โลกาหวลคืน (2)

2001 Words
"คำรามปะทุ!" เสียงร้องตะโกนของคูปทำให้มอนสเตอร์ทั้งหมดเดินเข้ามาหาเขาราวกับถูกล่อลวง นั่นคงเป็นสกิลที่ใช้ควบคุมมอนสเตอร์ได้ ในตอนที่มอนสเตอร์เดินเข้ามาตามสกิลของคูป เวคและแครอทก็เปิดฉากโจมตี "ศรเพลิง!" "ระเบิดเพลิง!" ศรเพลิงนับสิบดอกถูกยิงไปในเวลาไล่เลี่ยกัน และมันได้ปักไปที่จุดอ่อนที่หน้าอกของเหล่าหมีอัญมณีอย่างแม่นยำ ตู้ม!! หลังจากนั้นศรเพลิงก็ระเบิดออก ส่งผลให้อัญมณีของพวกมันแตกสลายในทันที นั่นเป็นการโจมตีประสานที่ค่อนข้างดีทีเดียว คนหนึ่งเป็นฉนวนส่วนอีกคนเป็นตัวจุด ทำให้เข้าใจได้ในทันที ว่าพวกเขาเป็นทีมที่ขาดกันและกันไปไม่ได้เลย "สุดยอดเลยนะครับ.." ผมกล่าวชมพร้อมกับตบมือ ในตอนที่พวกเขาจัดการฝูงหมีอัญมณีทิ้งทั้งหมดได้เป็นฝูงภายในไม่กี่นาที แสดงว่าตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเกินตัว ผลลัพธ์ก็คงจะดีแบบนี้สินะ "คงสงสัยใช่ไหมล่ะ ว่าทำไมพวกเราถึงได้ไปล่างูสามเศียร" คูปเอ่ยในตอนที่กำจัดทุกอย่างหมดแล้ว เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายอยู่นิดหน่อย "ครับ ก็สงสัยอยู่" ผมเอ่ยตอบเขาไปแบบนั้น ที่จริงก็อยากรู้อยู่นิดหน่อย ไม่ได้เป็นคนชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเท่าไหร่ด้วย แต่ถ้าเล่าก็ฟังได้ละนะ "นายอาจจะคิดว่าพวกเราโดนแย่งที่ฟาร์ม หรือทดสอบฝีมือ แต่ที่จริงแล้วมันง่ายกว่านั้นอีก" คูปกำโล่บนมือของตัวเองเอาไว้แน่น ก่อนจะหันมองไปที่มัน "เพราะพวกเราอยากจะแข็งแกร่งขึ้น เพื่อใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ต่อไปได้.." ตอนที่เขาพูด คูปก็ได้หันมองไปยังสมาชิกทีมทั้งสองที่กำลังเก็บกวาดพื้นที่ นัยน์ตาของเขาดูห่วงใย แสดงออกถึงความจริงใจต่อสองคนนั้น แต่ไม่นานสายตาเขาก็ดับไป ก่อนจะตบไหล่ของผม "แต่นายก็มาเป็นคำตอบ ว่าพวกเรายังไม่เหมาะจะทำแบบนั้น" คูปลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าในลำคอ เขาดูไม่มั่นคงเลยในตอนนี้ ผมลุกขึ้นก่อนจะยกมือของเขาออก พร้อมกับให้คำตอบที่ดูย้อนแย้ง ตัวผมในอดีตก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่เพราะตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมแล้วเลยให้คำตอบได้ "พวกคุณทำได้แน่นอนครับ ผมเชื่อแบบนั้น" คำพูดของผมทำให้คูปตาเป็นประกาย เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะโอบไหล่ของผม "ฮ่าๆๆ ต้องให้เด็กมัธยมอย่างนายมาปลอบเนี่ยใช้ไม่ได้เลยนะฉัน" น้ำเสียงของเขาดูหลบซ่อนกลิ่นอายบางอย่างเอาไว้อยู่ แต่ผมก็แน่ใจแล้วว่าอย่างน้อยเขาก็รู้สึกดีขึ้น "ไว้เสร็จการล่าของวันนี้ ฉันจะเลี้ยงของอร่อยๆ เป็นการตอบแทนแล้วกัน" "ฝากด้วยนะครับ" หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มออกล่ากันต่อ โดยการเข้าไปในป่าที่ลึกยิ่งขึ้นไปอีก ณ เมืองชั้นนอก อาคารหลังหนึ่ง อัญชันเดินเข้ามาพร้อมกับข้อมูลหนึ่ง เธอตรงเข้ามาหาสมาชิกกลุ่มของเธออย่างรวดเร็ว "โอ้ อัญชันนี่นา เป็นไงบ้าง" กุหลาบยกมือเพื่อทักทายเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมาสักพัก แต่สิ่งที่ได้คือความเงียบ อัญชันเดินผ่านเธอไป เพราะเหตุผลที่เธอมายังกลุ่มในวันนี้มีเพียงสิ่งเดียว หญิงสาวในชุดคลุมสีเหลืองมองเธอพร้อมกับอาการง่วงซึม ถือหนังสือเล่มหนึ่งไว้บนมือ "อ้าว อัญชั--" "ฉันอยากถามเธอเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันได้รู้มา!" อัญชันตะโกนตัดคำพูดของดาวเรืองเอาไว้ จนทำให้เธอรู้สึกช็อคไปเล็กน้อย กุหลาบก็เช่นกัน เธอไม่เคยเห็นท่าทีแบบนี้ของอัญชันเลย "เอ่อ เรื่องอะไรล่ะ" อัญชันจับไหล่ทั้งสองข้างของดาวเรือง ก่อนจะพูดพร้อมกับเขย่าร่างกายของเธอ "เปลวไฟสีดำที่ไม่มีวันดับ พอจะหาข้อมูลเกี่ยวกับมันได้ไหม" "ก็ได้อยู่หรอก แต่เธอปล่อยฉันก่อนได้ไหมเนี่ย.." ผ่านไปไม่นานนัก.. "ขอถามนะ..มันเกี่ยวกับเรื่องของพ่อหนุ่มที่เธอไปเชือดคอมางั้นใช่ไหม..?" ดาวเรืองเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา และท่าทีของอัญชันก็เป็นคำตอบ "ก..ก็ใช่" ท่าทางดูไม่มั่นใจ ดูเขินอายกว่าปกติ แล้วก็อาการกระวนกระวายผิดปกติ ทั้งสองคนที่เห็นแบบนั้นก็เข้าใจได้ทันที ว่าอัญชันกำลังมีอะไรอยู่ภายในใจ "ว้าว ให่ความรู้สึกเหมือนแม่ที่เห็นลูกสาวมีความรักเลยแฮะ" "งั้นฉันคงเป็นพี่สาวสินะ" กุหลาบและดาวเรืองหันมาซุบซิบกัน ก่อนที่พวกเธอจะสรุปได้ว่า เรื่องราวนี้...น่าสนใจ.. "เรื่องของเปลวไฟสีดำฉันยังไม่มีข้อมูลหรอก แต่มีอย่างหนึ่งที่อยากถาม" ดาวเรืองปิดหนังสือของเธอลง ก่อนจะเข้ามาพูดใกล้ๆ กับอัญชัน "เฮ้อ..งั้นเองเหรอ จะถามอะไรล่ะ" "กับเด็กหนุ่มคนนั้น เป็นไงบ้างแล้วล่ะ" "..!!" คำถามนั้นทำให้อัญชันสะดุ้งโหยง เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าวก่อนจะใช้มือพัดไปที่หน้าของตัวเองทันที "บ..บ้าอะไรล่ะ ฉันก็แค่ไปฝึกให้เขาเท่านั้นแหละ!" ดาวเรืองมองหน้ากุหลาบก่อนจะยิ้มให้กัน เธอทั้งสองคนในตอนนี้หัวใจรวมเป็นหนึ่งเดียว "เอ๋ แต่ฉันบอกแค่ให้เธอสอดแนมเองน่ะ แต่ไหงถึงได้บานปลายไปขนาดนั้นกัน" กุหลาบเริ่มเอ่ยแหย่เธอบ้าง ตอนนี้อาการของอัญชันดูลุกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด "คือ..มัน" "แล้วเป็นไงบ้างล่ะ เด็กหนุ่มคนนั้นใช้ไม่ได้เลยใช่ไหม?" "ก็ใช่ แต่ก็..ไม่ใช่นะ เขาก็มีข้อดีอยู่" "งั้นเหรอ แล้วสนใจเขาตรงไหนกันล่ะ" "เอ๊ะ..เรื่องนั้นมัน" การสนทนาแนวเสือตอนวัวดำเนินไปได้สักพัก ก่อนที่อัญชันจะฟิวขาด "ว้ากก!! ถ้าไม่มีข้อมูลอะไรฉันขอตัวล่ะ!!!" เอ่ยเสร็จอัญชันก็รีบออกตัววิ่งออกไปในทันที เธอไม่สามารถทนรับความกดดันจากเรื่องแบบนี้ได้นานนัก กุหลาบที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมา ส่วนดาวเรืองก็เปิดหนังสือของเธอต่อ "ไม่คิดเลยนะว่าจะได้เห็นอัญชันในมุมนี้ เด็กหนุ่มคนนั้นคงมีอะไรดีมากๆ แน่เลย เธอว่างั้นไหม ดาวเรือง" กุหลาบเอ่ยถามเพื่อนของเธอพร้อมกับหันไปมอง แต่สิ่งที่เธอได้เห็นกลับมีเพียงท่าทีของดาวเรืองที่ดูนิ่งไป ตุบ... หนังสือของเธอหล่นลงจากมือ พร้อมกับใบหน้าที่ดูซีดเผือกราวกับเห็นบางอย่างที่ไม่น่าเชื่อเข้า "เกิดอะไรขึ้นน่ะ เธอเป็นอะไรไป.." กุหลาบรีบเข้าไปหาเธอทันทีที่เห็นแบบนั้น ก่อนจะได้ยินเสียงดาวเรืองเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา "ฉันเพิ่ง..ได้ข้อมูลมา...เกี่ยวกับเปลวไฟสีดำนั่น" "ข้อมูล? ข้อมูลอะไร" กุหลาบค้านคัดคำตอบจากดาวเรือง ก่อนที่เธอจะหันมา ตอนนั้นเองที่กุหลาบได้เห็นสายตาหวาดกลัวจากดาวเรือง ทำให้เธอเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น "แย่แล้ว...อัญชันกำลังตกอยู่ในอันตราย" ณ ปราสาทของเมืองชั้นนอกสุดทางตอนใต้ "แย่แล้วครับหัวหน้าซีฟ พวกเราได้รับแจ้งเหตุเกี่ยวกับกลุ่มมอนสเตอร์ปริศนา" ทหารนายหนึ่งรีบมาแจ้งเหตุร้ายต่อหัวหน้าของเขา แต่เมื่อทหารนายนี้มาถึง เขาก็เห็นเพียงห้องที่ว่างเปล่า "ท่านซีฟ? หายไปไห----" ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูดคุย ชายหนุ่มก็ถูกใครบางคนลอบสังหารจากด้านหลัง และชายที่ลอบสังหารเขาคือคนที่ถูกเรียกว่าซีฟ ชายหนุ่มผมสีเทาดูหยุ่งเหยิง "เฮ้อ..บอกแล้วนะว่าแม้จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็อย่าเท่ามาแท้ๆ" ซีฟบ่นพร้อมกับถอนหายใจ ก่อนจะมองไปยังอุปกรณ์บางอย่างที่อยู่ภายในห้องของเขา มันเป็นอุปกรณ์ที่มีควันสีดำอยู่ในขวดแก้ว และมันกำลังขยับเคลื่อนตัวไปมาอย่างน่าขยะแขยง "จะไม่ให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด มีหวังพวกนั่นได้บ้าตายแน่ๆ" ซีฟหยิบสารสีดำในขวดนั่นขึ้นมามอง พร้อมกับเผยรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ออกมา หลังจากที่อัญชันออกมาจากฐานที่มั่นของกลุ่มได้สักพัก เธอก็มาบ่นพึมพำกับตัวเองบนหลังคาบ้าน "ฉันคิดยังไงกับเขางั้นเหรอ..ก็แค่ สนใจนิดหน่อย แค่นิดหน่อยเท่านั้นเอง" "ก็แค่ดูมีความมุ่งมั่น ตอนที่ต่อสู้ก็ตั้งใจแล้วก็เชื่อฟังดี.." "แต่มันก็แค่นั้นเอง ฉันไม่ได้สนใจเขา เอาออกไปจากหัวนะ" อัญชันเอามือทุบหัวของตัวเองเบาๆ เพื่อสลัดความคิด ตอนนั้นเองที่เธอได้สติและได้สังเกตเห็นสิ่งแปลกประหลาด ที่ชายป่าด้านนอกเมือง ได้มีควันสีดำที่เธอคุ้นเคยลอยปกคลุมอยู่ มันเหมือนควันที่ลอยออกมาจากเด็กหนุ่มที่เธอกำลังสอนอยู่ "นี่มัน..." ไม่นานเธอก็ได้เห็นผู้คนมากมายนอนกลิ้งอยู่บนพื้นพร้อมกับส่งเสียงโอดโอย พวกเขาทั้งหมดดูสติแตก ขวัญผวากับบางสิ่งที่ได้เจอ อัญชันเริ่มออกมาตามหาเด็กหนุ่มที่เธอคุ้นเคย แต่สุดท้ายก็ไม่พบว่าเขาอยู่ในเมือง "หรือว่า..อรัญ..." อัญชันหันมองไปทางป่าที่ปกคลุมด้วยควันทมิฬ ก่อนที่เธอจะหยิบมีดคู่ขึ้นมาแล้วพุ่งตรงไปทันที "ขออย่าให้เป็นอะไรตอนที่ฉันไปถึงล่ะ..." ผมเดินฟาร์มมาได้สักพักก่อนจะสัมผัสได้ถึงความเงียบของพื้นที่รอบตัว แถวนี้ไม่ใครออกมาล่ามอนสเตอร์กันเลยงั้นเหรอ ผมหันมองไปรอบๆ เพื่อเช็กความเรียบร้อย และก็เป็นตามคาด ไม่มีใครอยู่แถวนี้เลยจริงๆ แถมความรู้สึกน่าสะอิดสะเอียนรอบตัวนี่ด้วย มันคืออะไรกันแน่นะ..? "โอ้ เจอสถานที่ฟาร์มดีๆ แล้วแฮะ" คูปเอ่ยขึ้นในตอนที่เห็นบางอย่าง ก่อนจะเรียกคนอื่นเข้าไปดู เมื่อเดินไปถึง ก็ได้เห็นดันเจี้ยนหนึ่งตั้งอยู่ ดูจากสภาพน่าจะมีคนเคยเข้าไปแล้วแต่ยังไม่สามารถกำจัดมอนสเตอร์ทั้งหมดภายในนั้นได้ "แต่ถ้ามันยังไม่หายไปแสดงว่ามันอาจจะเป็นดันเจี้ยนที่โหดร้ายไม่ใช่เหรอ แบบนั้นแล้วพวกเราเข้าไปจะดีเหรอ?" เวคเอ่ยขึ้นพร้อมกับความสั่นกลัว และผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน โอกาสที่ดันเจี้ยนนี่จะอันตรายเกินตัวมีอยู่ค่อนข้างสูง แถมความน่าสะอิดสะเอียนที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้อีก "เอาเถอะน่า ไหนๆ ก็ไหนๆ ยังไงนานๆ ทีพวกเราก็จะได้เข้าดันเจี้ยนครั้งหนึ่งนะ" คูปเอ่ยขึ้นแบบนั้น ทำให้ทุกคนในกลุ่มรู้สึกเหมือนกัน มันอาจจะเป็นทางเดียวที่ทำให้พวกเขาได้รับของดีๆ ก็เป็นได้ แต่ภายในใจของผมกลับไม่คิดแบบนั้นเลย มันรู้สึกแย่ราวกับลางร้ายกำลังจะเกิดขึ้น "ยังไงพวกเราก็ทำได้อยู่แล้ว เชื่อมั่นสิพวกเรา!!" "โอ้!!" และเพราะคำปลุกใจนั้น ทำให้พวกเราได้เข้าไปในดันเจี้ยนแห่งนี้ ไม่คิดเลยว่าคำปลอบใจนั่นจะส่งผลแบบนี้..แต่เอาเถอะ อย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้นผมก็จะพาทุกคนออกมาในทันที ผมคิดแบบนั้นในระหว่างที่เดินลึกลงไป โดยที่ไม่รู้เลยว่าปากทางเข้าของดันเจี้ยนในตอนนี้... ..มันได้ปิดลงแล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD