ตอนที่5(เบื้องหลังของซูเปอร์สตาร์)

1748 Words
พรึบ ตุ๊บ “โอ้ย!”ฉันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดที่ฉันมัวแต่วิ่งแล้วก็วิ่งจนฉันมาชนเข้ากับใครสักคนที่มีรูปร่างอ้วนท้วนใหญ่โตจนร่างของฉันที่ตัวเล็กเหมือนหมากระเป๋ากระเด็นล้มก้นกระแทกพื้นเข้าอย่างจัง แผลเมื่อคืนก็ยังไม่หายดี ดีนะที่ไม่ได้แผลใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกนะ “ชนแล้วยังไม่ขอโทษอีก!”ฉันโวยขึ้นอย่างไม่พอใจกับการปวดก้นของฉันในตอนนี้ “มะไม่ต้องขอโทษก็ได้ค่ะ…ฉันโง่เองที่ชนคุณพี่…”ฉันว่าเสียงอ่อนลงทันทีที่เจอเข้ากับใบหน้าบึ้งตึงอย่างไม่พอใจของชายใส่ชุดดำรูปร่างสูงใหญ่ที่จับจ้องฉันตาเขม่นอยู่ในตอนนี้ เกือบแล้วไหมล่ะ เกือบซวยแล้วเชียว พรึบ “เอ่อ…คะคุณพี่จับน้องทำไมคะ?”ฉันถามเสียงสั่นเครือไปอย่างหวาดกลัวที่อยู่ๆชายชุดดำร่างใหญนี้ก็คว้าข้อมือของฉันไปจับไว้อย่างไว “มีคนอยากเจอ…”เสียงเรียบๆเอ่ยออกมาจากปากของชายชุดดำร่างใหญ่ทำให้ฉันถึงกับหน้าเหวอทันที ฉันเคยไปรู้จักกับพวกคนหน้าตาน่ากลัวแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย? พรึบ “โอ้ย!”ฉันร้องออกมาเสียงดังกับแรงกระชากร่างของฉันให้ลุกขึ้นยืน ข้อมือฉันแทบหักแหนะ เจ็บก็เจ็บแต่กลัวตายมากกว่า “ขึ้นรถ!” “คะค่ะๆๆ”ฉันตอบเสียงสั่นอย่างกล้าๆกลัวๆแต่ก็ต้องยอมเดินขึ้นรถตู้คันสีดำที่เงาวับพร้อมกับจับข้อมือที่เป็นรอยแดงของตัวเองไปด้วย มันเจ็บจริงๆนะ T^T พรึบ ฉันขึ้นมานั่งบนรถด้านในสุดและมีชายชุดดำร่างยักษ์นั่งประกบข้างหน้าประตูทางออกทำให้ฉันหมดหนทางที่จะหนีแล้ว พรึบ “เดี๋ยวถึงแล้วจะคืนให้!” “ค่ะ…”ฉันตอบเสียงแห้งไปในขณะที่โดนชายร่างใหญ่แย่งกระเป๋าเป้ไปจากฉัน ในนั้นมีโทรศัพท์ของฉันที่หน้าจอแตกและแมคบุ๊คไอแพดและโทรศัพท์ของไดร์ฟอยู่ด้วย เลยทำให้ฉันหมดหนทางที่จะคิดหนีแล้ว ฉันจึงเปลี่ยนมานั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัวมองตรงไปด้านหน้าเพื่อสำรวจเส้นทางแทนว่าพวกเขาจะพาฉันไปไหนกัน จะพาฉันไปเรียกค่าไถ่ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะดูจากการแต่งตัวที่ยาจกตามสไตล์ของฉันก็น่าจะรู้นะ เพราะงั้นตัดข้อนี้ออกเลย และมันคืออะไรกันแหละ ต้นเหตุของการจับตัวฉันมาในครั้งนี้นะ กระจกด้านข้างของฉันไม่สามารถมองเห็นภายนอกได้เพราะถูกม่านสีทองบดบังอยู่ บนรถคันนี้มีชายชุดดำสองคนรวมคนที่ฉันวิ่งชนเขาด้วย คนขับอีกหนึ่งคนและฉันอีกหนึ่งรวมเป็นสี่คนแค่นั้น แต่ตัวฉันเล็กกระจิดริดแบบนี้จะเอาอะไรไปสู้พวกเขาล่ะ พรึบ “ลงมา…” “ค่ะ…”ฉันตอบเสียงสั่นทำหน้าแหยๆให้เขาก่อนจะเดินลงมาจากรถตามคำสั่งของชายชุดดำและมองสำรวจไปรอบๆบ้านหลังใหญ่โตนี้ ที่มีเนื้อที่มากพอสมควรมีรั้วรอบขอบชิดมีสนามหญ้ามีลานวิ่งออกกำลังกายด้วยแฮะ เจ้าของบ้านคงจะรวยมากแน่ๆ หรือว่า พวกเขาจะจับตัวฉันให้มาเป็นนางบำเรอให้มาเฟีย??!! “เดินเข้าไป…” “ค่ะ….”ฉันจึงต้องเลิกมองสิ่งรอบๆตัวและจำใจเดินไปยังด้านหน้าตามคำสั่งของชายชุดดำร่างใหญ่ที่เดินตามหลังฉันมา โดยเดินตามหลังชายชุดดำที่มีรูปร่างเล็กที่มุ่งหน้าเดินเข้าไปยังบ้านชั้นเดียวแห่งนี้แต่มองกว้างขวางมากนะ พรึบ “นั่งลงสิ….” “ค่ะ…”ฉันตอบชายกลางคนที่แต่งตัวดูภูมิฐานไปก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่มนิ่มที่ตั้งอยู่ใจกลางของห้องน่าจะเป็นห้องรับแขกนะฉันว่า “เมื่อคืน….ไดร์ฟกับเธอ…กอดกันใช่ไหม?”ชายวัยกลางคนเอ่ยเปิดประเด็น ฉันมองเขาไม่ค่อยมีพิษมีภัยจึงตอบเขาไปตามความจริง เพราะมองไปรอบๆบ้านหลังนี้ก็มีแต่รูปของถ่ายของไดร์ฟติดเต็มทั่วทุกบริเวณเลยนะ แอบเสียดายจัง ที่ไม่ได้โดนจับมาเป็นนางบำเรอให้มาเฟียน่ะ ไม่สิ!!ฉันต้องโล่งใจต่างหากล่ะถึงจะถูก!! “ค่ะ…” “เธอ….เป็นแฟนคลับเขาใช่ไหม?”เขาถามฉันพลางมองสำรวจการแต่งกายของฉัน ที่แสนจะบ้านนอกๆก็ฉันชอบแบบนี้ กางเกงขาสั้นและเสื้อยืดมันใส่สบายดี “หนู…ไม่ได้เป็นแฟนคลับเขาค่ะ…บังเอิญว่าเขาวิ่งชนหนู…และทำให้โทรศัพท์ของหนูพังหนูเลยวิ่งตามเขาเพื่อจะให้เขารับผิดชอบนะคะ” “แต่หนูเห็นเขามีท่าทางแปลกๆ” “ท่าทางแปลกๆ?”ชายคนนั้นว่าอย่างทวนคำพูดของฉันอย่างสงสัย ฉันก็มองหน้าเขาอย่างจริงจัง “ค่ะ…หนูเคยศึกษาเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าเพื่อจะเอามาเขียนนิยาย…และหนูเห็นว่าเขามีอาการแบบนั้น…” “เธอก็เลยกอดเขา?”ชายคนนั้นว่าอย่างพอเดาเรื่องราวได้ “ค่ะ….” “เธอคงจะไม่ได้ชอบเขาใช่ไหม?” “ค่ะ…หนูมีแฟนอยู่แล้วค่ะ…” “งั้นก็ดี…ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องเธอ….” “ช่วยทำให้เขาหายจากการเป็นโรคซึมเศร้าทีเถอะนะ…” “ช่วยเขาด้วย….” “ค่ะ….แต่หนูก็ไม่มั่นใจว่าหนูจะช่วยเขาได้ไหม…เพราะหนูไม่ใช่หมอที่รักษาเฉพาะทาง…” “หนูคิดว่าคุณควรจะพาไดร์ฟไปพบจิตแพทย์นะคะ…”ฉันเอ่ยอย่างแนะนำ ชายคนนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยท่าทางเคร่งเครียด แววตาของเขาสั่นไหวสื่อว่าเขาเป็นห่วงไดร์ฟจริงๆ “ฉันก็อยากพาไป…แต่ทางเจ้าของค่ายเขาไม่ยินยอม…” “เขาจะรอให้ไดร์ฟตายก่อนอย่างงั้นเหรอคะ?”ฉันว่าเสียงแข็งตอกกลับไป “ไดร์ฟเป็นถึงเลเวลที่สี่แล้วนะคะ…เขาคิดที่จะฆ่าตัวตายแล้ว…” “เขาคิดว่าไม่มีใครต้องการเขา…และคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ…” “ให้ค่าตัวเองน้อยลง…”ฉันว่าเสียงเข้มหน้าตาจริงจังอย่างใส่อารมณ์ พรึบ “เพราะอย่างนี้ไง…ฉันถึงอยากจะขอร้องเธอ…ให้เธอช่วยไดร์ฟ…” “ช่วยเขาด้วยเถอะนะ…” “ได้โปรด….” “คุณคะ…อย่าทำแบบนี้..”ฉันนี่แทบจะลุกขึ้นถลาไปรับร่างของชายคนที่แต่งตัวดูภูมิฐานนี้แทบจะไม่ทันเพราะเขาทำท่าจะคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนฉัน “หนูจะช่วย….ให้ถึงที่สุดค่ะ…”ฉันเลยต้องจำใจยอมรับการขอร้องนี้ ฉันจะช่วยเขา ฉันจะช่วยฉุดรั้นเขาให้เขาหลุดพ้นออกมาจากจิตปลุกแต่งของเขา ฉันจะทำให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ และทำให้เขารู้ว่าโลกใบนี้ก็น่าอยู่เหมือนกัน พรึบ เพล้ง “ออกไป!!” “ออกไปให้หมด!!!”เสียงเอะอะโวยของผู้ชายและเสียงเขวี้ยงปาข้าวของดังมาจากทางด้านหลังสุดของบ้าน “ไดร์ฟน่ะ…เขาคงจะอาละวาดอีกแล้ว…”ชายคนนั้นตอบฉันมาทันทีที่เขาคงสังเกตเห็นอาการตกใจของฉัน ฉันก็ละสายตาจากต้นตอของเสียงกลับมามองหน้าชายคนนี้ “ฉันชื่อมิตรนะ…เป็นผู้จัดการของไดร์ฟ…”เขาเอ่ยแนะนำตัวให้ฉันรู้จัก “ค่ะ….ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ…หนูชื่อไอริสค่ะ…เรียกว่าไอเฉยๆก็ได้ค่ะ..” “โอเค…หนูไอ…^_^” “นายครับ….คุณไดร์ฟอาละวาดใหญ่แล้วครับ…!”เสียงของการ์ดชุดดำที่รูปร่างไม่ใหญ่โตมากนักเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนเขาวิ่งมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “เดี๋ยวหนูไปดูเองค่ะ….”ฉันบอกคุณมิตรไป เขาก็พยักหน้าให้ฉันเป็นคำตอบ หน้าตาของเขาดูเคร่งเครียดและเป็นกังวลมากเขาคงจะเป็นห่วงไดร์ฟมากจริงๆ ฉันก็ก้มศีรษะให้เขาก่อนจะเดินตามชายชุดดำไป “ทางนี้ครับ….”ฉันเดินตามแผ่นหลังของชายชุดดำไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องบานหนึ่งที่มีสีดำสนิท ฉันก็เปิดประตูหมายจะเข้าไป “ระวังนะครับ…”เสียงร้องเตือนจากการ์ดชุดดำเอ่ยบอกฉันด้วยท่าทางเป็นห่วงสีหน้าของเขาดูตกใจ “ไม่เป็นไรค่ะ…”ฉันยิ้มบางๆให้เขาและเปิดประตูหมุดลูกบิดเข้าไปภายในห้อง ก็ต้องพบกับห้องที่ถูกจัดโทนเป็นโทนสีดำสไตล์เรียบหรูแต่ดูมีระดับทำให้ฉันรู้ได้ทันทีถึงฮวงจุ้ยของห้องนี้ เป็นไปได้ฉันอยากให้เปลี่ยนสีห้องมากเลยนะ เพราะมันดูเหงา ดูเศร้า ยังไงชอบกล “ออกไป!!” “กูบอกให้ออกไปยังไงล่ะวะ!!”เสียงเอะอะพร้อมกับขวดแจกันที่เป็นพลาสติกลอยผ่านหน้าฉันไปแต่โชคดีที่ฉันหลบได้ทัน ไม่งั้นมีหวังฉันเสียโฉมแน่ ฉันก็มองหน้าต้นตอของเสียงที่ห้องมืดทึบไม่มีแสงไฟและแสงแดดให้ความสว่าง และสายตาของฉันก็ไปสบเข้ากับชายรูปร่างสมส่วนที่ท่อนบนเปลือยเปล่าเขามีรอยสักอยู่ที่ต้นคอและต้นแขนซ้ายยาวไปถึงข้อแขนที่กำลังนั่งกอดเข่าเนื้อตัวสั่นเทาอยู่มุมสุดของห้อง ฉันไม่รอช้ารีบเดินไปหาเขาทันที พรึบ “ไม่เป็นไรนะ…ฉันอยู่ตรงนี้…อยู่กับนายตรงนี้นะ…”ฉันนั่งลงและสวมกอดร่างของไดร์ฟและเอ่ยบอกเขาไปด้วยเสียงนุ่มนวล “ไม่เป็นไรนะไดร์ฟ…ทำใจเย็นๆหายใจเข้า….” “หายใจออกอย่างช้าๆนะ….”ฉันเอ่ยต่อไปอีกด้วยถ้อยคำที่นุ่มนวลเพื่อปลอบโยนเขาที่ฉันคิดว่าเขาคงจะกำลังต่อสู้อยู่กับใจของตัวเอง คนที่เป็นโรคซึมเศร้าเหมือนไร้ความเป็นตัวเอง มันจะมาพรากความสุขไปจากเรา ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะไม่เป็น เพราะทุกคนมีสิทธิ์เป็นได้ทุกคน อย่านิ่งนอนใจทำจิตใจของเราให้เป็นหนึ่ง ยิ้มและหัวเราะให้กับปัญหาที่เผชิญเพราะทุกปัญหามีทางออกเสมอ….
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD