ความฝันในอดีต (2)

1324 Words
“ทำแบบนี้ทำไม...” เสียงพูดปนเหนื่อยหอบในขณะที่ผมกำลังออกแรงดึงตะวันกลับเข้าด้านใน ผมค่อย ๆ ดึงตัวของตะวันเข้ามาได้สำเร็จโดยที่ตะวันไม่แม้แต่จะเอ่ยปากพูดอะไรกับผมเลยสักคำ เราสองคนยืนสบตากันในช่วงเวลาที่รู้สึกเหมือนกับว่าทุกอย่างรอบตัวกำลังเดินช้าลง ลมที่พัดราวกับจะเกิดพายุใหญ่เมื่อสักครู่ก็เงียบหายไป เหลือเพียงฝุ่นควันจาง ๆ เหมือนเหตุการณ์นั้นไม่เคยเกิดขึ้น โต๊ะ เก้าอี้ ที่ถูกเอามากองทิ้งเอาไว้ก็หายไปด้วย ในตอนนี้รอบตัวของผมกับตะวันช่างว่างเปล่า ที่ตรงนี้มีเพียงแค่เราสองคนเท่านั้น ไม่รู้ว่าเนิ่นนานแค่ไหนที่ผมจ้องมองลงไปในดวงตาคู่นั้น จนกระทั่งตะวันกำลังจะพูดอะไรบางอย่างกับผมก่อนที่จู่ ๆ ผมจะรู้สึกเหมือนตัวเองถูกกระชากตกลงมาจากที่สูงและสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง...ในห้องนอนของตัวเอง “ฝันแบบนี้อีกแล้ว” ความรู้สึกเปียกชื้นยังรื้นอยู่ในดวงตาทั้งสองข้าง ภาพในความฝันที่ชัดเจนมากเหมือนกับว่าผมไปอยู่ตรงนั้นจริง ๆ หรือถ้าจะให้บอกกันตามตรง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ใช่ความฝันเสียทีเดียว เพราะมันคือหนึ่งในความทรงจำของผมที่ผมเคยผ่านมันมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่ผมยังจำความรู้สึกในวันนั้นได้เป็นอย่างดี และการที่ผมฝันถึงมันบ่อยครั้งก็ทำให้ผมเกิดความรู้สึกแปลก ๆ อยู่ในใจตลอดเวลา แต่ผมเองก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าความรู้สึกที่ว่ามันคืออะไร ผมชื่อ วิรากร หรือที่ใคร ๆ ก็เรียกว่า วิน ปีนี้ผมอายุ 27 ปี เรียนจบและมีงานทำที่มั่นคง ผมทำงานเป็นสถาปนิกอยู่ในบริษัทที่มีชื่อเสียงและคุณภาพติดอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย ผมทำงานอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เรียนจบ จนได้รับความไว้วางใจให้จับงานใหญ่อยู่บ่อยครั้งและทุกครั้งการทำงานของผมไม่เคยมีจุดผิดพลาด ที่จริงแล้วชีวิตของผมก็ดูจะเป็นชีวิตที่ใครต่อใครมองเข้ามาก็คงจะอิจฉาในความสมบูรณ์แบบ แต่ผมเองกลับไม่คิดแบบนั้น ทุกครั้งที่ผมอยู่คนเดียวผมจะรู้สึกเหมือนข้างในจิตใจลึก ๆ ของผมกำลังโหยหาบางสิ่งบางอย่าง หลายครั้งที่ผมมานั่งตั้งคำถามว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมาของผม ผมเคยเผลอทำอะไรหล่นหายไปบ้างหรือเปล่า ทำไมผมถึงรู้สึกแบบนั้นโดยเฉพาะในคืนที่ผมฝันเห็นตะวัน...แฟนเก่าของผม ผมกับตะวันเราเลิกรากันไปตั้งแต่ช่วงที่เราเรียนอยู่มัธยม ด้วยเหตุผลที่ผมเองก็จำมันได้เพียงเลือนรางถึงสาเหตุของการเลิกกันในครั้งนั้นว่ามันคืออะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจำได้ดีคือช่วงเวลาที่เรารู้จักกัน มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมาก ตะวันเป็นเหมือนคนที่มาเติมเต็มสีสันให้กับโลกใบสีเทาของผม ไม่ว่าวันนั้นจะเป็นวันที่ผมเจอเรื่องราวแย่ ๆ มามากมายแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจะได้รับจากตะวันในทุก ๆ ครั้งที่ได้เจอกันก็คือรอยยิ้มและกำลังใจจากเขา ทุกครั้งมันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่มีตะวันอยู่เคียงข้าง ไม่ว่ากี่ครั้งที่ผมหันหลังมองกลับไป ผมก็จะเห็นตะวันอยู่เคียงข้างผมพร้อมรอยยิ้มสดใสเสมอ เราสองคนรักกันมาก มากเสียจนบางครั้งผมเองก็นึกไม่ออกว่าถ้าวันหนึ่งผมไม่มีตะวัน ชีวิตผมจะเป็นอย่างไร ครอบครัวของเราสองคนก็รับรู้ในความ สัมพันธ์ของพวกเราทั้งคู่เป็นอย่างดี และมันก็เป็นอีกหนึ่งในความโชคดีที่ทั้งสองครอบครัวต่างก็เข้าใจและยินดีกับความสัมพันธ์ในครั้งนี้ เราสองคนควรจะมีความสุข และจบลงตรงที่เราสองคนได้สร้างครอบครัวไปด้วยกัน แต่มันไม่มีใครรู้อนาคตได้เลย ต่อให้ปัจจุบันมันจะดีมากแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วก็ใช่ว่าเราจะสมหวังเสมอไป ผมกับตะวันเราเลิกกัน เลิกกันทั้งที่ผมยังรักเขามาก ตั้งแต่ที่เราเลิกรากันไปผมก็ไม่ได้เจอตะวันอีกเลย เราขาดการติดต่อกันไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรที่ทำให้เราสองคนห่างเหินกันจนไม่รู้เลยว่าตอนนี้อีกคนไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนและเป็นอย่างไรบ้าง ยังมีความสุข มีรอยยิ้มเหมือนเมื่อก่อนอยู่หรือเปล่า “อยากรู้จังว่าตะวันจะคิดถึงหรือฝันถึงเรา เหมือนอย่างที่เรายังคิดถึงและฝันเห็นตะวันแบบนี้บ้างหรือเปล่า” ผมพูดเพียงแผ่วเบา ฟังดูเหมือนกำลังพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า มันก็คงเป็นคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบกลับมาเพราะเขาไม่ได้อยู่กับผมตรงนี้ แต่ผมเองก็แอบหวังว่าถ้าหากผมมีโอกาสได้กลับไปเจอเขาอีกสักครั้ง ผมจะไม่ยอมปล่อยให้เขาหายไปจากชีวิตผมได้อีก เคยมีใครบางคนบอกกับผมเอาไว้ว่าถ้าหากสิ่ง ๆ นั้นมันเป็นของเรา สุดท้ายแล้วมันก็จะกลับมาเป็นของเราในสักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว ขอแค่เราอย่าหมดหวังไปเสียก่อน และผมก็เชื่อมาเสมอว่าผมกับตะวันเราเกิดมาเพื่อเป็นของกันและกัน ตอนนี้ผมทำได้แค่ปัดความคิดฟุ้งซ่านที่มีอยู่ในหัวออกไปแล้วหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา นาฬิกาบอกว่าเป็นเวลาเกือบตีสามแล้ว ผมจึงตัดสินใจลุกขึ้นไปเปิดไฟจนสว่างไปทั่วทั้งห้องแล้วนั่งลงที่โต๊ะทำงานเพื่อจัดการสะสางงานของตัวเองให้เสร็จสิ้นเสียที หลังจากที่ถูกเร่งตามงานมาหลายวันจนถึงวันกำหนดส่ง แต่ตอนนี้มันยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกนิดหน่อยที่ยังไม่เรียบร้อยและผมคงต้องทำมันให้เสร็จภายในคืนนี้ ถ้าให้กลับไปนอนตอนนี้ผมก็คงจะนอนไม่หลับอยู่ดี สู้ใช้เวลาจากนี้ไปจนถึงเช้าทำงานยังดีเสียกว่าเพราะนอกจากผมจะได้สะสางงานที่ค้างเอาไว้แล้ว มันก็ยังทำให้ผมลดความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นลงไปได้บ้าง ความรู้สึกพวกนี้มักจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่ผมฝันถึงอดีตของผมกับตะวันบนดาดฟ้า และยิ่งภาพในความฝันมันชัดเจนมากขึ้นเท่าไร สิ่งนั้นมันก็จะยิ่งรบกวนความคิดของผมมากขึ้นเท่านั้น การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือลุกขึ้นมาทำงานเพื่อให้สมองตัวเองไม่ว่าง เอาเวลาไปวางแผนเรื่องงาน เดี๋ยวภาพความฝันเหล่านั้นมันก็จะค่อย ๆ จางหายไปเอง อีกไม่กี่ชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะโผล่พ้นขอบฟ้า เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นใช้ชีวิตในเช้าวันใหม่ ผมคอยบอกตัวเองเสมอว่าเมื่อไรก็ตามที่ผมได้เห็นแสงแดดของเช้าวันใหม่ นั่นก็แปลว่าวันนี้จะต้องมีเรื่องราวดี ๆ เกิดขึ้นกับผม วันนี้จะต้องเป็นวันที่ดีขึ้นของผม... ถึงแม้ว่ารอยยิ้มของผมมันจะหายไปแต่สักวันมันจะกลับมา... กลับมาพร้อมกับคนที่ผมเฝ้ารอ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD