่อนตัวเองแบบไม่ปกติ
“กูถามตรง ๆ นะ”
แพรวาพูดขึ้น
“แกกับวิศวะปากหมานั่น…เคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า”
เพลงพิณชะงัก
มือที่กำลังปิดหน้าจอหยุดไปเสี้ยววินาที
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน
“ไม่เคย”
เธอตอบทันที
เร็วเกินไป
รดาที่นั่งเงียบอยู่ข้าง ๆ เงยหน้าขึ้น
สายตานิ่ง ๆ จับจ้องเพลงพิณ
“แต่แกดูคุ้นกับเขา”
รดาพูดเรียบ
“คุ้นแบบไม่ใช่เพิ่งเจอกันสองสามครั้ง”
เพลงพิณหัวเราะเบา ๆ
แต่เสียงนั้นไม่มั่นใจเท่าเดิม
“คงเพราะเขาปากหมามากกว่า”
“คนแบบนั้น ใครเจอก็จำได้”
แพรวาหรี่ตา
“แต่แกไม่ใช่คนที่เสียอาการกับคนแปลกหน้า”
เพลงพิณถอนหายใจ
เอนหลังพิงเก้าอี้
“กูไม่ได้เสียอาการ”
“กูแค่…ไม่ชอบผู้ชายที่ชอบมองเหมือนกำลังจับผิด”
รดาพยักหน้า
แต่ไม่พูดอะไรต่อ
เพราะสีหน้าของเพลงพิณ
ไม่เหมือนคนที่มั่นใจในคำตอบของตัวเองเท่าไหร่
⸻
อีกฝั่งหนึ่งของอาคาร
ขุนเขาเดินออกมาพร้อมเพื่อนวิศวะสองสามคน
“เอาจริงนะ”
แทนพูดขึ้น
“กูไม่เคยเห็นมึงเถียงกับผู้หญิงได้นานขนาดนี้”
ขุนเขาเหลือบมอง
“กูไม่ได้เถียง”
โอมหัวเราะ
“อ๋อ มึงแค่ตั้งใจฟังเป็นพิเศษเฉย ๆ”
ขุนเขาไม่ตอบ
เดินไปหยุดที่ระเบียง สูดอากาศเข้าเต็มปอด
ภาพในหัวเขาเริ่มแปลก
ไม่ใช่ภาพชัด ๆ
แต่เป็นเศษความรู้สึก
เสียง
กลิ่น
ระยะห่างที่ใกล้เกินไป
“มึง” แทนพูดเสียงต่ำลง
“กูถามจริงนะ…มึงเคยเจอเขามาก่อนหรือเปล่า”
ขุนเขาขมวดคิ้ว
“ไม่เคย”
แต่คำตอบนั้น
ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกค้างในใจหายไป
“แล้วทำไมมึงมองเขาเหมือนกำลังพยายามนึกอะไรอยู่ตลอดวะ”
โอมถาม
ขุนเขาหลับตาลงชั่วครู่
ภาพหนึ่งแทรกเข้ามา
แสงไฟสลัว
เสียงประตูปิด
ลมหายใจที่ใกล้จนรู้สึกได้
เขาลืมตาขึ้นทันที
ขบกรามแน่น
“กูแค่รู้สึกคุ้น”
เขาพูดช้า ๆ
“แต่กูจำไม่ได้ว่าเคยคุ้นจากไหน”
แทนกับโอมมองหน้ากัน
ไม่พูดแซวต่อ
เพราะน้ำเสียงแบบนี้
ไม่ใช่เสียงเล่น ๆ
⸻
คืนนั้น
ขุนเขากลับถึงห้องช้ากว่าปกติ
เขาไม่ได้เปิดไฟทันที
ยืนพิงประตู
ปล่อยให้ความเงียบคลุมทุกอย่าง
ภาพเริ่มชัดขึ้นทีละนิด
เหมือนความทรงจำที่เคยถูกพับเก็บไว้
กำลังคลี่ออกเอง
ผู้หญิงคนหนึ่ง
ยืนอยู่ใกล้
สายตาไม่หลบ
ปากพูดแรง แต่เสียงสั่นนิดเดียว
“อย่ามองแบบนั้น”
ประโยคนี้ดังขึ้นในหัว
ทั้งที่ไม่มีใครพูดอยู่ตรงหน้า
ขุนเขาเดินไปนั่งบนโซฟา
กุมขมับตัวเอง
“ไม่จริง…”
เขาพึมพำ
แต่หัวใจกลับเต้นแรง
เหมือนกำลังยอมรับอะไรบางอย่างโดยไม่ตั้งใจ
⸻
ในเวลาเดียวกัน
อีกมุมหนึ่งของเมือง
เพลงพิณนั่งอยู่บนเตียง
ไฟหัวเตียงเปิดสลัว
เธอจ้องหน้าจอมือถือที่ดับไปแล้ว
แต่สมองยังไม่หยุดคิด
ภาพในคลาส
สายตาที่มองมา
น้ำเสียงตอนโต้กัน
มันซ้อนกับภาพอื่น
ภาพที่เธอพยายามไม่คิดถึงตั้งแต่เช้า
ความใกล้
ลมหายใจ
มือที่ยกขึ้นกั้นข้างหัว
เพลงพิณสะบัดหัวแรง ๆ
เหมือนอยากสลัดภาพนั้นออกไป
“ไม่ใช่หรอก”
เธอบอกตัวเอง
“มันเป็นไปไม่ได้”
แต่หัวใจกลับไม่เชื่อฟัง
เธอหลับตาลง
และภาพนั้น
กลับชัดขึ้นกว่าเดิม
แสงไฟที่ไม่สว่าง
เสียงประตูปิด
ความรู้สึกที่ควรลืม
แต่ยังไม่หายไปไหน
เพลงพิณลืมตาขึ้น
หัวใจเต้นแรง
เธอไม่รู้ว่า
ผู้ชายปากหมาที่เธอกำลังไม่ถูกชะตา
คือคนเดียวกับคืนนั้นหรือเปล่า
แต่ความคุ้น
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไป
⸻
เช้าวันถัดมา
ทั้งสองคนตื่นขึ้นมาพร้อมกัน
ต่างคนต่างไม่แน่ใจ
แต่ต่างคนต่างรู้สึกเหมือนกันว่า
ความทรงจำที่หายไป
กำลังจะกลับมา
และเมื่อมันกลับมา
ไม่มีใครจะทำเป็นไม่รู้สึกได้อีกแล้ว 😏⚙️🎻