“ผมชอบคนดื้อๆ แบบคุณไปได้ยังไงกันนะ”
เหมือนจะเป็นแค่คำพูดเปรยๆ แต่ปิ่นอนงค์ได้ยินชัดเต็มสองหู กรกล้าถอยห่างออกมาหนึ่งก้าว ก่อนจะทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้กับคำพูดของตัวเองเมื่อครู่
“เอาล่ะ อีกห้านาทีผมจะเอายาเข้ามาให้ทาน อย่าดื้อล่ะ” คุณหมอหนุ่มดูเวลาแล้วบอกกับคนไข้จอมดื้อ
“กินยาไปแล้วได้อะไร ขาฉันจะหายดีไหม…ก็ไม่” เสียงตัดพ้อกับน้ำตาหนึ่งหยดไหลรินลงมาอาบแก้มเนียนอย่างห้ามไม่อยู่ เล่นเอาคุณหมอหนุ่มใจสั่นไหวก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือปาดหยดน้ำตาที่แก้มของหญิงสาวช้าๆ ส่วนมืออีกข้างพยายามลูบหัวคนไข้ของเขาอย่างปลอบประโลม
“หายสิ แค่คุณเชื่อว่าหายมันก็จะหาย และผมจะทำให้คุณเชื่ออย่างนั้นเอง”
“ฉัน…อยากจะไปเที่ยว ไปจากห้องสี่เหลี่ยมนี้ ฉันคิดถึงเพื่อน คิดถึงพี่ คิดถึงสวน” ปิ่นอนงค์เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เวลานี้ข้างนอกจะเป็นยังไงบ้าง สวนปลายฟ้าจะรู้ไหมว่าเธอนอนเดี้ยงอยู่โรงพยาบาล พี่รินจะห่วงเธอไหมนะ เธออยากจะเจอทุกคนจริงๆ
“พักซะ เดี๋ยวผมจะเอายาเข้ามาให้ทาน จะได้หายไวๆ”
กรกล้าจำใจต้องผละออกไป เวลาว่างทั้งหมดของเขานอกจากทานข้าวแล้ว ส่วนที่เหลือเขาก็จะเข้ามาอยู่ในห้องนี้เป็นเพื่อนปิ่นอนงค์เสมอ ดูท่าเธอคงต้องการกำลังใจอย่างมาก หากมีเพื่อนมาเยี่ยมเยือนบ้างเจ้าตัวคงจะอาการดีขึ้น ไม่รอช้าคุณหมอหนุ่มรีบโทรติดต่อไปยังนภัทรทันที
“พ่อพัดครับ ผมรบกวนขอเบอร์คุณนรินทร์หน่อยจะได้ไหมครับ”
คนเราเมื่อเจอเรื่องแย่ๆ ทางเดียวที่จะดีขึ้นได้นั่นคือเจอคนที่จริงใจ คนที่อยู่เคียงข้างเราในทุกสถานการณ์ และคนเหล่านั้นก็คงจะมีแต่หนุ่มหล่อชาวสวนร่างใหญ่คนนั้น พี่ชายคนสนิทของปิ่นอนงค์อย่างนรินทร์
ปิ่นอนงค์ทานยาเข้าไปก็เกิดอาการง่วงนอน ในไม่กี่นาทีถัดมาหญิงสาวก็เข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง เสียงจอแจเข้ามาในโสตประสาทดังขึ้นเรื่อยๆ จนเปลือกตาคู่สวยค่อยๆ ขยับก่อนจะลืมตาตื่นขึ้น
“พี่ริน!” ปิ่นอนงค์กู่ร้องพลางปล่อยโฮออกมา ใบหน้าที่เคยฉายแววเศร้าสร้อยพลันยิ้มแย้มออกมาทันทีเมื่อเจอนรินทร์
นรินทร์เดินเข้ามาหาคนป่วย ส่วนในมือแอบหยิบมะม่วงที่นำมาเยี่ยมคนป่วยหยิบเข้าปากกินหน้าตาเฉย โดยมีภรรยาสาวอย่างไอรักยืนยิ้มอยู่ข้างๆ
“ไอรัก ฉันคิดถึงเธอมากเลย มากอดหน่อย” ปิ่นอนงค์อ้าแขนรอให้ไอรักมากอดอย่างคิดถึง
“อ้าวเห้ย! นั่นมันเมียพี่ไหมวะ” นรินทร์ใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากปิ่นอนงค์อย่างที่เคยทำบ่อยๆ
“ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะพี่ริน”
“แล้วไปเล่นอีท่าไหนถึงมานอนอู้อยู่โรงพยาบาลอีกล่ะ”
ปิ่นอนงค์รู้สึกหน้าเสียไปนิด แต่พอเห็นสายตาเป็นห่วงของนรินทร์ หญิงสาวจึงพูดทีเล่นทีจริงออกไป
“ก็ขี้เกียจบ้างอะไรบ้างไม่ได้หรือไง แต่ก็อดเสียดายอยู่นะพี่รินที่ปิ่นไม่ได้จบพร้อมเพื่อน”
นรินทร์ยกมือลูบหัวปิ่นอนงค์เบาๆ “เออ ยังไงปลายทางมันก็จบเหมือนกันล่ะวะ ดูแลตัวเองด้วยล่ะ ไว้หายแล้วจะยอมให้ซนหนึ่งวัน”
“ห้ามคืนคำนะ” ปิ่นอนงค์เหมือนนึกอะไรได้จึงถามต่อ “แล้วพี่มาได้ไงเนี่ย?”
“พ่อแม่แกก็โทรมาบอกแม่พี่แล้วล่ะ แต่ช่วงนี้ทางสวนยุ่งๆ ก็เลยไม่มีโอกาสมาหาแก นี่ดีนะที่คุณหมอปากร้ายของแกโทรมาได้จังหวะ พี่เลยพากันมานี่แหละ”
ปิ่นอนงค์พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ แต่หญิงสาวก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่านรินทร์ไปสนิทกับกรกล้าเอาตอนไหน
สำหรับปิ่นอนงค์ในตอนนี้ ความสุขผ่านไปไวเหลือเกิน ไวจนเธออยากจะซื้อเวลาทั้งหมดมาอยู่กับเพื่อนและพี่ชาย แต่เมื่อทุกคนกลับไปหมดแล้ว ความเงียบก็กลับมาทักทายหญิงสาวอีกครั้ง ร่างบอบบางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ประจวบเหมาะกับบานประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้งด้วยมือของคุณหมอหนุ่ม
“ไงคุณ ปวดหัวปวดตัวอะไรบ้างไหม?”
“วันๆ คุณจะเข้ามาสักกี่รอบกันคะ คุณหมอ!” หญิงสาวเน้นหนักคำท้ายด้วยสีหน้ายียวน เล่นเอาคุณหมอหนุ่มอย่างกรกล้าถึงกับขยับแว่นแก้เขิน
“อ่ะแฮ่ม! สรุปว่ายังคงสบายดีนะครับ แล้วขาล่ะตึงบ้างไหม?”
“ขยับแทบไม่ได้เลยค่ะ คุณ…หมอ…ขา”
กรกล้าแอบอมยิ้มเมื่อเจอปิ่นอนงค์ประชดเข้าให้ เขาคิดไม่ผิดที่โทรหานรินทร์เพื่อบอกอาการซึมเศร้าของคนป่วย ซึ่งประจวบเหมาะพอดีที่ทางฝั่งนั้นก็ตั้งใจจะมาเยี่ยมปิ่นอนงค์พอดี
“นี่” ปิ่นอนงค์พูดขึ้น
“ครับ?” คุณหมอหนุ่มก้มหน้าจดรายงานโดยไม่ได้เงยหน้าจ้องมองคนป่วย
“ขอบใจนะ”
ทั้งสองต่างอมยิ้มเงียบๆ โดยไม่มีใครพูดอะไรออกมา ทำให้บรรยากาศภายในห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ทว่าภายใจของคนทั้งคู่กลับอุ่นวาบอย่างบอกไม่ถูก กระแสความอบอุ่นค่อยๆ แผ่ซ่านเกาะกินใจของคนทั้งสองโดยปราศจากคำพูดใดๆ
“อืม”
“ฉันเบื่อการนอนจะแย่แล้วคุณ อยากออกไปข้างนอกบ้าง” ปิ่นอนงค์เริ่มงอแงกับกรกล้า โดยมีพยาบาลสาวทั้งสองเป็นตัวประกอบและแอบชำเลืองมองคนทั้งคู่เป็นระยะ
“ไว้ผมจะพาไป แต่ตอนนี้อ้าปากก่อนครับ เสียงคุณดูแย่เอามากๆ เหมือนจะเริ่มมีไข้แล้วนะ”
กรกล้ายังคงให้ความสนใจกับอาการป่วยของปิ่นอนงค์ต่อไป ส่วนคนป่วยก็ยอมอ้าปากให้คุณหมอหนุ่มตรวจอย่างว่าง่าย