ตอนที่ 1

1581 Words
“โปรดปราณ บุญฤทธิ์ วิศวะปีสาม มีแฟนหรือยังครับ?” “มีแล้ว!!!” ผมบอกอย่างนั้นทุกครั้งกับทุกคนที่ตั้งคำถามหรือแม้แต่ตามจีบผมอย่างบ้าคลั่ง และแน่นอนคนเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ชาย “สวยสาดดดดด!!!” และไอ้โรมเพื่อนสนิทของผม ก็มักจะพูดแบบนั้นทุกครั้ง “กูไม่ได้สวย แค่น่ารัก” และผมก็แก้ให้ทุกครั้งเช่นกัน ก็มันจริงนี่ครับ หลักฐานมันอยู่บนหน้าของผม ชัดเจนซะขนาดนี้ “แล้วเมื่อไร มึงจะใจอ่อนให้กูสักทีวะ?” ไอ้โรมมันกระซิบข้างหูผม ถ้าเป็นคนอื่น ผมคงหวั่นไหว แต่สำหรับไอ้นี่ ไม่ใช่ครับ เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะคนที่มันหมายใจ โน่น เดินมาโน่นแล้วครับ “พวกนายจะไปร้านพร้อมเรามั้ย” คนนี้คือแก้วใสครับ เพื่อนสนิทอีกคนของผมกับไอ้โรม พวกเราทั้งสามคน ทำงานพาร์ทไทม์ในร้านกาแฟของพี่แก้วไวน์ พี่สาวของแก้วใสครับ “ก็ไปดิ มีสาวสวยขับรถให้นั่ง ปฎิเสธก็ควายละ” โรมันยิ้มให้แก้วใสนัยน์พราวแสง แต่แกล้งพูดให้ติดตลก “นายขับ” แก้วใสโยนพวงกุญแจที่เต็มไปด้วยรูปที่ระลึกของบอยแบนด์ชื่อดังทางฝังเกาหลีใต้ลงตรงหน้าโรมัน “อีกละ?” การที่โรมันเป็นคนขับรถให้ผมกับแก้วใสนั่งมันไม่ดีตรงไหนเหรอครับ ไอ้โรมมันถึงได้ทำน้ำเสียงและสีหน้าเหมือนหมาถูกพาไปทิ้งวัดแบบนั้น ก็เพราะว่า… “เรานั่งเบาะหลังกับโปรดนะ มีเรื่องงานจะคุยด้วยน่ะ” ผมหน้าเหวอ “งานอะไรอ่ะ?” “ก็งานที่อาจารย์โจสั่งไง ป่ะ ไปกันได้แล้ว เข้างานสาย พี่แก้วไวน์ด่าไม่รู้ด้วยนะพวกนาย” แล้วแก้วใสก็ลุกเดินตรงไปลานจอดรถเลยครับ ส่วนงานที่แก้วใสว่า ก็ไม่ได้มีอะไรมากครับ อาจารย์แค่ให้ไปตามอ่านเจอนัลใน TNI แค่นั้นเองครับ เราคุยกันเรื่องนั้นแค่ไม่กี่คำ แล้วก็เปลี่ยนเป็นเรื่องสัพเพเหระตามประสาเพื่อนสนิท โดยที่ไม่ได้คิดอะไร แต่ไอ้คนที่ขับรถให้นี่สิครับ มันกำลังสบตาผมผ่านกระจกมองหลัง พร้อมกับทำปากงึมงำฟังไม่ได้ยิน แต่เท่าที่ผมอ่านปากมันได้ ‘กูเป็นคนขับรถพวกมึงอ่อ?’ โรมันคงกำลังน้อยใจแหละครับ เพราะสิ่งที่ผมกับแก้วใสคุยกัน มันก็คงได้ยินเต็มสองหู ไม่เห็นมีความจำเป็นที่แก้วใสต้องมานั่งเบาะหลังกับผมสองคนเลยด้วยซ้ำ แต่ผมว่า แก้วใสคงพอรู้แหละครับ ว่าโรมันมันคิดอะไรอยู่ คงยังไม่พร้อมจะเสียเพื่อนมั้งครับ เพราะถึงแม้จะสนิทกันแค่ไหน แต่ถ้าความรู้สึกของใครคนใดคนหนึ่งเปลี่ยนไป มันคงยากที่จะกลับมามองกันเป็นเพื่อนได้เหมือนเดิม เรามาถึง The Thirsty3ties Café ภายในไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็ไอ้คนขับมันกินรังแตนมามั้งครับ เหยียบซะ กลัวใจมันจริงๆ “มึงจะเหยียบอะไรขนาดนี้วะ” พอลงจากรถมาได้ ผมก็แทบจะยกมือท่วมหัว กูรอดตายแล้ว “รมไม่ดีโว๊ย!” โรมันแหกปากอย่างมีอารมณ์ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในร้าน ผมปรายตามองเพื่อนสาวอีกคน ที่กำลังมองตามหลังโรมันไปอย่างหน่ายๆ “ดูเพื่อนนายดิ นิสัย!” แล้วก็หันมาบ่นใส่ผม “แก้วก็รู้อยู่นี่ แล้วจะไปกวนอารมณ์มันทำไม” ผมดักคอ ก็พอๆกันนั่นแหละ “เรื่องแค่นี้ก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แล้วจะมีปัญญาไปดูแลใครได้ล่ะ” แก้วใสตัดพ้อ “นี่แสดงว่าก็มีใจ แต่แค่ดูๆอยู่ใช่มั้ย?” ผมได้ทีก็เลยจี้ไปตรงจุด “ให้มันไปเคลียร์กับเด็กบัญชีคนนั้นก่อนมั้ย?” แต่ก็โดนแก้วใสย้อนศรกลับมาจนได้ครับ ใช่ โรมันมันคุยๆอยู่กับเด็กบัญชีปีหนึ่ง ในระหว่างนี้ก็จีบแก้วใสด้วย ผมรู้ว่าไม่แมนเท่าไรที่มันทำแบบนั้น แต่มันก็ยืนยันกับผมว่าบอกเลิกน้องไปแล้ว แต่น้องเขาไม่ยอม ยังตามไอ้โรมแจ แล้วมันก็เป็นพวกขี้แพ้ แพ้น้ำตากับเสียงอ้อนๆน่ะครับ ก็เลยยังตัดกันไม่ขาดสักที “คุณโปรดครับ” ระหว่างที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปในร้านกับแก้วใส เสียงหนึ่งที่คุ้นหูก็ดังมาจากด้านหลัง พอผมหันกลับไป สายตาก็ปะทะกับร่างคุ้นตา “พี่โยชิ! มายังไงครับเนี่ย ยังไม่สิ้นเดือนเลยนี่นา” พี่โยชิ มักจะมาหาผมทุกสิ้นเดือนครับ มาพร้อมกับของฝากมากมาย รวมทั้งความเอื้ออาทรจากคนไกล ‘เป็นอย่างไรบ้าง?’ ‘เรียนหนักไหม?’ ‘เงินพอใช้หรือเปล่า?’ ‘ขาดเหลืออะไรก็ให้บอกนะ’ ซึ่งล้วนเป็นสารจากผู้เป็นนาย “พี่มาธุระให้นายน่ะ ก็เลยแวะมาหา แล้วก็จะมาแจ้งข่าวด้วย” พี่โยชิส่งถุงขนมที่หอบหิ้วมาส่งให้ พร้อมกับรอยยิ้มละไม “ข่าวอะไรเหรอครับ?” ผมเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย “เตรียมตัวไว้นะ สัปดาห์หน้านายจะแวะมาหา” พี่โยชิกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเหมือนเดิม แต่ผม กลับรู้สึกอุ่นกว่าเดิม อุ่นจนร้อน ร้อนจนลนลาน “จะ จริงเหรอครับ ผมจะได้เจอคุณปานเทพแล้วเหรอครับ แล้ว…แล้วผมต้องทำยังไง แล้ว…แล้วที่ไหนครับ ผมจะได้เจอที่ไหน คือ คือผม…” “เดี๋ยวๆ คุณโปรด เป็นอะไรไปครับ ใจเย็นๆ ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น” พี่โยชิมองผมอย่างขำๆ “ก็ผมตื้นเต้น ดีใจที่จะได้เจอคุณปานเทพนี่ครับ” ตั้งแต่วันนั้น เมื่อสองปีก่อน ผมก็ไม่มีโอกาสได้พบคุณปานเทพ เจ้าของคาสิโนผู้มีพระคุณคนนั้นอีกเลย มีเพียงพี่โยชิเท่านั้น ที่แวะเวียนมาหา นำเงินค่าเทอมมาให้ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆหากขาดเหลือ ซึ่งความจริงผมดูแลตัวเองได้ ค่าแรงที่พี่แก้วไวน์จ่ายให้ ก็เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน รวมทั้งดูแลค่าใช้จ่ายในบ้านด้วย เพราะหลังจากพ่อรักษาตัวหาย ได้ออกจากโรงพยาบาล ผมก็ให้พ่ออยู่บ้านเฉยๆ ปลูกต้นไม้ เลี้ยงแมวเลี้ยงหมาแค่ให้ผ่อนคลาย ไม่อยากให้ต้องทำงานหนักอีก แต่คุณปานเทพก็จำกัดชั่วโมงทำงานพาร์ทไทม์ของผม โดยส่วนที่ขาดเหลือก็จะให้พี่โยชิจัดการให้ [จันทร์ถึงศุกร์ทำแค่วันละ 2 ชั่วโมงก็พอ ส่วนเสาร์อาทิตย์ ก็เลือกเอาว่าจะทำวันไหนแค่วันเดียว อีกวันก็เอาไว้พักผ่อน และดูแลตัวเองบ้าง] นั่นเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่คุณปานเทพพูดกับผม ตอนที่โทรหาผมในวันเปิดเทอมวันแรกตอนผมขึ้นปี2 และอีกครั้งก็ตอนนั้น [มีคนบอกว่าไม่ยอมกินข้าวเช้า อยากเป็นโรคกระเพาะหรือไง อย่าให้ได้ยินอีก] ผมก็เลยไม่เคยไม่กินข้าวเช้าอีกเลย ทั้งๆที่คุณปานเทพก็มีงานที่กรุงเทพมากมาย และใช้เวลาที่นี่มากกว่าที่เกาะเสียอีก แต่น่าเสียดาย ที่ผมไม่เคยมีโอกาสได้เข้าพบเลยสักครั้งตลอดสองปีที่ผ่านมา แล้วจะไม่ให้ผมดีใจได้ยังไงล่ะครับ เมื่อพี่โยชิบอกว่าคุณปานเทพจะมาหาผมในสัปดาห์หน้า เย็นนี้ ผมทำงานอย่างมีความสุขมากครับ ผมหุบยิ้มไม่ได้เลย ในใจก็เต้นตุบตับรุนแรงกว่าทุกวัน ผมเริ่มนับถอยหลัง 7 6 5 4 3 2 1…ถึงเวลาแล้วสินะ พรุ่งนี้แล้วครับ ที่ผมจะได้เจอกับผู้มีพระคุณ ไม่ใช่พรุ่งนี้ครับ แต่เป็นวันนี้! ผมรีบวิ่งออกมาจากตึกเรียนอย่างไม่คิดชีวิต หลังจากรับสายจากพี่โยชิ ว่าจอดรถรออยู่ตรงลานจอดรถหลังตึกคณะ และที่สำคัญ นายนั่งรออยู่ในรถด้วย “ก็วันนั้นพี่โยชิบอกว่าสัปดาห์หน้าไม่ใช่เหรอครับ ผมก็คิดว่าพรุ่งนี้เสียอีก” [พี่หมายถึงประมาณสัปดาห์หน้าน่ะ ขอโทษนะที่ไม่ได้ระบุวันที่ชัดเจน แล้วพี่ก็ยุ่งจนลืมโทรบอกก่อนน่ะ] นั่นแหละครับ ผมก็วิ่งดิครับ อุตส่าห์เตรียมชุดเก่งรีดเอาไว้เรียบร้อย แต่กลับต้องอยู่ในเสื้อช็อปปอนๆ แถมเพิ่งเตะบอลกับเพื่อนเมื่อตอนบ่าย ไหวมั้ยเนี่ยโปรดปราณ ผมวิ่งไปก็ยกแขนซ้ายขวาขึ้นมาสำรวจกลิ่น ดีนะนี่ที่ผมเป็นคนไม่มีกลิ่นตัว แถมน้ำหอมที่ฉีดมาเมื่อเช้าก็ยังหลงเหลือกลิ่นจางๆ คงพอไหวมั้ง หวังว่าจะไม่โดนถีบลงจากรถเสียก่อนนะ ผมยืนหอบแฮ่กอยู่ข้างรถคันหรูที่ดูดีที่สุดในรัศมีของลานจอดรถหลังตึกคณะ พี่โยชิยืนรอรับอยู่ข้างรถสีดำคันนั้นด้วยใบหน้าเคลือบยิ้ม “บอกแล้วว่าไม่ต้องรีบ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD