บทที่ 4 (1/2) : ยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด (1)

1231 Words
ธารดาราที่ยังคงตกใจ เพราะอยู่ดี ๆ เธอก็ได้รับคำตอบในเรื่องที่ตนเองสงสัยมาโดยตลอดอย่างไม่คาดคิด แต่เมื่อเธอได้ยินคำถามและได้เห็นสายตาที่แสดงออกว่าเจ้าตัวเริ่มไม่พอใจแล้วจากเตชินท์ เธอก็รีบดึงสติแล้วตอบคำถามเด็กหนุ่มกลับไปว่า “เปล่าค่ะ พี่ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น! แต่ทำไมเตถึงคิดว่า...พี่จะต้องคิดแบบนั้นกับเตด้วยล่ะคะ?” “ก็อาจจะเป็นเพราะผมหน้าหวาน แล้วคนที่เพิ่งรู้จักกับผมส่วนใหญ่ก็มักจะคิด และมองผมว่าเป็นแบบนั้นด้วย ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้คนภายนอกคิดแบบนั้นกับผม...มันก็อาจจะมาจากตัวผมเอง เพราะที่ผ่านมาผมยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคนมั้งครับ” “แล้วทำไมเตถึงยังไม่เคยมีแฟนเลยล่ะคะ?” ถามจบ ธารดาราก็เห็นความสั่นไหวในแววตาของเตชินท์ เธอจึงรีบพูดต่อทันทีว่า “เออ...ถ้าไม่สะดวกที่จะตอบ เตไม่ต้องตอบพี่ก็ได้นะคะ” “เพราะผมมีคนที่ตัวเองรักอยู่ในใจแล้วครับ แต่ที่ผ่านมาผมไม่กล้าเดินเข้าไปสารภาพความรู้สึกที่ตัวเองมีกับเธอ เนื่องจากเธอคนนั้นเคยบอกกับผมว่า...เธอชอบคนที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่า แล้วในสายตาของเธอ...ผมก็คงเป็นได้แค่เพียงน้องชายคนหนึ่งเท่านั้นน่ะครับ โดยที่ผ่านมาผมเคยคิดเอาไว้ว่าจะรอให้ตัวเองเรียนจบก่อน จากนั้นผมก็จะรีบเข้าไปเรียนรู้งานในบริษัทจากแม่ ซึ่งผมก็เชื่อว่าถ้าผมมุ่งมั่นและตั้งใจพอ ไม่เกินสองปีผมก็น่าจะสามารถก้าวขึ้นไปเป็นหนึ่งในคณะผู้บริหารของบริษัทได้ แล้วในวันที่ผมประสบความสำเร็จ ผมก็จะเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าเธอคนนั้น แล้วบอกกับเธอว่า...ผมรักคุณ” “ก็ถือว่าเป็นความคิดที่ดีนะคะ แต่พี่ว่า....” “แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนความคิดแล้วล่ะครับ” “เปลี่ยน...เปลี่ยนแล้วหรือคะ?” ถามจบ ธารดาราก็รีบเบือนหน้าหนี เนื่องจากสายตาของเตชินท์ที่ใช้มองมาที่เธอเวลานี้ มันทำให้เธอรู้สึกสั่นไหวขึ้นมาในใจแปลก ๆ “ครับ อาจเป็นเพราะผมเริ่มโตขึ้น มันจึงทำความคิดรวมไปถึงการมองโลกของผมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ผมก็เลยไม่อยากคอยเฝ้ามองเธอคนนั้นอยู่ห่าง ๆ เหมือนที่ผ่านมาอีกแล้วล่ะครับ ตอนนี้ผมก็เลย...อยากจะเดินเข้าไปบอกความรู้สึกที่ผมมีกับเธอ อยากเข้าไปขอเธอเป็นแฟน เพราะผมอยากเปลี่ยนสถานะไปเป็นคนรักของเธอ และผมก็อยากจะเป็นคนที่เธอรักด้วยครับ” “อืม...พี่เห็นด้วยกับความคิดของเตในตอนนี้นะคะ จะว่าอย่างไรดีล่ะ...หลังจากผ่านวิกฤตโรคระบาดมา การมองโลกของพี่มันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเหมือนกันค่ะ พี่เริ่มมองว่าทุกอย่างบนโลกใบนี้ มันไม่มีอะไรที่แน่นอนเลยค่ะ แล้วยิ่งในตอนนี้เธอคนนั้นของเต ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกำลังพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เหมาะสมกับเธออยู่ หากมองตามหลักความเป็นจริงไม่แน่ว่า...ในวันที่เตประสบความสำเร็จ แล้วเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าเธอคนนั้น ในช่วงเวลานั้นเธอก็อาจจะแต่งงานมีสามีและมีลูกไปแล้วก็ได้นะคะ” “ดังนั้นพี่จึงไม่เห็นด้วยกับการที่เตปล่อยเวลาให้มันผ่านเลยไปแบบสูญเปล่า จนสุดท้ายเตก็อาจจะต้องไปเผชิญหน้ากับคำว่า ‘สายเกินไป’หรือไม่ก็คำว่า ‘หากรู้แบบนี้’ซึ่งหากถึงวันที่เตต้องเผชิญหน้ากับสองคำนี้ขึ้นมาจริง ๆ ในวันนั้นเตก็จะรู้สึกเสียดายเวลาที่มันผ่านมา เพราะเตไม่อาจจะย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้วค่ะ และที่สำคัญ...การที่เราได้บอกความรู้สึกกับคนที่เรารัก โอกาสที่เราจะได้คบหากับคนคนนั้นมีถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยนะคะ แต่ถ้าหากเราไม่กล้าแม้แต่จะบอกความรู้สึกของตัวเองออกไป ก็เท่ากับว่าเราหมดโอกาสที่จะได้คบหากับคนคนนั้นทันทีเลยค่ะ” พูดจบ ธารดาราก็ส่งยิ้มเพื่อให้กำลังใจเด็กหนุ่มตรงหน้า “เอาเข้าจริงผมว่า...ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วล่ะ ทำไมวันนั้นผมถึงไม่โกรธไอ้คิม แต่...พี่น้ำหวานครับ ก็อย่างที่บอกกับพี่ไปเมื่อครู่ว่าผมยังไม่เคยมีแฟน ผมก็เลยไม่รู้ว่า...ผมควรจะต้องเข้าหาเธออย่างไร? แล้วถ้าหากผมกับเธอคนนั้นตกลงคบหาเป็นแฟนกันขึ้นมา...หลังจากนั้นผมจะต้องทำตัวอย่างไร? หรือผมจะทำอะไรกับเธอต่อ... คือ...ผมเคยได้ยินจากเพื่อนในกลุ่มมันพูดกันน่ะครับว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะรอให้ผู้ชายเป็นฝ่ายเริ่มทำทุกอย่างก่อนเสมอ” “เออ...” ธารดาราถึงกับพูดอะไรต่อไม่ออก เวลานี้เธอก็เริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาที่ใบหน้าและใบหูของตัวเองแล้ว เธอจึงรีบก้มหน้าลงแล้วพยายามรวบรวมสติด้วยการดึงแบบทดสอบที่อยู่ตรงหน้าของเด็กหนุ่มกลับมาตรวจคำตอบ “พี่น้ำหวานครับ ตอนนี้พี่มีแฟนหรือยังครับ?” “ยังค่ะ” “แล้วพี่เคยมีแฟนไหมครับ?” “เคยมีค่ะ” เป็นเพราะตอนนี้ธารดาราเพ่งความสนใจไปที่แบบทดสอบ เธอจึงไม่ทันได้เห็นความรู้สึกไม่พอใจที่ปรากฎขึ้นบนสีหน้าและดวงตาสีนิลของเด็กหนุ่มในชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่มันจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว “แล้วเวลาที่พี่น้ำหวานอยู่กับแฟนที่เคยคบหากัน! พวกพี่ทำอะไรกันบ้างหรือครับ? คือ...ผมหมายถึงพวกพี่เคยไปกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลงด้วยกันบ้างหรือเปล่าน่ะครับ” ธารดาราถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เพราะด้วยคำถามนี้ของเตชินท์ในประโยคแรก ๆ มันได้ทำให้ธารดาราเผลอคิดเตลิดไปไกล... “ก็มีไปกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง แล้วก็ไปร้องคาราโอเกะด้วยกันบ้างค่ะ” “แล้วพี่เคยจับมือกับแฟนไหมครับ?” “เคยค่ะ” “ผมก็เคยจับมือกับเธอคนนั้นด้วยนะครับ ตอนนั้นผมทั้งรู้สึกอบอุ่นหัวใจและรู้สึกดีมาก ๆ เลยล่ะครับ แล้วตอนที่พี่น้ำหวานจับมือกับแฟนที่เคยคบหากัน พี่รู้สึกอย่างไรบ้างหรือครับ?” “ก็...ดีค่ะ” ‘จริงหรือ?’ ธารดาราแอบก้มมองมือของตัวเอง “แล้วพี่เคยทำอย่างอื่นกับแฟนอีกไหมครับ? อย่างเช่น...จูบ พี่น้ำหวานเคยจูบกับแฟนที่เคยคบหากันบ้างไหมครับ?” ....................................................................... ผู้เขียนขอขอบคุณทุกยอดวิว ยอดกดหัวใจ ยอดกดติดตาม และทุกข้อความของผู้อ่านทุกท่านมาก ๆ นะคะ ทุกยอดคือกำลังใจที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆของผู้เขียนเลยค่ะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD