ผมจะยอมตัดใจปล่อยเธอไปก่อนแม้จะไม่ค่อยเต็มใจ ไม่สิ! เรียกว่าขัดใจมากๆเลยต่างหาก แต่ไม่เป็นไรเพราะตราบใดที่เธอยังอยู่ที่นี่ผมก็ยังมีโอกาสตลอดอยู่ที่ว่าผมอยากได้เมื่อไหร่ แค่นั้น
“แม่ง! แข็งโด่ขนาดนี้จะเอาลงยังไงวะ?”
เสียงสบทในลำคอ ก้มมองส่วนที่ชูตั้งดันผ้าขนหนูออกมาจนเห็นชัด ก่อนชายตัวโตจะดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ จัดการรีดพิษงูเห่าที่กำลังแผ่ชู้คอแม่เบี้ยให้สงบลง
เวลาผ่านไปไม่นาน ชายตัวโตก็เดินลงมาจากบ้านด้วยใบหน้าอมยิ้มก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าของแทนไท ที่ยืนเปิดประตูรถรอ
“วันนี้มึงวิ่งตามรถ”
“ห๊ะ! นะ นายพูดเล่นใช่ไหมครับ วะ วิ่งตามรถไม่ไหวมั้งครับนาย”
“เรื่องของมึง ใครใช้ให้มึงเสือกไม่เข้าเรื่อง” สิ้นคำ ชายตัวโตก็แทรกตัวเข้าไปนั่งในรถ ปล่อยให้แทนไทยืนคอตกมองด้วยสายตาระห้อย
รถหรูค่อยๆถูกขับเคลื่อนออกจากบ้านหลังใหญ่ช้าๆ โดยด้านหลังมีชายตัวผอมสูงวิ่งตามมาติดๆ
“จะปล่อยให้วิ่งตามไปจนถึงโกดังจริงๆเหรอครับนาย”
“หึ สมน้ำหน้ามัน ชอบขวางความสุขกูดีนัก ขับออกไปก่อนถึงหน้าบ้านค่อยจอดรอมัน”
ผมสั่งให้ลูกน้องขับรถออกมาจอดรอหน้าประตู เพื่อเป็นการลงโทษคนที่ทำให้ผมต้องเมื่อยมือในรอบหลายสิบปี ถึงไม่ได้รู้สึกโกรธแต่ก็ทำเพื่อความสะใจสนุกๆเท่านั้น
“แฮ่ก ๆ แฮ่ก ๆ ขอบ คุณครับนาย” เสียงหายใจหอบ กล่าวขอบคุณเจ้านายที่นั่งรออยู่ในรถ แม้จะบอกว่าแค่หน้าบ้านแต่ด้วยพื้นขนาดใหญ่ทำให้ระยะทางจากตัวบ้านกับประตูใหญ่อยู่ไกลกันมาก ดังนั้นการวิ่งตามรถออกมาจึงไม่ใช่เรื่องสนุกอย่างที่หลายคนคิด
“หอบเป็นหมาเลยนะมึง ครั้งนี้ถือว่าเป็นการสั่งสอนที่ชอบกวนตีนกู”
“โธ่ นายครับ แฮ่ก ๆ ผะ ผมกลัวนายไปสายเลยต้องขึ้นไปตามเอง” แทนไทหันกลับมาแก้ตัว มองหน้าชายตัวโตที่นั่งอยู่เบาะหลังด้วยความสำนึกผิด
“เหรอ? ถ้ากูเชื่อมึงกูคงเป็นเจ้านายมึงไม่ได้หรอก พรีมเป็นของกู ห้ามพวกมึงตัวไหนแตะเด็กกูเด็ดขาด ไม่งั้นกูเอาตาย”
“พวกผมไม่กล้าหรอกครับ ใช่ไหมวะไอ้แทน” ลูกน้องที่เป็นคนขับรีบปฏิเสธพร้อมเหลือบไปมองแทนไทที่นั่งอยู่ข้างๆเพื่อสนับสนุนคำพูดของตน
“จริงครับ พวกผมเห็นน้องพรีมเป็นแค่น้องสาว ไม่มีใครกล้าแตะหรอกครับ”
“รู้แบบนั้นก็ดี กูจะได้ไม่ต้องพูดเยอะ”
ณ บ่อนการพนันใจกลางเมือง
ผู้คนพลุกพล่าน เสียงหัวเราะพูดคุยดังอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ กลิ่นบุหรี่ แอลกอฮอร์คละคลุ้ง สาวสวยนุ่งผ้าน้อยชิ้นเดินไปมา การละเล่นหลากหลายแบบแตกต่างกันในแต่ละโต๊ะให้ผู้ที่เข้ามา ได้เลือกสรรค์เล่นตามความต้องการ
ประตูเหล็กบานใหญ่เปิดกว้าง กลุ่มชายฉกรรจ์ร่างกำยำเดินเข้ามา บรรยากาศภายในห้องรูปแบบของสถานแตกต่างจากด้านนอกราวกับเป็นคนละโลก ห้องโถงกว้างเพดานสูงพื้นที่ปิดไร้หน้าต่างทีเพียงผนังดำมืดพร้อมกล้องวงจรนับร้อยคอยสอดส่องจับตาดูพฤติกรรมของคนที่เข้ามารับบริการ
หลอดไฟระย้าห้อยลงมาจากเพดานสูงส่องสว่างลงมาตามจุดที่โต๊ะเปิดบริการ พื้นห้องเรืองแสงสีเหลืองอ่อนพอให้มองเห็นทางเดินเพียงเท่านั้น
ภายในสถานอักโคจรถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับ ทั้งนักเที่ยวทั่วไป และลูกค้าเจ้าประจำ ตั้งแต่ลูกค้าระดับย่อมมีแค่เงินติดกระเป๋า ไปจนถึงระดับนักธุรกิจดำขาว ผู้มีชื่อเสียงในแวดวงสังคม เงินทองล้นกระเป๋าจนต้องหาทางละบายออก ไม่ว่าลูกค้าแบบไหนสถานที่แห่งนี้ก็สามารถตอบทุกโจทน์ความต้องการได้ทั้งสิ้น แต่สิ่งเดียวที่ทุกคนควรรู้และเข้าใจก่อนก้าวเข้ามา นั่นก็คือ กฎ! ของที่แห่งนี่
“สวัสดีครับนาย เสี่ยหมูมารอนายตั้งแต่บ่ายแล้วครับ”
ร่างใหญ่ที่เพิ่งเดินเข้ามาหยุดนิ่งเหลือบขึ้นไปมองห้องกระจกชั้นสองทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่สามารถมองเห็น แต่ความหมายความน่าเบื่อของคนที่รออยู่ข้างในห้องนั้น
“มันมาทำไม?”
“เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เสียที่บ่อนเราไปเกือบยี่สิบล้าน แล้วเมื่อวานเสียอีกห้าสิบล้าน ผมคิดว่าน่าจะอยากกู้เพิ่มครับ” แทนไทกระซิบพร้อมกับยื่นข้อมูลบัญชีให้ดู
“หึ พวกสวะ!” เสียงเค้นขำในลำคอ มุมปากกระตุกยิ้มก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องทำงาน
แอ๊ด~
เสียงประตูดังฝืดลากยาว ทำให้ชายอ้วนลงพุงที่กำลังนั่งหลับสะดุ้งตื่น พร้อมเอามือเช็ดน้ำลายที่ไหลอาบลงมาจนเปื้อนสูทสีเข้ม ก่อนจะหยิบแว่นตาหนาขึ้นมาใส่ให้เรียบร้อย
“เฮียเต้ เฮียเต้มาแล้ว” เสียงทุ้มเรียกชื่อ คนที่เพิ่งเข้ามาในห้องพร้อมวิ่งปรี่เข้าไปหาเหมือนเด็กน้อยวิ่งหาแม่
แกร็ก!
ตึก ตึก กึก!
ฝีเท้าหนักหยุดชะงัก ดวงตาตี๋เบิกโพรงจ้องปลายกระบอกสีดำเมี่ยม จ่ออยู่กลางหว่างคิ้ว เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า ก่อนชายร่างท้วมจะฝืนกลืนน้ำลายเหนียวลงคอด้วยความยากลำบาก
“จุ๊ๆ อย่าเสี่ยมารยาทกับเสี่ยหมูแบบนั้นสิ” เสียงนุ่มลึก บอกแทนไทที่ขึ้นไกรอให้เก็บอาวุธ ใบหน้าคมคายยิ้มหวานมองหน้าแขกที่มารออย่างเป็นมิตร
“ขอโทษครับเสี่ยผมชินมือไปหน่อย”
“ไม่เป็นไร อาแทน อั๊วเข้าใจ ไม่ถือๆ”
แทนไทเก็บอาวุธเข้าที่ ก่อนจะเดินถอยกลับไปอยุ่ด้านหลังของผู้เป็นนายเช่นเดิม
“กลับไปนั่งก่อนเถอะครับเสี่ย เห็นเด็กๆบอกว่าเสี่ยมารอผมตั้งแต่บ่าย แล้วทำไมไม่ให้เด็กๆโทรไปบอกผมละครับ”
เสี่ยหมูนั่งลงบนโซฟา เกาหัวตัวเองเหมือนกำลังคิดทบทวนความจำ ก่อนจะหันมายิ้มให้กับชายตัวโตที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“อั๊วบอกแล้วนะเฮีย บอกตั้งแต่มาถึงเลยด้วย”
“ไอ้แทน มึงไปจัดการสิใครเป็นคนดูแลเสี่ยหมู ไม่ต้องถึงตายนะกูขี้เกียจทำศพ”
“ครับนาย”
“อั้ยยะ! ไม่เป็นไรๆ อั๊วคงพูดไม่ชัดเองอย่าไปโทษเด็กๆมันเลยครับ”
แทนไทที่กำลังยืนหันหลังให้ชายทั้งสองยกยิ้ม นิ่งฟังบทสนทนาอยู่เงียบๆไม่ได้พูดอะไร
“จะดีเหรอครับเสี่ย? ไอ้เด็กพวกนี้มันต้องโดนสั่งสอนซะบ้างถึงจะจำ”
“อย่าเลยๆ เฮียเต้เป็นคนใจดี อั๊วก็ไม่ใช่คนใจร้าย เรื่องแค่นี้อย่าไปคิดมากอั๊วไม่ถือสาหรอก”
เสี่ยหมูแขกยิ้มกว้างดวงตาตคีบเล็กบีบแคบแทบมองไม่เห็น
“หึ งั้นก็ดี แล้ววันนี้เสี่ยหมูมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เห้อๆ แหมๆ เฮียก็น่าจะรู้ว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
ใบหน้าคมเรียบนิ่ง สายตาเหม่อมองไร้จุดโฟกัส ก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอย่างใจเย็น
“แต่ตอนนี้ยอดของเสี่ยก็สูงอยู่นะครับ เท่าที่ประเมินคร่าวๆ ลำพังบริษัทกับร้านเพชรเล็กๆของเสี่ยตอนนี้ก็น่าจะไม่พอแล้ว”
เสี่ยหมูยิ้มแห้ง ใบหน้าขาวซีดทันทีที่ว่าอีกฝ่ายรู้ทัน
“เสี่ยหมู ผมจำได้ว่ามีน้องสาวอยู่คนนึงไม่ใช่เหรอ?” คำพูดลอย ๆ ของชายตัวโตทำให้เสี่ยหมูถึงกับนิ่งอึ้ง เขารู้ดีว่าสิ่งที่ชายตัวโตพูดหมายถึงอะไร
“น้องอั๊ว อาหมวยมันก็มีแฟนแล้ว เฮียอย่าไปยุ่งกับมันเลย”
“ฮ่า ๆ เสี่ย ผมไม่สนหรอกว่าอาหมวยของเสี่ยจะมีผัวหรือมีแฟน เพราะถึงเสี่ยยกใส่พานมาถวายผมถึงที่นี่ หนี้สินที่เสี่ยกู้ไปมันก็ไม่ได้ลดลงหรอก”
“ทำไมเฮียพูดแบบนี้ละ น้องอั๊วมันไม่ดีตรงไหน ทำไมถึงดูถูกกันขนาดนี้?”
หนุ่มร่างกำยำลุกขึ้นยืน หางตามองชายตัวอ้วนที่กำลังทำหน้ามพอใจ
“อันที่จริง ผมเอามันจนเบื่อแล้วต่างหาก”
คำพูดพร้อมสายตาเหยียดหยามทำให้เสี่ยหมูถึงกับหน้าแดงก่ำ ทั้งอับอายและโกรธแค้น แต่เพราะสิ้นหนทาง หากฝืนจะแข็งสู้ก็กลัวว่าตนจะไม่เหลือชีวิตกลับออกไปจากบ่อนแห่งนี้ได้อีก