19.57 น.
ณ.สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า
เดือนวาดรูปความฝันของตนลงในสมุดวาดเขียน ด้านข้างมีเด็กชายคนหนึ่งนั่งมองรูปที่เดือนวาดอย่างไม่วางตา
“เดือนอยากเป็นตำรวจเหรอ?”
“อืม...เหมือนพ่อของเราที่เสียไป” เดือนตอบเสียงอ่อย แต่ไม่นานก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง
พ่อของเขาเป็นตำรวจ ขณะปฏิบัติหน้าที่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน พรากชีวิตของพ่อไป
ส่วนแม่เดือนไม่เคยเจอ และตอนนี้เป็นเช่นใด เดือนไม่รู้ เขาไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน
หลังพ่อเสียเลยต้องมาอยู่ที่นี่ แต่ด้วยความที่พ่อสอนมาดี เดือนเลยไม่คิดว่า ชีวิตในบ้านเด็กกำพร้าย่ำแย่ เขามีความสุข มีเพื่อนมากมาย และเขาไม่ต้องการผู้อุปการะ
“อ้าวเดือนเก็บสมุดทำไม...ไม่วาดรูปต่อแล้วเหรอ” อิง หนุ่มน้อยรุ่นเดียวกับเดือนเอียงคอถามด้วยความสงสัย เดือนไม่ตอบในทันที
ลุกจากโต๊ะทำการบ้าน ถือสมุดวาดรูปไปซ่อนใต้หมอน ปัดที่นอนเล็กน้อยแล้วนอนลง
“อีกหนึ่งนาทีก็ได้เวลานอนแล้ว...ถ้านายไม่รีบไปนอน โดนแม่แก้วบ่นไม่รู้ด้วยนะ”
ในบ้านเด็กกำพร้า อาสาสมัครผู้หญิงทุกคนจะแทนตัวเองว่าแม่ ผู้ชายแทนตัวเองว่าพ่อ เดือนและเด็กคนอื่นๆ จึงเรียกพวกเขาว่าแม่พ่อ
อิงมองนาฬิกาติดผนัง เข็มสั้นเคลื่อนไปเรื่อยๆ เวลาคล้ายนับถอยหลัง
อิงตัวสั่นสะท้านวิ่งไปที่เตียง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน มุดเข้าใต้ผ้าห่ม นอนตัวแข็งทื่อ หลับตาปี๋
เวลาสองทุ่ม แก้วเปิดประตูทีละห้องเพื่อดูว่าเด็กๆ รู้เวลาแล้วขึ้นเตียงนอนกันหรือยัง
เด็กส่วนใหญ่กลัวเสียงใหญ่ๆ ของเธอ พากันแกล้งหลับอยู่บนเตียง บางคนก็หลับจริง
เมื่อเธอจากไป เดือนที่แกล้งหลับประมาณสี่นาทีลืมตา หยิบสมุดวาดภาพ ดินสอ แล้วไปที่หน้าต่าง บ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ พื้นที่กว้างขวาง
เด็กเล็กนอนรวมกัน ส่วนเด็กอายุแปด เก้าขวบนอนห้องละสองคน
“เดือนจะไปไหน”
“ถ้าจะไปด้วยก็ตามมา...เงียบๆ ล่ะ”
เดือนชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่าง มองซ้ายขวา เมื่อไม่เห็นผู้ใหญ่อยู่ด้านนอก เดือนนำอิงปีนหน้าต่าง พากันเดินย่องไปที่สวนหย่อม
เสาไฟข้างทางส่องสลัว พวกเขาเดินลึกเข้าไปในเงามืดของใต้ต้นไม้ที่คล้ายปากปีศาจ
เดือนไม่เชื่อเรื่องผีสาง ถ้ามีจริง ป่านนี้พ่อคงมาหาเขาแล้ว อิง ด้านความคิดยังเด็กสมวัย กลัวจนตัวสั่น เดินติดหลังเดือนที่สูงกว่าหน่อย
“เดือน พวกเรามาไกลไปแล้วมั้ง”
“ไกลตรงไหน ก็กำลังจะไปที่ประจำนั่นแหละ” เดือนจ้ำอ้าว นอกจากความฝันที่อยากเป็นตำรวจแล้วอีกอย่างที่เขาชื่นชอบคือวาดรูป
เวลาจับดินสอ และได้ขีดๆ เขียนๆ ให้เป็นรูปเป็นร่าง เหมือนได้ปลดปล่อยตัวตน
หลังอาสาสมัครบ้านเด็กกำพร้าตรวจห้องเสร็จ เดือนจะแอบมาที่นี่โดยมีอิงตามมาด้วยประจำ แล้วกลับไปนอนตอนสี่ทุ่มกว่าๆ
“กระสุนเหลืออีกกี่นัด?”
เดือนชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงไม่คุ้นเคย อิงที่ตามหลังมาติดๆ ใบหน้าเล็กกระทบแผ่นหลัง
“เดือนหยุดทำไม?”
“ชูว์!” เดือนมองหาที่มาของเสียง เขาเห็นเงาตะคุ่มๆ อยู่หลังต้นไม้ใหญ่ไม่ไกล แอบย่องไปดูไกลๆ ว่าใช่โจรที่มาขโมยมะม่วงหรือเปล่า
ช่วงนี้เขาได้ยินพวกแม่ๆ บ่นกันว่าใครไม่รู้แอบมาขโมยมะม่วงในสวนหย่อม เกือบหมดต้น
“เดือนจะไปไหน” อิงถามเสียงเบาไม่หยุด
“จับโจร...นี่ๆ ถ้าเราบอกให้นายแหกปาก ก็แหกปากดังๆ เลยนะ ให้แม่ๆ กับรปภได้ยิน”
“อืมๆ” อิงไม่ค่อยเข้าใจ แต่เรื่องแหกปากนี่เขาถนัดเลยล่ะ และเขาก็เป็นคนที่เสียงดังมาก
“เหลือนัดเดียวว่ะ”
วัตน์ตอบ หน้าตาเคร่งเครียด เขากับนันหนีตายกันเข้ามาที่สวนหย่อมของบ้านเด็กกำพร้า
ทั้งสองรู้ดีว่าสถานที่แห่งนี้คือบ้านเด็กกำพร้า เนื่องจากนันหนุ่มหล่อเหลา ลูกครึ่งไทยเกาหลี อายุเพียงสิบเก้าปีเท่านั้น
แต่ได้ขึ้นครองตำแหน่งหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในย่านนี้
เขาเคยอยู่บ้านเด็กกำพร้ามาก่อนและตอนนี้เขาเป็นผู้สนับสนุนหลักของบ้านเด็กกำพร้านี้
เพราะไม่ใช่ลูกแท้ๆ และพ่อบุญธรรมรับเด็กกำพร้าไปเลี้ยงดูฟูมฟักหลายคน การที่นันได้เป็นหัวหน้าแก๊ง จึงไปขัดขาคนพวกนั้น
เมื่อตะกี้เขาเพิ่งโดนลูกน้องคนหนึ่งหักหลัง ถูกหลอกพาไปฆ่า โชคดีที่ไหวตัวทัน
“เชี่ยย! กูผิดเองที่ไปเชื่อพวกมัน”
“อย่าโทษตัวเองเลย ใครจะไปคิดวะ ว่าคนที่เติบโตมาด้วยกันจะเหี้ยแบบนี้”
วัตน์ก็เป็นหนึ่งในลูกบุญธรรม แต่ไม่เคยเสียใจที่พ่อไม่เลือกตน คิดว่านันมีคุณสมบัติที่คู่ควรเป็นหัวหน้ามากกว่าพี่ๆ น้องๆ ทุกคน
“วัตน์” นันเงียบไปแป๊บ พร้อมมองหน้าเพื่อนที่นับถือกันเหมือนพี่น้องคลานตามกันมา
“เอาปืนของมึงมาให้กู ส่วนมึงเอาของกูไป ในนี้มีสี่นัด หาทางกลับไปที่บ้านให้ได้ ไปบอกไอ้ช้างให้ไปจัดการพวกมันซะ”
“แล้วมึงล่ะ?”
“ไม่ต้องห่วงกู...ถ้ากูตาย ฝากดูแลพวกมันด้วย” นันหมายถึงพวกลูกน้อง เขาเลี้ยงลูกน้องเหมือนพี่น้อง ทำให้ทุกคนรักและเคารพนันมาก
“...ก่อนตายกูอยากแดกมะม่วงว่ะ ไอ้วัตน์น้องพี่ เก็บให้พี่หน่อย” นันพูดติดตลก
“กูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ตายก็ตายด้วยกัน” พูดจบ วัตน์หยิบกิ่งไม้ยาวๆ ที่อยู่ไม่ไกลมาสอยมะม่วง เขาเล็งมะม่วงที่อยู่ไม่สูงนัก พลางพูด
“เสียดายว่ะ ยังไม่ทันมีเมียมีลูกก็จะตายห่าซะล่ะ!” วัตน์บ่น พลันได้ยินเสียงสวบสาบ ดังอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขายืนอยู่
ทั้งสองพร้อมใจกันหัน คิดว่าพวกนั้นตามหาพวกเขาเจอแล้ว ทว่าไม่ใช่...
“อิงแหกปาก!!” เดือนเอ่ย ทันทีที่แน่ใจแล้วว่าผู้ใหญ่ตัวโตสองคนนี้มาขโมยมะม่วง!
“...” อิงที่สัญญากับเดือนเป็นมั่นเหมาะว่าจะช่วยกันจับโจร ร้องไม่ออก ผละถอยหลัง
เดือนจึงต้องจัดการเรื่องนี้แทน ขณะกำลังอ้าปาก นันพุ่งพรวดรวบเดือนจากด้านหลังด้วยแขนเพียงข้างเดียว อุ้มเด็กที่สูงแค่เอวขึ้น
“ไอ้หนูอย่าเสียงดัง!” นันพูดเสียงอ่อนโยน พร้อมปิดปากเด็กที่ดิ้นไปมาในวงแขน
“อ๊ากกก!!” จู่ๆ อิงก็แหกปากลั่น ขณะหมุนตัววิ่งหนีไปที่ห้องพัก วัตน์รีบเข้าไปคว้าตัวไว้
ทว่าไม่ทันเสียแล้ว เขาได้ยินเสียงคนแตกตื่น ดังมาจากหอพักเด็กกำพร้า ไม่ถึงหนึ่งนาทีจิตอาสาที่คอยดูแลที่นี่ยามราตรี ถือไฟฉาย พากันยกโขยงออกมาตามหาต้นตอของเสียง
“มึงๆ เอายังไงดี?” วัตน์ลนลาน
“ตามมา” นันเดินนำ ตอนแรกวันต์คิดว่านันจะเดินย้อนกลับไปทางที่หนีมา แต่เปล่าเลย
นันเดินนำไปหาคนที่กำลังยกโขยงมาที่นี่ วันนี้นันใส่ชุดสูทสีเรียบร้อย สมฐานะหัวหน้าแก๊งมาเฟีย วัตน์ ไม่ต่างกัน แต่งตัวดูดี
ความหล่อสูสี กินกันไม่ลง
“เอ้า! แม่แก้ว” นันทำเสียงตกใจเล็กน้อย “ยังสาวยังสวยเหมือนเดิมเลยนะครับ” ตอนที่นันวัตน์อยู่ที่นี่ เธอเป็นแค่เด็กแปดขวบเท่านั้น
ซึ่งอายุไม่ต่างจากพวกเขาในตอนนั้น เธอไม่ใช่เด็กกำพร้า เป็นลูกของจิตอาสา รู้จักและคุ้นเคยกัน และเธอก็รู้ดีว่านันมอบเงินให้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ปีหนึ่งหลายล้านบาท
เพราะเขาสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้จึงใหญ่โตและอุดมสมบูรณ์กว่าหลายที่
เธอประหม่าเล็กน้อย “เอ่อ คุณอนันตะชัยมาทำอะไรที่นี่ในยามวิกาลแบบนี้เหรอคะ”
“เรียกนันก็พอแล้วครับ”
“ได้ไงกันก็คุณ” เธอพูดตะกุกตะกัก
“ผมไม่ถือสาหรอกครับ เรียกนันเหมือนเดิมนะ คนดีของผม” เรื่องเอาใจคนนันถนัด
“กะ...ก็ได้ค่ะ คุณมา เอ่อ...นันมาทำไรที่นี่เหรอคะ” เธอยังคงไม่ชิน
“ผมอยากอุปการะเด็กกำพร้าสักคนน่ะครับ” นันยิ้มกรุ้มกริ่ม “เด็กที่ชอบหนีออกจากห้องยามวิกาลแบบนี้ผมชอบ เอาคนนี้เลยครับ”
“อือ” เดือนส่ายหน้ารัว ยังคงโดนปิดปาก
“วัตน์มึงจะเอาสักคนไหม?” นันถามเพื่อน
“เอ่อ เอาคนนั้นละกัน” วัตน์ชี้ไปที่อิง
.
.
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวคืนนี้กูจะสั่งสอนมึงเอง”
“ด้วยเอ็นอุ่นๆ”