“ช่วงนี้ทานแต่อาหารอ่อนไปก่อนนะครับ”
“เฮ้อ! เบื่อ” ปิ่นอนงค์ทำหน้าม่อย ขณะที่คุณหมอหนุ่มส่งรายงานอาการของคนป่วยให้พยาบาลนำไปเก็บไว้
“เป็นยังไงบ้างคุณ วันนี้ดูพูดมากกว่าทุกวันนะ” เมื่ออยู่กันสองต่อสองกรกล้าก็ถอดแว่นเก็บใส่ในกระเป๋าเสื้อกาวน์
ปิ่นอนงค์กวาดสายตามองร่างสูงที่นั่งเก้าอี้ติดเตียงผ่านๆ “พูดน้อยก็ไม่ได้ พูดมากก็ไม่ได้ นี่มันปากฉันหรือปากคุณ”
“แล้วอยากจะให้ปากผมไปติดอยู่ที่ปากคุณไหมล่ะ?” ได้ทีหมอกล้าก็พูดยียวนทันที
ปิ่นอนงค์หันขวับ “นี่! นายบ้าอะไร”
เมื่อเห็นท่าทีโกรธขึงของคนป่วย คุณหมอหนุ่มกลับยักคิ้วยียวนกวนประสาทกลับ สลัดคราบคุณหมอจอมเนี๊ยบเมื่อครู่จนหมดสิ้น “ทำไม! ส่งสายตามาให้แบบนี้หมายความว่ายังไงครับ หรือคุณอยากจะเจอผมจูบอีกครั้งเหรอ เอ…หรือว่าติดใจกัน”
“ไอ้บ้า!” หมอนใบเล็กที่อยู่ใกล้มือถูกปิ่นอนงค์ปาออกไปโดนหน้ากรกล้าทันที
“นี่ทำร้ายร่างกายหมอเหรอคุณ ผมเอาคืนนะจะบอกไว้ก่อน” ชายหนุ่มชี้นิ้วขู่
“สำออย ชิ!”
กรกล้าอยากจะบีบปากที่เชิดนั้นเสียเหลือเกิน ทั้งอิ่มทั้งแดงช้ำน่าขยี้จริงๆ นับวันเขายิ่งเหมือนหมอหื่นเข้าไปทุกวัน ถ้าปิ่นอนงค์ได้รู้ความคิดเขาล่ะก็มีหวังร่างกายเขาบอบช้ำแน่ๆ
“นี่คุณ” เสียงปิ่นอนงค์พูดขึ้นขัดความคิดของชายหนุ่ม
“อะไรอีกล่ะ?”
“จะว่าไปฉันว่าอยู่เดี้ยงๆ แบบนี้ก็ดีนะ วันหนึ่งก็เอาแต่นั่งกินนอนกินมีคนมาดูแล ที่สำคัญ…” ปิ่นอนงค์ยกยิ้มด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“หน้าคุณโคตรมารร้ายเลย” กรกล้าพูดในสิ่งที่เขาคิด
“เอ๊ะ! ไม่ขัดสักเรื่องจะตายไหม?”
“เอ้า! ก็ผมพูดตามที่เห็น เชิญพูดต่อเลยครับคุณผู้หญิง” ใบหน้าหล่อเหลาของคุณหมอหนุ่มคลี่ยิ้มจางๆ เมื่อเห็นท่าทางกระฟัดกระเฟียดของคนป่วยที่อยู่บนเตียง
“ไม่พูดแล้ว อีตาหมอบ้า ไปเลยไป” ปิ่นอนงค์ยกผ้าขึ้นคลุมโปงอย่างงอนๆ จนชายหนุ่มส่ายหน้ายิ้มๆ
“ยอมคุณเลย ขี้เหวี่ยงเป็นที่สุด”
ปิ่นอนงค์ได้ยินทุกถ้อยคำแต่ไม่ยอมสนทนาตอบ เธอแค่จะบอกว่าดีที่ไม่ต้องแต่งงานกับอีตาเมฆานั่นในตอนนี้ แต่เชื่อเถอะว่ายังไงคุณแม่ก็ต้องบังคับเธออีกรอบ ตราบใดที่เธอยังหาสามีเข้าบ้านเป็นตัวเป็นตนไม่ได้
หรือว่าเธอจะลองหาดีนะ…
“บ้าบอจริงๆ เลยเธอ เฮ้อ!” คุณหมอหนุ่มพูดพลางส่ายหน้าหน่ายๆ
ใบหน้าของกรกล้าพลันลอยเข้ามาในความคิดของหญิงสาว ก่อนที่ร่างบางจะเผลอสะดุ้งโหยง
นี่เธอพานไปนึกถึงใบหน้าหมอปากร้ายอย่างเขาได้ยังไงกัน
“ให้ตายฉันก็ไม่คิดสั้นเอาคุณเป็นแฟนแน่ๆ ตาบ้า!”
“…” หมอกล้าขมวดคิ้วเมื่อได้ยินปิ่นอนงค์พึมพำกับตัวเองอยู่คนเดียว เนื่องจากชายหนุ่มยังไม่ได้เดินไปไหน เพียงแค่อยู่เงียบๆ ตรวจดูชาร์ตคนไข้คนอื่นในมือเท่านั้น ด้วยความสงสัยใบหน้าหล่อเหลาของคุณหมอสุดหล่อจึงชะโงกเอียงหูเข้าไปฟังใกล้ๆ
“ทำไมฉันต้องคิดอะไรบ้าๆ ด้วยนะ”
“คุณบ่นอะไรคนเดียวน่ะ” เมื่อฟังไม่ได้ศัพท์กรกล้าก็ถามออกมาตรงๆ
ปิ่นอนงค์เข้าใจวากรกล้าออกไปแล้วก็ตกใจ เธอเปิดผ้าคลุมพลันหันขวับทันที ใบหน้าทั้งคู่ห่างกันเพียงแค่ปลายจมูก หัวใจดวงน้อยของปิ่นอนงค์กำลังจะระเบิดออกมาด้วยความเขินอาย
“นี่คุณไม่ดะ…อื้อ”
เสียงของปิ่นอนงค์หายเข้าไปในปากของคุณหมอหนุ่มที่อดใจไม่ไหวกับริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อ ก่อนจะบดเบียดและดูดดึงลิ้นเล็กที่คอยดิ้นหนีอย่างคนกระหายหิว
“จุ๊บ จ๊วบ อื้อ…ดะ…เดี๋ยว…อื้อ!”
มือใหญ่ประคองใบหน้าสวยพลางกดท้ายทอยให้แนบชิดกันมากขึ้น โดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรออกมาอีก แถมชายหนุ่มยังไม่เกรงกลัวว่าจะมีใครเปิดประตูเข้ามาเห็นฉากเด็ดนี้ด้วย
ผ่านไปหลายนาทีที่กรกล้าปล่อยริมฝีปากหวานปนเผ็ดนั้นเป็นอิสระ ใบหน้าหล่อเหลาสั่นตามแรงมือที่กระทบเข้าใบหน้าเต็มแรง ปิ่นอนงค์นัยน์ตาแดงก่ำ
“คุณมันบ้า!”
“ใช่ ผมมันบ้า ถ้าการที่ยอมรับว่าบ้าแล้วได้ใกล้ชิดคุณขนาดนี้ผมก็ยอม!”
ปิ่นอนงค์หยุดคิดเมื่อเห็นสายตาจริงจังของกรกล้า “คุณชอบฉันจริงเหรอ?”
หญิงสาวเอ่ยถามอย่างไม่เต็มเสียง จะว่าเธอหลงตัวเองก็ได้ แต่เธอคิดว่ากรกล้าไม่ได้ล้อเล่นกับเธอแบบที่คิดเสียแล้ว
กรกล้าสบตาหวานแล้วยิ้ม “โตแล้ว คิดเองสิครับ”
ทว่าคำตอบที่ได้ทำเอาใบหน้าสวยของปิ่นอนงค์บึ้งตึงทันที “ไอ้หมอเถื่อน ไปเลยนะ ไปไกลๆ”
และก่อนที่คุณหมอหนุ่มจะพูดอะไรต่อ เสียงเปิดประตูของพยาบาลพิเศษก็เข้ามาขัดจังหวะของทั้งคู่เสียก่อน ดีที่พยาบาลสาวเข้ามาหลังจากที่พวกเขาจูบกันไปแล้ว แต่ถ้ามาในช่วงก่อนหน้าคงเจอฉากเด็ดแน่ๆ
“ขอโทษนะคะ ได้เวลาอาหารกลางวันแล้วค่ะ”
ปิ่นอนงค์เหลือบมองอาหารในถ้วยแล้วก็ถอนหายใจ “ไม่อยากกิน” หญิงสาวพูดโดยไม่ได้มองใบหน้าของพยาบาลสาวที่ซีดเผือดเลยสักนิด จนคุณหมอหนุ่มต้องส่งสัญญานให้พยาบาลสาวออกจากห้องไปก่อน
“นี่มันโรงพยาบาลนะครับ ไม่ใช่ร้านอาหาร”
“แต่ฉันก็อยากกินอะไรที่มันมีรสชาติบ้างนี่” คนป่วยรีบเถียงกลับ
“อีกแค่สองวันผมจะยอมให้คุณทานอาหารปกติได้ แต่ไม่จัดจนเกินไป”