เช้าวันถัดมามาธวีตื่นตั้งแต่เช้าเช่นเคย เธอสูดลมหายใจลึก ก่อนจะลุกจากเตียงไปจัดการธุระส่วนตัวอย่างกระฉับกระเฉง ความตื่นเต้นของการไปฝึกงานยังคงมีอยู่ แม้จะเริ่มคุ้นกับเส้นทางและบรรยากาศของบริษัทแล้วก็ตาม
วันนี้เธอสวมชุดนักศึกษาอย่างเดิม มัดผมหางม้าและแต่งหน้าบาง ๆ ดูสดใส เธอออกมาจากห้องทานอาหารเช้าที่คุณยายเตรียมไว้ก่อนที่ท่านจะออกไปขายขนมหวานที่ตลาด
เมื่อทานอาหารเสร็จก็ออกจากบ้าน วันนี้มาธวีเลือกสวมรองเท้าผ้าใบเพื่อความคล่องตัวเพราะรุ่นพี่บอกว่าอาจจะต้องใช้ให้เธอเดินไปตามแผนกต่างการใสรองเท้าคัตชูคงจะไม่สะดวกนัก
การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น มาธวีถึงบริษัทก่อนเวลา เธอใช้ช่วงเวลานั้นทบทวนงานที่หัวหน้าเคยสอนเมื่อวานทั้งการจัดแฟ้ม การส่งอีเมลและระบบภายในของบริษัทที่ซับซ้อนกว่าที่คิด
“อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่อร พี่พิมพ์” มาธวีทักทายหัวหน้าและรุ่นพี่ที่เดินเข้ามาพร้อมกันด้วยรอยยิ้มสดใส
“อรุณสวัสดิ์จ้ะน้องน้ำผึ้ง มาเช้าจังนะ” หัวหน้าแผนกทักทายอย่างเป็นกันเอง
จากนั้นมาธวีก็ลงมืออย่างขยันขันแข็ง ทำทุกอย่างตามที่ได้รับมอบหมายโดยไม่บ่น แม้บางขั้นตอนจะยังไม่ถนัด แต่พี่พิมพ์พาก็คอยให้คำแนะนำเป็นระยะ
“เอกสารชุดนี้สำคัญมากนะน้ำผึ้ง เป็นรายชื่อลูกค้าวีไอพีที่ต้องการขอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโครงการใหม่ พี่อยากให้น้ำผึ้งช่วยนำไปสแกนเข้าระบบ แล้วค่อยจัดเรียงใส่แฟ้มใหม่ให้เรียบร้อย” พี่ศิริอรยื่นแฟ้มเอกสารชุดหนึ่งให้เธอ
“ได้ค่ะพี่อร หนูจะจัดการให้เรียบร้อยเลยค่ะ” มาธวีรับแฟ้มมาด้วยความระมัดระวัง
“ถ้าพี่เสร็จงานตรงนี้แล้วพี่จะไปช่วยนะ” พี่พิมพ์พาบอกกับมาธีวีอีกคน
“ขอบคุณค่ะพี่พิมพ์”
งานในช่วงเช้าผ่านไปอย่างราบรื่น มาธวีจัดการสแกนและจัดเรียงเอกสารได้อย่างเป็นระเบียบโดยมีพี่พิมพ์พาคอยสอน ทุกอย่างในแผนกดำเนินไปตามจังหวะปกติของวันทำงานที่เร่งรีบ เสียงพิมพ์จากคีย์บอร์ด เสียงโทรศัพท์และเสียงพูดคุยของพนักงานดังสลับกันไปมา
พอถึงช่วงบ่ายแก่ ๆ ขณะที่มาธวีกำลังเก็บแฟ้มชุดสุดท้ายเข้าตู้ พี่ศิริอรก็เดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับแฟ้มสีดำเล่มหนึ่ง
“น้ำผึ้งจ๊ะ พอดีมีเอกสารด่วนจากฝ่ายกฎหมายที่ต้องให้ท่านประธานเซ็นอนุมัติก่อนประชุมเย็นนี้ พี่แก้วเลขาฯ ท่านประธานโทรมาเร่งแล้ว พี่ฝากหนูเอาขึ้นไปให้พี่แก้วที่ชั้นบนหน่อยนะ อย่าลืมว่าชั้นนั้นเป็นชั้นผู้บริหาร ถ้าหนูเจอใครก็ยกมือไหว้นะ เราอาจไม่รู้จักว่าเขาเป็นใครแต่อ่อนน้อมไว้ก็ดี”
การขึ้นไปที่บนสุดซึ่งเป็นโซนของผู้บริหารระดับสูงทำให้เธอรู้สึกประหม่าเล็กน้อย โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับความหล่อแต่เย็นชาของท่านประธานองศาจากเพื่อนเมื่อคืน
“ได้ค่ะพี่อร หนูจะรีบนำขึ้นไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” มาธวีตอบรับด้วยความเต็มใจ
เธอเดินไปยังลิฟต์ส่วนตัวสำหรับผู้บริหารอีกครั้ง สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกดหมายเลข 25
ประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้น 25 บรรยากาศของชั้นนี้แตกต่างจากชั้นอื่นอย่างชัดเจน มันเงียบสงบ มีพรมหนานุ่มปูเต็มพื้นที่และการตกแต่งดูหรูหราหนักแน่นกว่าเดิมมาก
มาธวีก้าวเท้าออกจากลิฟต์ เธอเงยหน้าขึ้นมอง แต่ในจังหวะนั้นเอง ประตูลิฟต์อีกตัวที่อยู่ถัดไปทางขวาซึ่งเปิดอยู่พอดี ก็มีร่างสูงใหญ่ของใครบางคนก้าวออกมา เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ทำให้หัวใจของมาธวีเต้นระรัวอย่างห้ามไม่อยู่
เขาอยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มสั่งตัดพิเศษ เสื้อเชิ้ตด้านในเป็นสีขาวสะอาดตา เนกไทสีเข้มผูกไว้อย่างแน่นหนา ผมสีดำขลับถูกจัดแต่งทรงอย่างเนี้ยบ ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลา หากแต่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคมกริบคู่นั้นทอดมองตรงไปยังทางเดินข้างหน้าอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
เป็นใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างเหลือเชื่อ
‘ทำไมดูคุ้นจัง’ มาธวีคิดในใจ ภาพในความทรงจำที่เลือนรางของเธอพยายามจะปะติดปะต่อใบหน้าของชายตรงหน้าเข้ากับภาพของบาร์เทนเดอร์หนุ่มในคืนนั้น แต่ก็ทำได้ไม่สมบูรณ์
ผู้ชายคนนี้ดูภูมิฐานเกินกว่าจะเป็นพนักงานในผับ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยอำนาจและความกดดันนั้นแตกต่างจากรอยยิ้มกวน ๆ และท่าทางผ่อนคลายของชายที่เธอจำได้ในคืนนั้นอย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่ทั้งสองกำลังเดินสวนกัน ชายคนนั้นไม่ได้มองมาที่เธอเลยแม้แต่น้อย แต่สำหรับมาธวีแล้ว ความรู้สึกเกรงใจและเคารพในตำแหน่งที่สูงกว่าทำให้เธอรีบก้มหน้าลงเล็กน้อยพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้อย่างสุภาพตามที่หัวหน้าแผนกสั่งไว้
“สวัสดีค่ะ” เธอพึมพำเสียงแผ่ว
เขาพยักหน้าน้อย ๆ ตอบรับ แล้วก้าวผ่านเธอไปอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินผ่านเธอไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาเย็นชาไร้รอยยิ้มตามที่เพื่อนๆ เล่าให้ฟังทุกประการ
มาธวีรู้สึกว่าโล่งอกที่เขาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็อดรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ ที่เขาดูเย็นชาถึงเพียงนี้
เธอหันหลังมองตามร่างสูงที่เดินหายเข้าไปในประตูบานใหญ่ที่สลักคำว่า 'PRESIDENT OFFICE' อย่างสง่างาม
‘นั่นต้องเป็นท่านประธานแน่ ๆ’ เธอคิด
มาธวีพยายามรวบรวมสติแล้วเดินเข้าไปยังโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่ด้านหน้าห้องทำงานท่านประธาน ที่นั่นมีหญิงสาวคนหนึ่งในชุดทำงานเรียบร้อยกำลังนั่งอยู่
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อมาธวี เป็นนักศึกษาฝึกงานจากแผนกธุรการค่ะ พี่อรฝากให้เอาเอกสารนี้มาให้ค่ะ” มาธวีแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“สวัสดีจ้ะ พี่ชื่อแก้ว ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ ว่าแต่มีชื่อเล่นไหม” เลขาสาวส่งรอยยิ้มอ่อนโยนให้ พร้อมกับรับแฟ้มเอกสารไป
“หนูชื่อน้ำผึ้งค่ะเรียกผึ้งก็ได้ค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงดังฟังชัด
มาธวีใช้จังหวะที่เลขากำลังเปิดดูเอกสาร พลางมองไปยังประตูห้องทำงานที่เพิ่งปิดลงไปเมื่อครู่ ด้วยความสงสัยปนความประหลาดใจที่ไม่อาจเก็บซ่อนได้
“เอ่อ... พี่แก้วคะ”
“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?”
“ผู้ชายคนเมื่อกี้... ที่เดินสวนหนูไปตรงลิฟต์ แล้วเดินเข้าห้องโน้นไปน่ะค่ะ เขาเป็นท่านประธานของเราใช่ไหมคะ” มาธวีเอียงคอไปทางประตูห้องทำงานท่านประธาน
“ใช่แล้วจ้ะ คนนั้นคือท่านประธานของเราเองล่ะ เขาชื่อองศาค่ะ” ชไมพรยิ้มเล็กน้อยด้วยความเข้าใจในความตื่นเต้นของเด็กฝึกงานที่เพิ่งมาใหม่
คำตอบนั้นทำให้มาธวีถึงกับยืนนิ่งไปชั่วขณะ
ชื่อเดียวกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เธอพยายามปลอบตัวเองด้วยข้อมูลที่เพื่อนให้มาเมื่อคืน
“เขาดูเคร่งเครียดและดุมากเลยนะคะ”
“ก็เป็นแบบนี้แหละจ้ะ ท่านประธานเป็นคนตั้งใจทำงานมาก ถ้าไม่ได้พูดเรื่องงานก็จะไม่ค่อยพูดคุยกับใครเท่าไหร่หรอก และไม่ค่อยยิ้มด้วย” เลขาตอบพร้อมหัวเราะเบา ๆ
ไม่ค่อยยิ้ม... ข้อมูลนี้ทำให้มาธวีรู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างประหลาด
ใช่แล้ว ผู้ชายที่เธอเจอในคืนนั้นเป็นคนยิ้มเก่งและเจ้าเล่ห์ แต่ท่านประธานคนนี้ดูเย็นชาอย่างกับก้อนน้ำแข็ง
‘คงเป็นแค่ชื่อซ้ำกันจริงๆ ...’ หญิงสาวคิดในใจ
เธอพยายามย้ำเตือนตัวเอง แม้จะมีบางอย่างในดวงตาคมกริบเมื่อครู่ที่ทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยและหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูกก็ตาม
“ถ้าอย่างนั้นหนูขอตัวกลับลงไปทำงานก่อนนะคะพี่แก้ว”
“จ้ะ ขอบใจมากนะผึ้ง”
มาธวีเดินกลับไปที่ลิฟต์ด้วยฝีเท้าที่เร็วกว่าตอนขามา เธอหันกลับไปมองประตูห้องทำงานท่านประธานเป็นครั้งสุดท้าย
‘ท่านประธานองศาและบาร์เทนเดอร์องศาไม่ใช่คนเดียวกันแน่ๆ’ เธอถอนหายใจด้วยความโล่ง แต่ถึงจะคิดแบบนั้น ความรู้สึกแปลก ๆ ก็ยังไม่จางหาย ราวกับหัวใจยังจำอะไรบางอย่างได้แม้สมองจะลืมไปแล้วก็ตาม
แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือประตูห้องทำงานไม่ได้ปิดสนิทและองศาที่ยืนอยู่หลังประตูก็ได้ยินอย่างชัดเจนว่าเธอชื่อน้ำผึ้ง
“น้ำผึ้ง... ยินดีต้อนรับสู่ที่ทำงานของบาร์เทนเดอร์คนนี้อย่างเป็นทางการและจากนี้ไปถึงเวลาที่เธอต้องชดใช้ในฐานะที่ทำให้ฉันรู้สึกแย่ด้วยการหนีฉันไปในเช้านั้น” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ