บท 2

1983 Words
2 อาจเพราะนกฮูกตัวนี้ไม่ใช่นกฮูกป่า แต่เป็นนกฮูกที่ถูกมนุษย์เลี้ยงดูเอาไว้เพื่อใช้งาน นั่นจึงทำให้มันค่อนข้างเฉลียวฉลาดแถมยังอยู่เป็นด้วย ต่อให้ตอนก่อนหน้านี้มันจะมองฟลินเหมือนไม่ชอบขี้หน้ากันก็ตาม แต่สุดท้ายพอนกฮูกที่แสนเซ่อซ่าได้กินอาหารจากเขา มันก็มีท่าทีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดแถมยังอยู่นิ่ง ๆ คอยจ้องมองทุกการกระทำของเขาทั้งตาแป๋ว ขณะที่ฟลินกำลังจับมันพลิกไปมาเพื่อหาบาดแผล “โชคดีนะเนี่ยที่แกไม่มีบาดแผลที่ไหนน่ะ” “แต่ไหนฉันขอดูปากของแกหน่อยซิ มันมีรอยอะไรหรือเปล่า?” เพราะตอนที่มันชนเข้ากับหน้าต่างห้องเขา ปากของมันคงจะกระแทกเต็มแรงจนทำให้เกิดอาการมึนงงแน่ ฟลินจึงบอกเจ้านกฮูกออกไปแบบนั้น แล้วพยายามใช้สายตาเพ่งมองตามปากแหลมสีดำปนเหลืองของมันอย่างใกล้ชิด “ตรงนี้ก็ไม่มีแผลเหมือนกัน” “อันที่จริงแกก็ไม่ได้มีบาดแผลตรงไหนด้วยซ้ำ แต่ทำไมแกถึงบินไม่ขึ้นล่ะ” ฟลินพึมพำอย่างไม่เข้าใจ ขณะที่ตัวมันเองก็เอียงคอมองเขาคล้ายต้องการจะถามกลับว่าเขาข้องใจอะไรกับมัน “เอาล่ะ แล้วจดหมาย อ๊ะ!” ในจังหวะที่ฟลินกำลังจะหยิบจดหมายที่มันคาบมาด้วยขึ้นมาดู ทันใดนั้นเขาก็ต้องส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ เมื่อเจ้านกฮูกได้ใช้ปากแหลมคมของมันงับเข้าที่นิ้วของเขาด้วยความรวดเร็ว เหมือนมันไม่ต้องการให้เขาสัมผัสกับจดหมายฉบับนั้น และไม่ว่ามันจะเป็นความตั้งใจหรือไม่ก็ตามแต่ แต่ที่แน่ ๆ การกระทำของมันได้ทำให้ปลายนิ้วชี้ของฟลินมีเลือดซึมออกมาราวกับคนที่เพิ่งถูกปลายเข็มทิ่ม ซึ่งพอตัวมันเองมองเห็นเลือดสีแดงสดของเขา เจ้านกฮูกที่หวงจดหมายของตัวเองยิ่งชีพก็เบิกตาโพลง คล้ายกับตัวมันเองก็ตกใจไม่ต่างกัน “แล้วแกจะหวงอะไรขนาดนี้เนี่ย ฉันก็แค่จะหยิบมันมาให้แกเอง ไม่ได้จะเปิดอ่านสักหน่อย” เนื่องจากบาดแผลมันเล็กนิดเดียว ฟลินจึงไม่ได้ทำอะไรนอกจากการหันไปพูดกับเจ้านกฮูกทั้งคิ้วขมวด “ถ้าแกไม่อยากให้ฉันแตะนัก งั้นก็คาบเองสิ” ฟลินพูดต่อพลางปรายสายตามองไปทางซองจดหมาย เพื่อบอกให้นกฮูกแสนเซ่อคาบจดหมายเอง โดยความเฉลียวฉลาดที่มันมีก็ได้สร้างความประหลาดใจให้กับเขาอีกครั้ง เมื่อมันค่อย ๆ กระโดดไปยังซองจดหมายที่ถูกวางไว้บนโต๊ะแล้วคาบขึ้นมาอย่างระมัดระวัง และหลังจากที่มันคาบซองจดหมายขึ้นมาแล้ว เจ้านกฮูกก็ได้หันมองมาทางเขาอีกครั้งเหมือนตั้งคำถามว่าจะเอายังไงต่อ “นี่เจ้าของแกคงเก่งมากเลยสินะเนี่ย แกถึงได้ฟังคำพูดฉันรู้เรื่องขนาดนี้” ฟลินเอ่ยและยังคงจ้องมองมันด้วยสายตาตกตะลึงตามประสาคนที่ไม่เคยเจอสัตว์ชนิดไหนแสนรู้เท่านี้มาก่อน เพราะขนาดหมาที่บ้านเขา นอกจากคำว่ากินข้าวและออกไปข้างนอกแล้ว มันก็ฟังอะไรไม่ออกเลย จริงอยู่ที่ในบางจังหวะเจ้านกฮูกสามารถบินมาเกาะไหล่เกาะแขนเขาได้ แต่ในการบินระยะไกลมันก็ยังไม่สามารถทำได้เช่นเดิม นั่นจึงทำให้ฟลินจำเป็นต้องรับเลี้ยงมันก่อนชั่วคราว และเขาก็ตั้งใจว่าเขาจะพามันไปยังโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าตรู่ ถือเสียว่าช่วยเหลือมันในฐานะเพื่อนร่วมโลก “เดี๋ยววันพรุ่งนี้ฉันจะพาแกไปหาหมอนะ ส่วนคืนนี้แกก็นอนอยู่ในกล่องนี้ไปก่อนแล้วกัน” เมื่อหากล่องกระดาษขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กมาให้มันได้แล้ว ขณะที่ฟลินกำลังจะเคลื่อนย้ายเจ้านกฮูกพร้อมกับซองจดหมายของมันลงใส่กล่องกระดาษ เขาก็ไม่ลืมที่จะพูดกับมันไปด้วย เผื่อว่ามันจะเป็นอีกครั้งที่เจ้านกฮูกเข้าใจคำพูดของเขา “ระหว่างที่ฉันนอน แกก็อยู่ในนี้แบบเงียบ ๆ ไปนะ ห้ามสงเสียงรบกวนเด็ดขาดหรือถ้าแกคิดว่าแกกลับมาบินได้เหมือนเดิมแล้ว ก็บินออกไปได้เลย เพราะคืนนี้ฉันจะไม่ปิดหน้าต่าง โอเค๊?” ฟลินบอกมันอีกครั้ง เมื่อตอนนี้มันใกล้จะถึงเวลาที่เขาต้องพักผ่อนแล้ว โดยเขาก็เลือกที่จะนำเอากล่องกระดาษที่ข้างในมีนกฮูกตัวจ้อยไปไว้ตรงบริเวณมุมโต๊ะอ่านหนังสือของเขาที่อยู่ติดกับขอบหน้าต่างห้อง เพื่อให้สะดวกต่อมันมากที่สุด “ฝันดี” และพอเขาคิดว่าคืนนี้มันไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงแล้ว นาทีต่อมาฟลินถึงค่อยเดินไปทิ้งตัวยังเตียงนอนของตัวเอง เนื่องจากวันนี้เขาค่อนข้างที่จะเพลียมากเพราะมันเป็นวันแรกที่ฟลินเพิ่งกลับมาถึงบ้าน ในโลกของคนทั่ว ๆ ไป ฟลินก็เป็นหนึ่งในมนุษย์เป็ด… เขาคือคนที่มีความสามารถหลากหลายแต่เก่งไม่สุดสักอย่าง นั่นจึงทำให้ระหว่างการเรียนมหาลัยประจำของเขา เขาได้ไปอยู่ในบ้านแซฟฟรอน (Saffron) บ้านที่รวบรวมเหล่ามนุษย์เป็ดที่เป็นฟันเฟืองสำคัญของสังคมเพราะมีจำนวนมากอย่างไม่ต้องสงสัย ฟลินมีฐานะปานกลาง บ้านของเขาเปิดเป็นร้านเบเกอรีเล็ก ๆ ในเมืองหลวง เขาไม่ใช่คนเรียนเก่งหรือมีผลการเรียนโดดเด่นต่างจากใคร เขาจึงได้เข้าไปอยู่ในบ้านแซฟฟรอน ขณะที่คนอื่น ๆ ที่อาจจะมาจากตระกูลเก่าแก่มีอำนาจ มีเงินทองหรือมีสติปัญญาที่เฉียบแหลมจะได้ไปอยู่ตามบ้านต่าง ๆ ตามลักษณะความโดดเด่นของตัวเอง มหาลัยที่เขากำลังร่ำเรียนอยู่ในตอนนี้ มันค่อนข้างแตกต่างจากที่อื่น ๆ เพราะมันเป็นมหาลัยประจำ กินนอนอยู่ที่นั่นตลอดทั้งปีการศึกษา ทว่าใคร ๆ ก็อยากเข้าเรียนในมหาลัยนี้กันทั้งนั้น ไม่ใช่เพียงเพราะมันแตกต่างไม่เหมือนใคร แต่มันเป็นเพราะมหาลัยแห่งนี้เป็นแหล่งคอนเนกชั่นชั้นดีต่างหาก ผู้คนมากมายรวมถึงมนุษย์เป็ดอย่างฟลินจึงคาดหวังที่จะให้ตัวเองได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในมหาลัยนี้ เพราะคอนเนกชั่นหลาย ๆ อย่างที่เขาจะได้รับจากที่นี่ มันจะนำพาให้เขาได้ทำงานในบริษัทชั้นนำที่อาจจะเป็นธุรกิจของคนบ้านใดบ้านหนึ่งที่ไม่ใช่ธุรกิจของคนในบ้านแซฟฟรอน ฟลินไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกคนในบ้านของตัวเองแต่อย่างใด แต่เขาก็แค่คิดว่าถ้าบ้านเป็นเจ้าของบริษัทชั้นนำจริง ๆ ก็ไม่น่าจะได้มาอยู่บ้านเดียวกับเขาแล้ว เช้าวันต่อมา “อ้าว บินไปแล้วเหรอหรือว่าหายไปไหน” ตอนเช้าของวันต่อมา ทันทีที่ฟลินโงนเงนลุกขึ้นจากเตียงเพราะกลิ่นขนมปังที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ ๆ รบกวนการพักผ่อนของเขา สิ่งแรกที่ฟลินทำนั่นก็คือการหันไปมองกล่องกระดาษที่ข้างในมีนกฮูกอยู่ในนั้น ทว่าตอนนี้เจ้านกฮูกที่ควรจะยืนทำตาแป๋วรอเขาอยู่ มันกลับได้หายออกไปจากกล่องแล้ว โดยนั่นก็ทำให้ฟลินรีบหันมองซ้ายขวาและกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องนอนของตัวเองอย่างละเอียด เผื่อว่ามันจะไม่ได้บินหนีไปไหน เพียงแต่ความซุกซนของมันทำให้เจ้านกฮูกบินไปเกาะตรงพื้นที่อื่นในห้องแทน “ไม่อยู่แล้วจริง ๆ ด้วยแฮะ ถ้างั้นฉันก็หวังว่าแกจะไม่ทำตัวเซ่อซ่าอีกนะ” เมื่อกวาดสายตามองอย่างละเอียดแล้วและเขาไม่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากตัวเอง เขาจึงเอ่ยออกไปแบบนั้น ขณะเดียวกันฟลินเองก็นึกเสียดายอยู่ไม่น้อยที่เขาตื่นมาไม่ทันจะได้เห็นภาพตอนที่เจ้านกฮูกส่งจดหมายโบยบินออกจากห้องเขาไป กิจวัตรประจำวันของฟลินในช่วงที่เขาปิดเทอมและกลับมาที่บ้าน คือการรับบทเป็นพนักงานขายขนมปังให้กับลูกค้าทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าที่แวะเวียนเข้ามาอุดหนุนกันทั้งวัน ฟลินชื่นชอบการได้พบเจอกับผู้คนมาก เขาชอบเวลาที่ตัวเองได้แนะนำชนิดขนมปังต่าง ๆ ที่ตั้งขายอยู่ในร้าน เพราะงั้นตลอดทั้งการขายของตั้งแต่ที่ร้านเปิดยันร้านปิด ใบหน้าของฟลินจึงมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่ตลอดเวลา “เมื่อคืนนี้ลูกลงมาหยิบอะไรไปจากตู้เย็นน่ะ” ตอนเย็นของวัน หลังจากที่ปิดร้านเรียบร้อยแล้วและคนในครอบครัวก็กำลังนั่งทานข้าวกันตามปกติ แม่ของฟลินก็ถามขึ้น เมื่อเนื้อสัตว์บางส่วนหายไปจากตู้เย็น “ผมลงมาเอาน้ำเปล่าและก็เนื้อครับ” ฟลินตอบเธอไปตามตรง “เนื้อ?” แม่ทวนคำพูดเขา “ใช่ครับ พอดีเมื่อคืนนี้มีนกฮูกส่งจดหมายบินมาชนหน้าต่างห้อง ผมกลัวว่ามันจะหิว ผมเลยหยิบเนื้อขึ้นไปให้มันกินครับ” “สมัยนี้ยังมีคนใช้นกส่งสารอยู่เหรอ” คราวนี้พ่อที่เป็นคนอบขนมปังเก่งที่สุดในโลกเอ่ยขึ้นบ้างด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “พ่อพูดเหมือนไอด้าเลยครับ” “แล้วตอนนี้นกฮูกที่ว่าอยู่ที่ไหน ลูกพามันไปหาหมอหรือยัง?” แม่ยิงคำถามใหม่มาให้กัน “ตอนนี้มันบินออกไปแล้วครับ บินหนีไปตั้งแต่เช้าแล้ว” เวลาต่อมาหลังจากที่การทานอาหารมื้อเย็นร่วมกับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาจบลงแล้ว ฟลินก็เดินกลับขึ้นมาบนห้องนอนส่วนตัวทั้งอาการเหนื่อยล้า เขาไม่มัวทำตัวโอ้เอ้อะไรทั้งนั้น เพราะเมื่อเขาปิดประตูห้องได้ ฟลินก็รีบถอดเสื้อผ้าท่อนบนออกเตรียมจะไปอาบน้ำแล้วกระโดดขึ้นเตียงอุ่นของตัวเอง ทว่าในจังหวะเดียวกันนั้นมันก็มีเสียงบางอย่างดังขึ้นที่หน้าต่างห้องนอนตรงจุดเดิม …อีกแล้ว ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เพราะจู่ ๆ มันก็มีเสียงเคาะหน้าต่างห้องแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย นั่นจึงทำให้ฟลินเผลอสะดุ้งตัวเล็กน้อยด้วยอารมณ์ตกใจ ก่อนที่เขาจะหันมองไปทางต้นเสียง เพื่อที่จะได้เห็นว่าเจ้านกฮูกตัวเดิมที่ในปากของมันคาบซองจดหมายเอาไว้อยู่กำลังยืนทำสายตาบ้องแบ๊วใส่กัน “มาอีกแล้วเหรอ” เมื่อเห็นอย่างนั้นฟลินก็พูดขึ้นทันที โดยในนาทีเดียวกันเขาก็เดินไปเปิดหน้าต่างให้มันทั้งอาการงุนงง หลังเจ้านกฮูกพยายามเคาะหน้าต่างเรียกเขา “แกให้ฉันเหรอ” ฟลินถามมันอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ หลังคราวนี้มันได้เอาจดหมายวางไว้บนมือเขา เหมือนต้องการมอบจดหมายซองนี้ให้ “แกให้ฉันจริง ๆ ใช่ไหม” เขาถามย้ำอีกครั้ง เพราะเกรงว่าตัวเองจะเข้าใจผิดแล้วถูกมันงับอีก ฟลินกับมันจ้องมองกันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเปิดซองจดหมายนั้น เพื่ออ่านข้อความข้างใน ‘พี่ชื่ออะไรเหรอครับ’ ‘ผมชื่อวินซ์นะ’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD