ตอนที่4(สถานที่แปลกตาแต่เหมือนคุ้นเคย)

1543 Words
ภูดาว…..คือชื่อหมู่บ้านเล็กๆที่ตั้งอยู่ใจกลางระหว่างภูเขาสองลูกที่มีชื่อว่า ภูเขาภูและภูเขาดาวที่มีรูปร่างคล้ายดาวห้าแฉก ชาวบ้านจึงเรียกขานภูเขาสองลูกที่อยู่ใกล้กันว่าภูเขาภูดาว ที่หมู่บ้านแห่งนั่นร่ำลือกันว่ามีนายพรานเก่งกาจอยู่หลายนับสิบคน แต่นายพรานพวกนั้นไม่มีใครสามารถฆ่าเสือสมิงใหญ่ตัวนั้นได้เลยสักคน……ยิ่งมันได้กินนายพรานที่มีวิชาอาคมแก่กล้ามากเข้าไปเพียงใด วิชาอาคมในตัวมันก็จะแกร่งกล้ามากขึ้นเท่านั้น… เสือสมิง…เสืออาคม คือคนที่เล่นของคาถาอาคม ทั้งไสยเวท ไสยศาสตร์ มนต์ดำ คุณไสย ทำผิดครูและผิดกฏต้องห้ามจนวิชาเหล่านั้นเข้าตัวทำให้กลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันจะปลอมแปลงเป็นมนุษย์ที่มันฆ่าได้ทุกคน มันจะกัดกินเลือดกินเนื้อของมนุษย์เพื่อเพิ่ม พละกำลังและพละกำลังคุณเวชของมันที่อยู่ในตัวให้แกร่งกล้าขึ้น กระสุนธรรมดาทำอะไรมันไม่ได้ มันไม่ตาย เพราะหนังมันเหนียว มันมีของต่ำมากมายอยู่ในตัว สองสิ่งที่จะฆ่ามันได้ก็คือ….กระสุนปลุกเสกจากคนที่มีคาถาอาคมแกร่งกล้า และมีดหมอปลุกเสกนั่นเอง ………………………………………….. พุทธศักราช2466 เช้าวันต่อมา หมู่บ้านภูดาว บ้านของพรานเข้ม ดาวเหนือ….. “อืมมมม…”ผมครวญครางออกมาก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมาเมื่อสายตาไปกระทบเข้ากับแสงแดดยามเช้าที่ส่องแสงเข้ามาจากทางหน้าต่างด้านข้างของผม ทำให้ผมมองไปรอบๆห้องเล็กสี่เหลี่ยมแห่งนี้ ด้วยความแปลกใจกับสิ่งของที่ผิดแปลกไป ไม่มีเฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่มีพัดลมไม่มีเครื่องปรับอากาศไม่มีที่นอนนุ่มนิ่มๆมีเพียงแค่หมอนอิฐใบเดียวกับเตียงนอนไม้ไผ่หรือที่เขาเรียกกันว่าแคร่ที่ผมกำลังนอนอยู่แค่นั้น ห้องนี้โล่งมาก มากถึงมากที่สุด “โอ้ย!”ผมยันตัวลุกขึ้นแต่ก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดที่หน้าท้องของผม ทำให้ผมรีบก้มหน้าลงไปดูทันที ก็ต้องขมวดคิ้วออกมา กับสิ่งที่อยู่บนร่างของผมในตอนนี้ มันคือผ้าหลายสีผืนหนึ่งกำลังพันรอบเอวสอบของผม และด้านในผ้านี้ก็คงจะเป็นบาดแผลของผมเป็นแน่ “นี่เรา…ยังไม่ตายใช่ไหม?”ผมพึมพำออกมาไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจเพราะตอนนี้ในหัวของผมมันตื้อไปหมด เหตุการณ์ก่อนหน้าที่ผมจะดับวูบลงไป คือร่างของไอ้ปลิวที่โดนเสือโคร่งใหญ่ตัวนั้นกัดกินจนศีรษะของมันหลุดกระเด็นออกมา เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดขึ้นไปทั่วบริเวณแห่งนั้น พรึบ “มันเกิดอะไรขึ้น….” “เรารอดพ้นจากเสือตัวนั้นมาได้ยังไง?”ผมพึมพำต่ออย่างต้องการหาคำตอบให้ตัวเอง ผมขมวดคิ้วจนจะผูกกันเป็นปมอยู่แล้วแต่ก็ยังคิดอะไรไม่ออกสักที แต่สิ่งเดียวที่ผมจำได้ คือผู้ชายหน้าคมเข้มหล่อเหลาจมูกโด่งนัยน์ตาสีเหลืองไม่สิ สายตาเขาแปรเปลี่ยนสีได้ บางครั้งก็มองเห็นเป็นสีดำบางครั้งก็มองเห็นเป็นสีเหลือง เขามีร่างกายกำยำเต็มไปด้วยหมัดกล้ามที่แกร่งแข็งที่ปกป้องและกอดผมจนทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เขาเป็นใครกันนะ แต่เหมือนผมจะคุ้นเคยกับเขามานานแล้ว เหมือนนานมากๆแล้ว พรึบ “ที่นี่ที่ไหนกันนะ…”ผมพึมพำขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปตามพื้นไม้เรื่อยๆเพื่อจะออกไปที่หน้าประตูไม้ไผ่บานตรงหน้าของผม มือก็กำแผลตรงที่รู้สึกเจ็บไปด้วย พรึบ แอดดดดดดด ผมเอื้อมมือไปเปิดประตูพร้อมกับชะโงกหน้าออกไปดูด้านนอกก็ต้องแปลกใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าผม หมู่บ้านหลายๆหลังที่เป็นบ้านเรือนทำจากไม้มุ่งหลังคาด้วยหญ้าคาผู้คนเดินกันเพ่นพ่านไปหมด ผู้ชายบางคนไม่ใส่เสื้อ บางคนใส่เสื้อ ผู้หญิงก็นุ่งผ้าถุงเสื้อแขนสั้นส่วนผู้หญิงสาวก็นุ่งเสื้อแขนตุ๊กตากับผ้าถุง ทำให้ผมขมวดคิ้วงุนงงกับการแต่งกายที่ไม่เหมือนที่ผมเคยเห็น การแต่งกายชาวบ้านแบบนี้ มันเหมือนเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ใช่….สถานที่แห่งนี้…ผมเคยเห็น….ผมคุ้นตาและคุ้นเคยกับมัน…ผมเคยฝันเห็นบ่อยๆ พรึบ “โอ้ย!”ผมร้องเสียงหลงที่รู้สึกหน้ามืดกระทันหันทำให้เสียการทรงตัวกำลังจะล้มหงายหลัง “เห้ย…ระวัง!!”เสียงเข้มร้องอุทานขึ้นอย่างตกใจพร้อมกับเสียงฝีเท้าหนักๆที่วิ่งมารับร่างของผมไว้อย่างไวและได้ทันเวลา พรึบ “เป็นอะไรไหม?”เสียงทุ้มเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ผมที่รับรู้ได้ว่าผมกำลังอยู่ในอ้อมแขนแกร่งของเจ้าของเสียงที่เอ่ยถามผมก็ค่อยๆลืมตามามองหน้าผู้ชายคนตรงหน้า ใบหน้าเรียวเล็กหน้าตาคมเข้มนัยน์ตาสีดำแต่แวบหนึ่งเหมือนเป็นสีเหลือง จมูกโด่งใบหน้าของเราสองคนอยู่ใกล้กันมาก มากจนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่กำลังเป่ารินรดใบหน้าของผมอยู่ ลมหายใจของเขา หอมดีจัง เราสองคนเหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัวเหมือนหยุดแน่นิ่งไปเหมือนเวลาหยุด เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างหยุดหมด แต่สิ่งที่กำลังเต้นรัวเร็วอยู่ในตอนนี้คือ หัวใจของผมและของเขาคนนี้ พรึบ “เอ่อ…เอ็งไม่เป็นไรใช่ไหม?”เหมือนคนร่างหนาจะได้สติก่อนผมเขาดันร่างของผมให้ลุกขึ้นยืนและเอ่ยถามผมเสียงเข้มพร้อมกับเสมองไปทางอื่นใบหน้าแดงก่ำอย่างคนที่กำลังเขินอาย ทำให้ผมยิ้มกรุ้มกริ่มขึ้นมา คนนี้แหละที่เป็นเจ้าของอ้อมกอดที่อบอุ่นที่กอดผมในตอนที่ผมกำลังฝันร้ายอยู่เมื่อคืนนี้ “ข้าว่าเอ็งไปนอนพักก่อนเถอะ…จะรีบออกมาทำไม…” “พอดี…ผมหิวน้ำและก็หิวข้าวนะครับ…”ผมเอ่่ยบอกเขาไป เขาก็มองหน้าผมแต่ก็แค่แวบเดียวก่อนจะแปรเปลี่ยนมองไปทางอื่น “งั้นก็ไปนั่งรอที่เอ็งนอนก่อน..เดี๋ยวข้าจะไปเอาน้ำกับข้าวมาให้กิน…”เสียงเข้มเอ่ยบอกผมแต่ก็ยังไม่ยอมหันมามองหน้าผมอยู่ดี “ขอบคุณครับ…”ผมเอ่ยตอบเขาพร้อมกับมองคนตรงหน้าที่ไม่สบตาผมอยู่ด้วยสายตาเอ็นดู ผู้ชายคนนี้น่ารักจังวะ หล่อเข้มแต่มองขี้เขินจัง น่ารักโคตรๆ^_^ ตัวโตซะเปล่า ขี้เขินชะมัด^_^ ผมเดินพาร่างกายที่อิดโรยของตัวเองกลับไปนั่งลงบนเตียงไม้ไผ่ที่ผมใช้นอนพักก่อนตามเดิมอย่างช้าๆพร้อมกับสอดส่องสายตามองไปรอบๆห้องแห่งนี้ ห้องที่โล่งเปล่า และบ้านหลังนี้ก็มีเพียงแค่ห้องนี้เท่านั้น จะเรียกว่าบ้านก็ไม่เชิงมันเหมือนกระท่อมที่ใช้นอนปลายนามากกว่า ตึกๆๆๆ ผมหันไปมอยังร่างหนาที่เดินเปลือยกายท่อนบนเข้ามาในห้องนอนพร้อมกับในมือถือถาดไม้สานเดินมุ่งตรงมาหาผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย พรึบ เขาวางถาดสานลงตรงด้านข้างของผมก่อนจะนั่งลงข้างๆผมบนแคร่ไม้ไผ่ “กินซะสิ…” “ขอบคุณครับ….” “ที่นี่เป็นบ้านของคุณหรือครับ?”ผมเอ่ยถามเขาไปอย่างสงสัย ผู้ชายร่างหนารูปร่างกำยำผิวแทนก็หันมามองหน้าผม “ใช่…นี่บ้านข้า…ข้าอยู่คนเดียว…”เขาตอบผมมา ผมก็พยักหน้าเข้าใจก่อนจะเอื้อมมือลงไปมองอาหารในถาดสานที่เป็นจานกระเบื้องที่ผมไม่คุ้นตาวางอยู่หนึ่งจานและด้านข้างเป็นกระติบใส่ข้าวเหนียว ผมก็เงยหน้าขึ้นไปมองคนที่ข้างๆที่เห็นว่าเขามองไปทางอื่นอยู่โดยไม่สนใจผม ผมก็ยิ้มกริ่มออกมาก่อนจะลงมือปั้นข้าวเหนียวจิ้มกับอาหารอะไรสักอย่างคล้ายๆลาบหมูแต่มันไม่ใช่เนื้อหมู แต่มันอร่อยกว่า “ว่าแต่…คุณชื่ออะไรเหรอครับ?” “ข้าชื่อเข้ม…” “ผมชื่อดาวเหนือนะครับ…เรียกเหนือเฉยๆก็ได้ครับ^_^”ผมเอ่ยแนะนำตัวกับเขากลับไป พี่เข้มก็หันมามองหน้าผมแวบหนึ่งด้วยแววตาสั่นไหวก่อนจะรีบหันกลับไปมองทิศทางอื่น “ทำไมผมรู้สึก…คุ้นเคยกับพี่จัง…” “เอ็งรู้ได้ยังไงว่าข้า…อายุมากกว่าเอ็ง?”เขาเอ่ยถามผมกลับมาอย่างสงสัย ใบหน้าหล่อจ้องผมเขม่น ผมก็คลี่ยิ้มบางๆให้เขาก่อนจะเคี้ยวข้าวเหนียวในปากอย่างเอร็ดอร่อยและไม่ยอมตอบคำถามพี่เข้มไป ก็ผมพอใจที่จะเรียกเขาแบบนี้^_^
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD