ตอนที่1

3233 Words
ณ.​กรุงเทพฯ    มหาวิทยาลัยชื่อดัง “เย้ เย้ เย้..” สามสาวสวยต่างไซร์ต่างสไตส์แต่เป็นเพื่อนซี้ที่เรียนมหาวิทยาลัยชื่อดังมาด้วยกันสี่ปีส่งเสียงร้องดังขึ้นหลังจากที่สอบเสร็จจบการศึกษาปีสุดท้ายและพวกเธอก็เรียนจบกันแล้ว “โอ้ย.ยากที่สุดเลยอ่ะ พิชชาเกือบจะทำไม่ได้น่ะ” พิชชา หรือ สุพิชา พรไพศาล สาวโคราชนัยต์ตาคมผิวสีน้ำผึ้งเนียนสวยร่างเล็กแต่อวบอิ่มไปทุกสัดส่วนชอบใสเสื้อผ้ารุ่มร่ามเหมือนป้าแก่แต่ยังมีหนุ่มๆรุ่นพี่รุ่นน้องมาตามจีบเธอแต่เวลาอยู่นอกมหาวิทยาลัยหรือไปเที่ยวกับเพื่อนๆเธอก็แต่งตัววัยรุ่นทันสมัยเหมือนกับเพื่อนสาวทั้งสองคนของเธอ “นี่ยัยพิชชาแกอย่าถล่มตัวจะคว้าเกียรตินิยมไปครองอยู่แล้วนะยะ”  หนูลี หรือ ปณาลี วรโชติเมธี คุณหนูไฮโซคนสวยหุ่นนางแบบที่คุณแม่ชอบพาลูกสาวไปอวดเพื่อนๆไฮโซของท่านเป็นประจำและยังแอบจับคู่ให้ลูกสาวอีกด้วยถึงเธอจะปากร้ายแต่ใจดีรักเพื่อนที่เธอเคยเชิดใส่ตอนเข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่งเพราะอิจฉาความกล้าแสดงออกของ สุพิชชาในวันรับน้องที่รุ่นพี่ให้ทำท่าตลกหรือบอกให้ทำอะไรสุพิชชาก็ทำหมดและยังมีน้ำใจกับเพื่อนๆทุกคนทั้งๆที่เพิ่งจะรู้จักกันจนทำเธอเปลี่ยนความคิดจากที่ไม่ชอบและหมั่นใส้กลายมาเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่นั้นมาจนถึงเรียนจบกัน “ขนาดพัชรโคตรตั้งใจเรียนยังไม่ได้เลย อิจฉาอ่ะคนอะไรทั้งสวยทั้งเก่งแถมเซ็กซี่อีกด้วยครบเครื่องเลยนะเพื่อนฉัน”  พัชร หรือ กนกพัชร จิตติรัตน์  สาวสวยร่างอวบไปนิดแต่เธอเป็นคนน่ารักชอบทำนั่นทำนี่ให้เพื่อนๆกินอยู่บ่อยๆจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเธอถึงอวบและที่บ้านทางเมืองกาญจนบุรีของเธอส่งอาหารมาให้ลูกสาวทุกอาทิตย์จึงทำให้สุพิชชากับปณาลีพลอยได้ลาภปากไปด้วย “แค่เรียนจบหนูลีก็ดีใจแล้วไม่งั้นคุณแม่ได้อายเพื่อนๆแน่ คิกกๆ..” คุณหนูไฮโซพูดแล้วก็หัวเราะเมื่อพูดถึงคุณแม่ของเธอ “แล้วพวกเราจะไปฉลองกันที่ไหนดีล่ะ พัชรเก็บกดมานานแล้วนะเพื่อนรัก” กนกพัชรปรึกษาสองเพื่อนรักที่ติวหนังสือหนักกันมาทั้งเดือนก่อนสอบเพื่อจะได้เกรดเฉลี่ยสวยๆกันตอนจบ “เดี๋ยวฉันถามน้องชายก่อนนะ ว่าเราจะไปที่ไหนกันดี”  หนูลีตอบเพื่อนเพราะน้องชายของเธอก็จะไปด้วยทุกครั้งตามคำสั่งของคุณแม่ที่ไม่อยากให้ลูกสาวและเพื่อนไปเที่ยวกันตามลำพัง ศิระ หรือ นายระน้องชายของหนูลีที่อ่อนกว่าพี่สาวแค่ปีเดียวที่ชอบไปนั่งดูสาวๆมากกว่าไปเฝ้าพี่สาวกับเพื่อนเด็กหนุ่มจึงเหมือนเพื่อนในกลุ่มอีกคนของสามสาว “โอเคเลยจ้ะยัยคุณหนูลี แต่ตอนนี้พัชรหิวอ่ะพวกแก” กนกพัชรบอกเพื่อนแล้วทำหน้าละห้อยอย่างน่าสงสารแต่เป็นที่หมั่นใส้ของเพื่อน “นี่ยัยพัชรแกจะไม่ให้ท้องแกว่างเลยใช่ไหม นิ่งเป็นหลับขยับเมื่อไหร่นี่กินตลอดดูสิพุงพิชาออกแล้วนะ” สุพิชชาว่าเพื่อนที่ขยันหิวและพากันไปกินจนเธอเริ่มจะอ้วนขึ้นแล้วนะ “ต้าย, ช่างกล้าพูดนะยะ พัชรว่าแกอ้วนอยู่ที่เดียวนี่แหละ คิกกๆๆ..” กนกพัชรไม่พูดเปล่าๆเอานิ้วจิ้มไปที่อกอวบอิ่มกลมกลึงของพิชชาจนเธอสะดุ้ง “อุ้ย, ยัยพัชรบ้า จิ้มมาได้ตกใจหมด” สุพิชชาหน้าแดงขึ้นทันทีหันซ้ายหันขวากลัวจะมีคนเห็น “คิกๆ คิกๆๆ...” ปนาลีกับกนกพัชรหัวเราะขึ้นพร้อมกันขำสุพิชชา “จะกินข้าวกันมั้ยล่ะ หรือพวกแกหัวเราะกันอิ่มแล้วล่ะฮ้า” สุพิชาพูดเสียงดังแก้เขิน “ไปจ้ะไป นี่แกแค่โดนจิ้มอึ๋มนะพิชชาถ้าโดนจิ้ม...ล่ะแกเอ้ยไม่อยากคิด คิกๆคิกๆ” ปนาลีพูดจบทั้งสามก็หัวเราะขึ้นพร้อมกันและเดินเกาะกลุ่มกันไปร้านเบเกอรี่เล็กๆข้างมหาลัยที่พวกเธอจะไปนั่งกันเป็นประจำเกือบทุกวันจนสนิทกับพี่เจ้าของร้านแล้วต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน “แกจบแล้วจะทำอะไรต่อพิชชา” กนกพัชรถามเพื่อนสาวที่กำลังขับรถอยู่เพราะเธอและสุพิชชาพักห้องเดียวกันในคอนโดระดับกลางและแชร์ค่าห้องกันจึงสลับกันขับรถไปเรียน “พิชชายื่นไปสมัครไปที่บริษัท Y&S  แล้วแกล่ะจะกลับเมืองกาญเลยหรือเปล่า”สุพิชชาถามเพื่อนเพราะที่บ้านของกนกพัชรอยากให้กลับไปช่วยพี่ชายดูแลรีสอร์ทและเรือนแพริมแม่น้ำแควแต่กนกพัชรยังไม่อยากกลับเหมือนกับเธอนั่นแหละ(Y&S บริษัท วาย แอนด์ เอส ออโต้พาร์ท (ไทยแลนด์)จำกัด มหาชน) “ยังหรอกแก พัชรอยากหาประสบการณ์ก่อนสักสองสามปีก่อนน่ะ แล้วค่อยคิดอีกทีตอนนี้พี่ไก่ก็ดูแลคนเดียวได้ หรือไปสมัครที่เดียวกับแกดีล่ะ” กนกพัชรคิดได้ว่าเธอลืมไปได้อย่างไรนะก็พวกเธอไปฝึกงานกันอยู่ที่นั่นน่ะสิแต่ถ้าไม่ได้คุณแม่แสนใจดีของปนาลีพวกเธอคงไม่ได้ไปฝึกงานบริษัทยักษ์ใหญ่แบบนั้นได้หรอก “ก็ดีสิ งั้นแกรีบไปยื่นไปสมัครเลยพรุ่งนี้พิชชาไปส่งตกลงนะ” พิชชาก็อยากให้เพื่อนไปทำด้วยกันแต่ปนาลีไม่ชอบงานนั่งอยู่กับที่เธอชอบงานลุยๆมากกว่าจึงทำให้ขัดแย้งกับคุณแม่เลยยังไม่ได้ไปสมัครงานที่ไหน “โอเค งั้นวันนี้เรากลับไปนอนเอาแรงดีกว่าเนาะจะได้เตรียมตัวให้พร้อมไปสมัครงานวันพรุ่งนี้” กนกพัชรบอกเพื่อนที่มีหน้าที่ขับรถจนถึงคอนโดของพวกเธอทั้งสอสาวก็พากันขึ้นไปบนห้องที่เช่าอยู่ร่วมกันมาจะสี่ปีแล้ว สุพิชชาอาบน้ำอยู่เธอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังแว่วๆจึงรีบอาบน้ำอย่างรวดเรวเพราะมันดังถี่มากคนโทรคงจะมีธุระด่วนจริงๆ “มาแล้วใครกันนะ อ้าว ยัยวดีนี่นามีอะไรนะถึงโทรมาตั้งหลายรอบน่ะ” พิชชาบ่นออกมาจากห้องน้ำและรีบโทรหาน้องสาวทันที วดี หรือ สุภาวดี พรไพศาล ลูกสาวคนเล็กของ คุณชนัต กับ คุณสุภัสสร พรไพศาล เจ้าของกิจการอู่ต่อรถทัวร์รายใหญ่ในภาคอีสานทั้งหมดและบริษัทเดินนรถสายอีสานฐานะร่ำรวยเป็นเศรษฐีถึงแม้ไม่ติดอันดับแต่ทรัพย์สินหลักพันล้านขึ้นทั้งคู่มีลูกสาวสามคนแต่ไม่มีลูกชายสืบสกุลเลยสักคน คนโต  ศรา หรือ สุพิศรา หลังเรียนจบเธอก็เข้าไปช่วยงานคุณพ่อเต็มตัว คนรอง พิชชา หรือ สุพิชชา เพิ่งเรียนจบ คนเล็กสุด วดี หรือ สุภาวดี พึ่งเรียนอยู่ปีสองที่เชียงใหม่และตอนนี้เธอก็ถูกไข้หวัดเล่นงานอยู่ “ว่าไงยัยวดีเป็นอะไรหรือเปล่า” สุพิชชาโทรหาน้องสาวและถามน้องสาว “วดีเป็นไข้ค่ะ นอนอยู่โรงพยาบาลแต่ไม่อยากโทรบอกพ่อกับแม่ค่ะกลัวท่านจะป็นห่วงเลยโทรมาหาพี่พิชชาค่ะ” สุภาวดีตอบพี่สาวด้วยเสียงแหบแห้งเพระเจ็บคอ “แล้วทำไมเพิ่งโทรมาบอกพี่ล่ะ เดี๋ยวพี่จะจ้างพยาบาลพิเศษเฝ้าก่อนนะแล้วพรุ่งนี้เช้าพี่จะไปเที่ยวบินเช้าเลยนะ” สุพิชชาบอกน้องสาวอย่างเป็นห่วง “ค่ะพี่พิชชา ขอบคุณนะคะ” สุภาวดีขอบคุณพี่สาวที่ดูแลเธอมาตลอดตั้งแต่มาเรียนที่เชียงใหม่เพราะพ่อแม่และพี่สาวคนโตก็ยุ่งกับธุรกิจที่บ้านแต่ถ้าว่างก็จะมาหาเธอหรือไม่เธอก็กลับบ้าน “จ้า,งั้นวดีพักผ่อนนะจ้ะพรุ่งนี้พี่จะไปแต่เช้าเลยจ้ะ” สุพิชชาวางสายจากน้องสาวแล้วเธอก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินออกจากห้องไปเคาะประตูห้องเพื่อนรัก “ก๊อก ก๊อก"  "พัชรนอนหรือยังจ้ะ” สุพิชชาเรียกเพื่อนที่ไม่รู้ว่าจะนอนไปแล้วหรือยัง “ยังจ้ะ พิชชาเข้ามาเลยประตูไม่ได้ล็อค” กนกพัชรตะโกนตอบเพื่อนเพราะเธอและสุพิชชาไม่เคยล็อคประตูห้องแต่จะใช้วิธีเคาะประตูกัน “พรุ่งนี้พิชชาคงไม่ได้ไปส่งพัชรสมัครงานแล้วล่ะ ยัยวดีป่วยนอนอยู่โรงพยาบาลที่เชียงใหม่น่ะ” สุพิชชาบอกเพื่อนที่ทำหน้าตกใจ “เฮ้ย,แล้วน้องวดีเป็นยังไงบ้างอ่ะ พัชรไปกับแกดีกว่ามั้ย” กนกพัชรถามเพื่อนที่หน้าตาเคร่งเครียดเพราะเป็นห่วงน้องสาว “ไม่เป็นไรหรอกพัชร ขอบใจแกมากพิชชาไปคนเดียวได้แกจะได้ไปสมัครงานไงล่ะ” สุพิชชาไม่อยากให้เพื่อนพลาดโอกาสที่จะไปสมัครงานที่บริษทเดียวกับเธอ “งั้นถ้ามีอะไรก็โทรบอกพัชรนะ แกไปพักเถอะเดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นเช้าอีกน่ะ” กนกพัชรบอกเพื่อนให้ไปนอนพักผ่อนก่อนที่จะเดินทางในวันพรุ่งนี้ “ขอให้แกโชคดีได้งานนะพัชร ขอบใจอีกครั้งนะเพื่อนรัก ฝันดีจ้ะ” สุพิชชาบอกเพื่อนและเดินกลับไปเข้าห้องเธอเก็บของใส่กระเป๋าเป้ใบเล็กที่เธอใช้สำหรับเดินทางสองสามวันเมื่อเสร็จสุพิชชาก็รีบเข้านอนทันทีเพราะเธอต้องตื่นแต่เช้าไปสนามบิน สุพิชชาตื่นแต่เช้าและเดินทางไปสนามบินเพื่อขึ้นเครื่องไปเชียงใหม่เพราะเป็นห่วงน้องสาวถึงแม้คุณพยาบาลเฝ้าไข้จะบอกว่าอาการดีขึ้นแล้วแต่เธอก็ยังเป็นห่วงน้องสาวอยู่ดีพอถึงสนามบินเชียงใหม่สุพิชชาก้นั่งแท๊กซี่ไปที่โรงพยาบาลชื่อดังของเชียงใหม่ทันที “เป็นไงบ้างยัยวดี” สุพิชชาเคาะประตูและเปิดเข้าไปแล้วถามน้องสาวทันทีเมื่อเห็นเธอ “ดีขึ้นบ้างแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะพี่พิชชา” สุภาวดีน้ำตาคลอเบ้าตอนนี่ร่างกายเธออ่อนแอเพราะไข้หวัดใหญ่เล่นงานจึงทำให้อยากให้คนในครอบครัวมาดูแลมากกว่าพยาบาล “นอนพักก่อนนะพี่จะอยู่ดูแลเราจนหายเลยน่ายัยขี้แย” สุพิชชาบอกน้องสาวเพราะเธอรู้ว่าน้องสาวคนเล็กขี้อ้อนยิ่งเวลาเจ็บป่วยก็ชอบอ้อนพ่อแม่และพี่ๆตลอด “ก็วดีเหงานี่คะคิดถึงคุณพ่อคุณแม่พี่ศรานี่คะ” น้องสาวคนเล็กยังไม่เลิกอ้อนพี่สาวที่นั่งยิ้มอยู่ข้างเตียง “งั้นก็รีบหายเราจะได้กลับบ้านพร้อมกันดีมั้ยล่ะ” สุพิชชาบอกน้องสาวที่นอนมองเธอตาแป๋ว “ดีคะ พี่พิชชากินข้าวหรือยังคะ” สุภาวดีถามพี่สาวที่มาหาเธอแต่เช้า “พี่ยังไม่หิวจ้ะ เดี๋ยวพี่ค่อยไปหากาแฟดื่มจ้ะ” สุพิชชาบอกน้องสาวยกมือลูบศรีษะน้องสาวอย่างรักใคร่แล้วเธอจะบอกพี่สาวดีมั้ยเนี่ยถ้ารู้ทีหลังเดี๋ยวก็จะงอนเธอกับน้องสาวอีก “พี่พิชชาไปหาอะไรกินก่อนเถอะมีพี่พยาบาลก็อยู่ทั้งคนค่ะ” วดีบอกพี่สาวเพราะเธอกินยาเข้าไปแล้วเดี๋ยวก็คงง่วงนอนแล้วล่ะ “เอาอย่างนั้นก็ได้จ้ะ งั้นฝากคุณพยาบาลด้วยนะคะ” สุพิชชาเห็นน้องสาวตาปรือเหมือนจะง่วงเธอไปหากาแฟดื่มก่อนดีกว่าถ้าเธอยังนั่งเฝ้าอยู่น้องสาวก็จะไม่ยอมนอน หญิงสาวปล่อยมือน้องสาวและลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องพักฟื้นของน้องสาวและโทรหาพี่สาว “หวัดดีค่ะพี่ศรา ยุ่งอยู่หรือเปล่าคะ” สุพิชชาถามพี่สาวกลัวว่าจะรบกวนเวลาทำงาน “ไม่ยุ่งจ้ะ พี่เพิ่งจะไปคุยกับป๊าเสร็จพิชชามีอะไรหรือเปล่าถึงโทรหาพี่น่ะ” สุพิศราถามน้องสาวก็สุพิชชากับสุภาวดีจะไม่โทรหาเธอในตอนกลางวันเพราะสามพี่น้องชอบประชุมสายคุยกันตอนสามทุ่มทุกอาทิตย์หรือใครไม่ว่างก็สลับกันคุย “ตอนนี้พิชชาอยู่เชียงใหม่ค่ะ ยัยวดีไม่สบายเป็นไข้หวัดแต่ไม่ต้องเป็นห่วงตอนนี้ดีขึ้นแล้วค่ะ” สุพิชชาบอกพี่สาวที่เงียบฟังเธอพูดจนจบ “งั้นพี่จะไปเชียงใหม่แต่ต้องบอกป๊ากับม๊าก่อน ดูสิไม่สบายก็ไม่โทรมาบอกพี่เลยน่าตีจริงๆเลยยัยวดีนี่”สุพิศราพูดกับน้องสาวคนกลางที่รู้ว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับน้องๆพี่สาวคนโตไม่เคยนิ่งดูดายต้องตามไปดูให้แน่ใจว่าสบายดีจริง “ยัยวดีกลัวป๊ากับม๊าตกใจก็เลยไม่บอกน่ะสิคะ แล้วพี่ศราจะมาเมื่อไหร่คะ” สุพิชชาบอกเหตุผลของน้องสาวคนเล็กให้พี่สาวรู้ “น่าจะพรุ่งนี้เช้า วันนี้พี่ขอเคลียงานก่อนจ้ะ” สุพิศราตอบน้องสาวและวางสายไปเพื่อรีบทำงานให้เสร็จก่อนที่เธอจะไปเยี่ยมน้องสาวคนเล็กที่ชียงใหม่ “ไปหากาแฟดื่มดีกว่าเรา” สุพิชชาพูดกับตัวเองเบาๆสายตาก็มองหาร้านกาแฟที่เธอเห็นตอนเดินเข้ามาเมื่อเจอก็เดินตรงไปทันทีเพราะตอนนี้ร่างกายของเธอต้องการกาแฟเพื่อความสดชื่นเพราะเมื่อเช้าเธอตื่นตั้งแต่ตีห้ารีบอาบน้ำแต่งตัวขึ้นแท๊กซี่ไปสนามบินดอนเมือง ที่กรุงเทพฯ “คุณแม่คะ หนูลียังไม่อยากแต่งงานกับพี่ติณณ์ค่ะ อีกอย่างเราไม่ได้รักกันนะคะ” ปนาลีปฏิเสธแม่ของเธอที่จะจับคู่เธอกับลูกชายของเพื่อนรักที่อยากเป็นดองกันจึงคิดจับลูกสาวลูกชายคุมถุงชนซะเลย “ไม่ได้หรอกลูกผู้ใหญ่คุยกันแล้วถ้าไม่ทำตามคำพูดก็จะเสียกันทุกฝ่ายนะลูก” คุณปนิดาคุณแม่ที่แสนจะใจดีของปนาลีบอกลูกสาวที่ทำหน้าไม่พอใจและไม่ยอมรับ “ทำไมคุณแม่ไม่ถามหนูลีก่อนละคะ ป่านนี้พี่ติณณ์คงมีแฟนแล้วมั้งคะคุณแม่ก็บอกคุณป้าวิสิว่าหนูลียังเด็กเพิ่งเรียนจบเองนะคะ” ปนาลียืนยันว่าจะไม่แต่งงานกับติณณ์ซึ่งเขาก็คงไม่ต่างจากเธอหรอกเพราะรู้จักสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กๆเพิ่งจะมาห่างตอนที่ติณณ์ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศนี่เองแต่ยังติดต่อกันอยู่ไม่ขาดแต่มาช่วงปีหลังนี้ต่างคนต่างยุ่งก็เลยไม่ได้ติดต่อกันสงสัยต้องรีบคุยกับพี่ติณณ์ก่อนแล้วล่ะ “ก็แม่คุยกันไว้ตั้งแต่หนูไม่เกิดแล้วนะคะลูก หนูลีจะให้พ่อกับแม่เป็นคนผิดคำพูดและไม่มีสัจจะเหรอจ้ะ” คุณปนิดาพูดหว่านล้อมลูกสาวเพื่อให้เข้าใจพวกท่าน “งั้นให้หนูลีคุยกับพี่ติณณ์ก่อนแล้วหนูลีจะให้คำตอบคุณแม่ค่ะ” ปนาลีบอกแม่ของเธอแล้วลุกขึ้นเดินออกไปอย่างคิดหนักเธอจะต้องหาทางออกให้เร็วที่สุด แม่นะแม่ทำไมไปรับปากอย่างนั้นนะมันโบราณมากเลยที่จับลูกคลุมถุงชนเนี่ย แล้วปนาลีนึกถึงผู้ชายหน้าหล่อดุแต่เวลายิ้มนี่ทำเอาเธอใจเต้นรัวทีเดียวและเขาเป็นเพื่อนของพี่ติณณ์ที่ชอบมองเธอแปลกๆแต่พอเธอมองตอบเขาก็หลบสายตาทุกครั้งตอนนี้เขาคงมีแฟนแล้วละมั้งคงไม่สนใจเด็กกระโปโลอย่างเธอหรอก ปนาลียกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหากนกพัชร “ดียัยพัชร แกทำอะไรอยู่อ่ะ.” ปนาลีถามเพื่อน “ฉันมาสมัครงานน่ะสิ แกถามทำไมหรือหนูลี” กนกพัชรตอบเพื่อนรักแล้วถามกลับ “อ้าว, แล้วแกไปสมัครที่ไหนล่ะล่ะยัยยพัชร” ปนาลีอยากรู้ว่าเพื่อไปสมัครงานที่ไหนเพราะเธอรู้ว่าที่บ้านของเพื่อนทั้งสองนั้นมีกิจการใหญ่โตแต่ไม่มีใครอยากทำงานที่บ้านของตัวเองกันสักคนรวมทั้งเธอด้วย “วาย แอนด์ เอส ไงล่ะ ยัยพิชชาก็สมัครที่นี่เหมือนกันนะ” กนกพัชรบอกเพื่อนรักเผื่ออยากมาทำด้วยกันเพราะพวกเธอเคยฝึกงานที่นี่ทำให้ผู้บริหารให้โอกาสพวกเธอได้ร่วมงานกับบริษัทขอแค่มายื่นใบสมัครเท่านั้นก็จะเป็นพนักงานของ วาย แอนด์ เอส ทันทีโดยไม่ต้องสอบสัมภาษณ์ “จริงดิ ดีจังพวกแกได้งานทำกันแล้วแต่หนูลียังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยแม่จะให้แต่งงานอ่ะ” หนูลีบอกกนกพัชรอย่างเซ็งที่ถูกบังคับทั้งที่ผ่านมาแม่ก็ตามใจเธอมาตลอดนี่นา “จริงเหรอหนูลี ดีสิแกจะมีคนเลี้ยงสบายไปเลยไม่ต้องทำงานให้เหนื่อยไงจ้ะ” กนกพัชรบอกเพื่อนติดตลก “ดีบ้านแกเหรอยัยพัชรบ้า พวกเราเพิ่งเรียนจบกันนะเป็นแกจะแต่งไหมเล่า” ปนาลีถามเพื่อนรักว่าจะคิดเหมือนเธอไหม “เป็นพัชรก็ไม่แต่ง ถ้าอายุสามสิบเมื่อไหร่พัชรจะแต่งถ้าหาสามีได้นะ คิกคิกๆๆ..” กนกพัชรตอบเพื่อนแล้วหัวเราะเธอไม่อยากให้เพื่อนคิดมาก “นั่นไงแกก็คิดเหมือนหนูลีเลยนี่ เดี๋ยวไปเจอกันที่คอนโดแกนะจะได้ช่วยหนูลีคิดว่าจะทำอย่างไรดี” ปนาลีบอกเพื่อนจะได้ช่วยกันคิดว่าเธอจะทำอย่างไรดี “ได้เดี๋ยวเจอกัน อ่อ, พัชรลืมบอกไปยัยพิชชาไม่อยู่นะไปเชียงใหม่น้องวดีไม่สบายน่ะ” กนกพัชรบอกเพื่อน “อ้าว,ไม่เห็นบอกหนูลีเลย แล้วน้องวดีเป็นยังไงบ้าง” “เป็นไข้หวัดน่ะ แต่ตอนนี้ดีแล้วอีกสองสามวันคงออกจากโรงพยาบาลได้น่ะ” กนกพัชรตอบปนาลีที่ถามถึงน้องสาวของเพื่อนอย่างเป็นห่วงเพราะต่างคุ้นเคยสนิทสนมกัน “เราไปหายัยพิชชาที่เชียงใหม่กันมั้ยพัชร” ปนาลีชวนกนกพัชรไปเยี่ยมน้องสาวของเพื่อนรักของพวกเธอ “ตกลง,พัชรสมัครงานเสร็จแล้วพรุ่งนี้เราไปเชียงใหม่กันนะ พัชรจะได้โทรบอกยัยพิชชา” กนกพัชรตกลงทันที “งั้นหนูลีเก็บกระเป๋าไปนอนที่คอนโดแกละกันพรุ่งนี้เช้าเราก็ไปกันเลย ตามนี้นะพัชร” หนูลีบอกเพื่อนแล้ววางสายเพื่อไปบอกแม่ของเธอก่อนว่าจะไปเชียงใหม่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD