บทที่ 1 ค่าชีทเยอะจนไข่หวานเพลีย
ขวัญจิราตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อจัดเตรียมวัตถุดิบทำบัวลอยไว้ไปขายตอนบ่ายหลังเลิกเรียน
Rrrrrrrr
“ว่าไง”ขวัญจิรากรอกเสียงใส่ปลายสาย
“เสร็จยังไข่หวาน พวกฉันรออยู่ด้านล่าง”เสียงเพื่อนสนิทคนหนึ่งเอ่ยถาม
กลุ่มของเธอมีด้วยกันสามคน คนแรกคือลูกชุบ ชิรญา สาวสวยหน้าหวานซึ่งต่างกับนิสัยราวฟ้ากับเหว เธอเป็นที่รักของใครหลายๆคน ผู้คนต่างเข้าหาลูกชุบโดยเฉพาะหนุ่มๆ ไม่ว่าจะเป็นน้องปีหนึ่งที่เข้ามาใหม่ ยันลุงขายลูกชิ้นหน้ามหาลัยก็ล้วนแต่ตกอยู่ใต้เสน่ห์ของลูกชุบทั้งนั้น
“รีบหน่อยไข่หวานจะสายแล้วเดี๋ยวจิณณ์ชญาก็กินหัวอีกหรอก”ส่วนคนนี้ก็เพื่อนสนิทอีกคน เทียน หรือ เธียร หนุ่มหล่อ หน้าคมที่นิสัยจัญไรไม่เว้นแม้กระทั่งกับผีสาง เธียรสามารถมองเห็นผีได้ พ่อแม่เลยพาไปหาหมอดูสรุปได้ชื่อนี้มา เขาเป็นคนที่เรียนเก่งที่สุดในสายทั้งที่ไม่แตะหนังสือเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าแอบต้มกินหรือมีผีบอกกันแน่
“เสร็จแล้วกำลังลงไป”ขวัญจิราวิ่งออกจากห้องด้วยความเร่งรีบ ในปากมีขนมปังหนึ่งแผ่นที่เธอหยิบติดมือมาด้วย
ขวัญจิรากระโดดขึ้นรถบีเอ็มสีดำของชิรญาที่จอดอยู่ ไม่รู้ว่าเพื่อนคนนี้ทำงานอะไรทั้งที่ตอนแรกก็บอกเธอว่าบ้านจน ได้ทุนจามหาวิทยาลัยเรียนเหมือนกัน แต่หนึ่งปีที่ผ่านมาชิรญาก็ดูร่ำรวยขึ้น มีทั้งเสื้อผ้าแบรนด์หรูใส่ ไหนจะรถหรูคันนี้อีก ที่ไม่รู้ว่าขวัญจิราต้องขายบัวลอยไปอีกกี่ปีถึงจะรวยแบบนี้ได้
รถเคลื่อนตัวเข้ามหาวิทยาลัย เมื่อจอดสนิททั้งสามรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองของตึกทันที หวังว่าอาจารย์จิณณ์ชญาจอมโหดจะยังไม่เข้าสอน
“หยุดอยู่ตรงนั้นนักศึกษา”น้ำเสียงโหดไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเธอทั้งสามโดน ครั้งที่แล้วก็โดนทำความสะอาดห้องพักอาจารย์ครั้งนี้คงไม่โดนล้างห้องน้ำหรอกนะ
“ค่ะ//ครับ อาจารย์”ทั้งสามหันหน้าไปตอบอย่างพร้อมเพรียง
“สามคนเดิมอีกแล้วเหรอ”
“ที่ไหนคะ อาจารย์จำผิดแล้ว”
“ฉันจำได้ย่ะ”
“ผิดแล้วครับ พวกเราเพิ่งมาสายครั้งแรก”เธียรช่วยเสริมทัพอีกแรง
ขวัญจิรายืนนิ่งเงียบ เพราะเพื่อนสั่งปิดปากเขาไว้ เธอเป็นเด็กดีเกินจะโกหกได้ถ้าหากไม่จำเป็น
“ฉันไม่ได้แก่เลอะเลือนจนจำหน้าลูกศิษย์ของตัวเองไม่ได้หรอกนะ โดยเฉพาะพวกเธอสามคน สามสหายสายเสมอ”และนั่นคือจุดเริ่มต้นชื่อแก๊งของเราสามคน ที่ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งสายคณะ ไม่ว่าจะเดินผ่านไปทางไหนก็มีแต่คนเอ่ยทักไม่ว่างเว้น
“จิณณ์ชญาทำเราดังใหญ่แล้วไหมล่ะ”
“มึงก็ว่าไป”
“ค่าชีทอีกแล้วเหรอ อืออ… เดือนนี้ไข่หวานจะกินไข่ต้มแทนข้าวทั้งเดือนอยู่แล้ว”ระหว่างที่สองคนกำลังบริหารเสน่ห์ให้หนุ่มสาวที่เดินผ่านไปมาอยู่
ขวัญจิราที่เจอค่าชีทรอบใหม่เป็นต้องบ่น เธอเอาศีรษะทุบลงโต๊ะด้วยความหมดอาลัย เดือนนี้มันช่างโหดร้ายสำหรับเด็กทุนขายบัวลอยจนๆแบบเธอเสียจริง
“บ่นอะไรไข่หวาน ดูหนุ่มหล่อคนนั้นดิอย่างแจ่ม”
“ลูกชุบกับเทียนเลิกดูผู้ชายได้แล้ว มาดูนี่ เดือนนี้อาจารย์จิณณ์ชญาเล่นค่าชีทไปแล้วสองพันนี่ยังจะมีอีก ไข่หวานจะหมดตัวอยู่แล้ว”ขวัญจิรายังคงบ่นไม่หยุดปากผิดกับเพื่อนสองคนของเธอที่ยังคงทำหน้าไม่ทุกข์ร้อนอยู่แบบนั้น
“นี่ไข่หวานสนใจทำงานพิเศษป่ะ”
“งานอะไร”
“ดูฉันตอนนี้สิ ชีวิตสบายจะตาย ลำพังไข่หวานปั่นจักรยานขายบัวลอยจะพอยาไส้อะไร”
“แล้วมันงานอะไร ลูกชุบคงไม่คิดหลอกไข่หวานใช่ไหม”
“เพ้อเจ้ออะไรกันอยู่”ชายหนุ่มคนเดียวของกลุ่มอย่างเธียรทนเห็นเพื่อนสาวสองคนนั่งบ่นกันต่อไปไม่ไหวจึงเอ่ยขัด
“นี่ไข่หวานมาเป็นผู้ช่วยเทียนมั้ย เราว่าจะเปิดสำนักปราบผี”เธียรเสนอบ้างหลังจากฟังชิรญาเสนอมาพักใหญ่
“พอเลยไอ้เทียน ใครมันจะมาจ้างมึงปราบผี คงมีแต่สาวๆวิ่งโร่มาหามึงมากกว่า”
“ใครจะไปรู้ กูอาจจะดังชั่วข้ามคืนก็ได้”
“อย่าไปฟังมันเพ้อเจ้อ ไปทำงานกับฉันดีกว่า เดี๋ยวฉันบอกเจ๊ให้ หน้าตาสวยๆใสๆแบบไข่หวานถึงจะน้อยกว่าฉันนิดหน่อยรับรองคนติดตรึม”
“ว่าแต่งานอะไรเหรอลูกชุบ”
“นั่นดิกูไปทำด้วยได้ป่าว”
“มึงรวยอยู่แล้วจะทำเพื่อ”
“ก็กูว่างอะ อีกอย่างผีหน้าสวยนั่นก็เอาแต่ตามกูอยู่ได้”
“ผีหน้าสวย? อย่าบอกนะว่ามีผีตามมึงอยู่ตอนนี้นะ”
“อืม”
“อยู่ตรงไหนวะ”
“ข้างหลังมึง”
ชิรญามองซ้ายขวาด้วยความระแวง เรื่องอื่นเธอไม่เคยกลัวแต่เรื่องผีนี่เธอขอละเว้นไปหนึ่งอย่างก็แล้วกัน
“มึงจะกลัวอะไร ผีนั่นทำอะไรมึงไม่ได้หรอก ลำพังชื่อตัวเองยังไม่รู้เลย สงสัยจะความจำเสื่อม”
“เหลือจะเชื่อผีความจำเสื่อม น่ากลัวชะมัด”
“หยุดนะ! ถ้าเธอเข้าใกล้เพื่อนของฉันก็ไปเป็นผีเร่ร่อนนอนใต้สะพานลอยเลยไป”
“ถามจริง! เหลือจะเชื่อไอ้เทียนคุยกับผี”ชิรญาไม่เพียงแต่หวาดกลัวผีด้านหลัง ตอนนี้เธอชักจะหวาดกลัวเพื่อนตัวเองขึ้นมาแล้ว
ตั้งแต่เธียรเล่าว่าเห็นผี เธอก็ไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง จนถึงวันนี้ ความหนาวเหน็บจากด้านหลัง ขนแขนที่ลุกตั้งชันขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่อยู่ใกล้กำลังจ้องมองเธออยู่
“ไล่ไปดิมึง กูกลัว”
“กลับบ้านไปเลยยัยผีหน้าสวย”
“หน้าสวยด้วยเหรอวะ”
“ไม่กลัวแล้วเหรอ”
“กลัว”
“แล้วเธอไม่กลัวเหรอไข่หวานทำไมยังนั่งเงียบอยู่”
“ไข่หวานกลัวจนสั่นพูดไม่ออกแล้ว”
“พวกมึงสองคนนี่มันเหลือจะเชื่อจริงๆ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“ตกลงว่าไงสนใจมั้ย ไปกับลูกชุบเย็นนี้เลยก็ได้”
“มันเป็นงานกลางคืนไม่ใช่เหรอ ไข่หวานกลัวเสียการเรียน อีกอย่างทุนนั่นก็สำคัญกับไข่หวานมาก ถ้าเสียไปก็ไม่รู้ว่าไข่หวานจะเรียนจนจบได้ยังไง”
“ไข่หวาน งานนี้อะเงินเยอะจะตาย ถึงจะหลุดจากทุนยังไงก็มีเงินเรียนอยู่แล้ว”
“ลูกชุบว่างั้นเหรอ”
“งานนี้ไม่ได้มีแค่กลางคืนนะ บางวันก็มีจ๊อบนอกไปนั่งกินข้าวชิวๆร้านแพงๆ ไปชอปปิ้งเสื้อผ้าหรือบางคนได้ไปเที่ยวเมืองนอกเลยนะ”
“มันดีขนาดนั้นเลยเหรอ”ขวัญจิรายังคงไม่เข้าใจว่างานอะไรมันจะรายได้ดีขนาดนั้น ได้ทั้งกินทั้งเที่ยววันๆแทบไม่ต้องใช้เงินตัวเองสักบาท ช่างเป็นวิถีคนรวยที่คนจนอย่างเธอไม่เข้าใจจริงๆ
“ลองดูมั้ยละ ไม่ถูกใจก็เลิก กลับไปขายบัวลอยของไข่หวานเหมือนเดิม แต่ถ้าติดใจก็ทำต่อ”
“ลองดูก็ได้…ว่าแต่ไข่หวานต้องทำยังไงบ้าง”
“ไม่ต้องทำอะไรมาก ใช้ความใสซื่อไร้เดียงสาของไข่หวานให้เป็นประโยชน์ก็พอ”