บทที่11

1034 Words
“เฮียเฟิงให้ผมมาดูแลความปลอดภัยของคุณ” ได้ยังดังนั้นฉันก็แทบทรุดตัวลงคาไม้เท้า นั่นเพราะโล่งใจที่คนแปลกหน้าพวกนี้ไม่ใช่โจร ฉันกลัวมากๆ ถ้าคนเหล่านี้เป็นมิจฉาชีพจริงๆ ฉันตาบอดอย่างฉันคงสู้ไม่ได้ ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ “เฟิงไปไหน พวกนายรู้รึเปล่า” แม้พวกเขาจะเป็นคนของเฟิงแต่ฉันก็ยังวางใจไม่ได้ ฉันจะสบายใจก็ต่อเมื่อได้เจอเฟิงเท่านั้น “นายไม่ได้บอกครับ ผมว่าคุณหนูเข้าไปพักในห้องก่อนดีกว่า” ใครบางคนในกลุ่มนั้นเข้ามาจับแขนฉันไว้! ฉันสะดุ้งรีบสะบัดแขนและถอยห่างทันที ฉันไม่ไว้ใจและรู้สึกหวาดกลัวมาก ร่างกายสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ฉันได้ยินเสียงใครบางคนเข้ามาใกล้ เลยรีบเดินไปที่บันไดโดยมีไม้เท้าเป็นตัวบอกทาง “คุณหนูหงส์จะไปไหนครับ ข้างหน้าเป็นบันไดนะครับ” พวกนั้นเดินตามฉันมาติดๆ อาจจะเพราะด้วยความเป็นห่วง แต่ฉันอยากออกไปจากที่นี่ อยากไปในที่โล่งๆ อย่างน้อยก็มีทางหนีทีไล่ที่ดีกว่าในคฤหาสน์ พวกนั้นบอกว่าข้างหน้าเป็นบันได ฉันเลยกวาดมือไปข้างๆ เพื่อรอสัมผัสกับราวบันได พอแตะถูกปุ๊บ ฉันก็รีบลงมาอย่างระมัดระวัง คนพวกนั้นตะโกนไล่หลังแทบจะตลอดเวลา แต่ฉันไม่สนใจ ขอแค่ได้ออกไปข้างนอกพอ พอลงมาถึงข้างล่างปุ๊บ ฉันก็เดินต่อไปยังประตูหน้าบ้านซึ่งกำลังเปิดอ้าไว้ดู ฉันรับรู้ได้จากเสียงฝนและสายลมอ่อนที่พัดเข้ามา ซ่า....... ฉันออกมายืนหอบอยู่กลางสายฝนที่ชุ่มฉ่ำ เหมือนว่าคนของเฟิงจะหยุดอยู่ที่ชานหน้าบ้าน เสียงบ่นปอดแปดดังแว่วมาคละเสียงฝนฉันเลยฟังไม่ค่อยถนัด “คุณหนูครับ เข้าไปข้างในเถอะ” พวกนั้นเข้ามาจับตัวฉันไว้เพื่อพาเข้าไปในบ้าน “ปล่อย อย่ามายุ่งกับฉัน!” ฉันสะบัดแขนต่อต้านดิ้นรนจนถึงที่สุด พวกนั้นยื้อไว้อยู่พักนึกแต่คงเห็นว่าฉันไม่มีทีท่าจะยอม เลยกลับขึ้นไปยืนที่ชานบ้านเพื่อหลบฝน ฉันหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อถูกปล่อยตัวให้เป็นอิสระ ฉันยืนนิ่งๆ กลางสายฝนจนลมหายใจเป็นปกติ และคิดว่าพวกนั้นคงไม่มายุ่งด้วยแล้ว ฉันเงยหน้าขึ้นฟ้าเพื่อซึมซับความเย็นจากหยาดน้ำ ทำให้หวนคิดถึงความทรงจำที่แสนสุข ช่วงเวลาฝนตกเคยเป็นเวลาที่ฉันชอบมาก แต่ตอนนี้มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกหดหู่มากที่สุด เรื่องเดียวที่ไม่เคยทำให้ฉันมีน้ำตาคือ....ครอบครัวที่แสนสุข แต่ตอนนี้ฉันกำลังหลั่งน้ำตาไปพร้อมกับสายฝนที่ไหลรินลงใบหน้า ความเศร้า ความกลัว ความหดหู่ ซึมซับไปกับสายน้ำที่ไหลอยู่เบื้องล่าง บนโลกนี้จะมีใครโชคร้ายได้มากกว่าฉันอีกมั้ย ที่ต้องสูญเสียเกือบทุกอย่างในเวลาเดียวกัน ฉันยื่นมือออกไปรองน้ำฝนแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พยายามนึกก้อนเมฆยามฝนตก มันคงดำมืดไปหมดเหมือนดวงตาของฉันสินะ ฉันอยากที่จะเข้มแข็งและมีชีวิตอย่างสง่างาม แต่ดูสภาพของฉันตอนนี้สิ ก็แค่หญิงสาวตาบอดไร้ประโยชน์ที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ลึกๆ ในใจฉันหวังว่ามันเป็นฝันร้าย พอลืมตาตื่นขึ้นมาทุกอย่างที่เผชิญก็จะหายไป แต่มันไม่ใช่เลย ไม่ว่าหลับหรือตื่น....ก็มีแต่ความมืดดำ ถ้ามีครอบครัวอยู่ข้างๆ ฉันคิดว่าคงปรับตัวใช้ชีวิตได้ง่ายกว่านี้ ป๊ากับม๊าจะทำทุกทางให้ฉันอยู่ได้อย่างมีความสุข แต่ตอนนี้พวกท่านไปอยู่บนฟ้าแล้ว ป๊าม๊ากำลังมองลงมาอยู่รึเปล่านะ…. เห็นหนูมั้ยคะ เห็นรึเปล่าว่าหนูมีสภาพที่น่าเวทนาขนาดไหน ทำไมไม่พาหนูไปอยู่ด้วย ทำไมต้องให้หนูรอดแต่ต้องอยู่อย่างทรมาน ฮึกก หนูคิดถึงเหลือเกิน ฮีกก ป๊า...ม๊า เนินนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ฉันยืนร้องไห้อยู่กลางสายฝน ในขณะที่รู้สึกเหมือนจะขาดใจ ฉันได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถแว่วผ่านเข้ามากลางสายฝน ใครบางคนเดินมากระชากแขนจนฉันซวนเซเพราะร่างกายเริ่มไร้เรี่ยวแรงลงทุกที “อย่ามายุ่งนะ” เสียงพูดของฉันแทบจะกลายเป็นเสียงลม รู้ดีว่าถ้าคนคนนี้ปล่อยมือฉันต้องลงไปกองกับพื้นแน่ๆ แต่เขาเป็นใครล่ะ ไว้ใจได้แค่ไหน แต่มันก็แทบไม่ต่างอะไรกัน ฉันรู้ตัวว่าใกล้จะหมดสติเต็มทีแล้ว “ออกมาทำอะไรตรงนี้” ทันทีที่เขาพูดฉันก็รู้ทันทีว่าเป็นเฟิง ฉันรีบใช้มือยึดตัวเขาเอาไว้ “เฟิงนายไปไหนมา คะ คนพวกนั้นเป็นใคร ฉันกลัวนะเฟิง นายอย่าไปไหนอีกนะ” ฉันเกาะแขนเขาเอาไว้แน่นเหมือนกลัวว่าถ้ายึดไว้ไม่ดีเขาจะหายตัวไปในทันที “สองคนนั้นเป็นคนของฉันเอง เธอไม่ต้องกลัว” เฟิงบอกพร้อมกับพยายามดึงฉันออกจากตัวของเขา แต่ฉันไม่ยอมขยับไปไหน ตอนนี้ฉันรู้สึกหนาวจนสั่นไปทั้งตัว หนาวไปถึงขั้วหัวใจ “นี่ เธอ...หงส์” เฟิงประคองฉันไว้เมื่อร่างฉันเริ่มทรุด เพราะอะไรไม่รู้ฉันไม่มีแรงจะควบคุมตัวเอง มันอ่อนแรงไปหมดแถมเสียงต่างๆ รอบตัวเหมือนค่อยๆ ห่างออกไปจนกลายเป็นเสียงแว่วจากที่ไกลๆ ฉันรู้สึกชาไปทั้งร่างกาย รู้สึกว่าเฟิงทำอะไรบางอย่างกับใบหน้าแต่การรับรู้ของฉันเหลือน้อยลงไปทุกที ได้ยินเขาเรียกชื่ออีกสองสามครั้ง จากนั้นสติฉันก็ดับวูบลง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD