ตอนที่3(เจอกันโดยบังเอิญ)

2128 Words
ถ้าคนเราตายแล้วเลือกการเกิดใหม่ได้ คุณอยากเกิดเป็นอะไรครับ? แต่สำหรับผม ขอแค่ผมลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยเสียงปลุกจากคนที่เรียกว่าแม่ มีอาหารวางรออยู่บนโต๊ะ มีคนที่ผมเรียกว่าพ่อนั่งรอผมทานข้าวอยู่ที่หัวโต๊ะด้วยใบหน้าที่เปื้อยไปด้วยรอยยิ้ม เราอาศัยอยู่ในบ้านหลังน้อยกันสามคนพ่อแม่ลูก ผมขอแค่นี้ก็พอแล้ว…(ไดร์ฟ) ไอริส อันฤดี….. พรึบ “โอ้ย!”ฉันร้องออกมาอย่างเจ็บปวดที่ร่างของฉันไถลล้มไปกับพื้นปูนซีเมนต์เพราะขาของฉันไร้เรี่ยวแรงที่จะวิ่งต่อแล้วทำให้คนที่ลากร่างของฉันอยู่ต้องหยุดฝีเท้าลงตามฉันไปด้วย เขาก็ปล่อยมือจากข้อมือฉันไปทันที “ฮืฮอออออเจ็บ”ฉันร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวดแสบกับบาดแผลที่โดนพื้นปูนซีเมนต์บาดเอา เลือดสีแดงสดไหลรินออกซึมๆมาตามท่อนขาของฉันรวมไปถึงข้อศอกของฉันด้วย “ฉันจะตายไหม….”ฉันเอ่ยออกไปพลางมองสำรวจบาดแผลที่อาบโชคไปด้วยเลือดสีแดงสดด้วยท่าทางกลัวตาย “เธอจะกลัวทำไม….กับแค่ตาย…”เสียงเรียบเฉยอย่างไร้อารมณ์ถูกเอ่ยออกมาจากผู้ชายร่างสูงโปร่งที่แต่งตัวเต็มยศทั้งเสื้อเชิ้ตสีดำที่ปลดกระดุมเม็ดบนออกสองเม็ดเผยให้เห็นรอยสักที่ต้นคอเป็นรูปสมอเรืออยู่ตรงกลางพวงมาลัยเรือและรูปหน้าเสือโคร่งที่หน้าอกข้างซ้ายของเขาแถมเขายังใส่ต่างหูห่วงเงินทั้งสองข้างรวมไปถึงเจาะจมูกอีกด้วย โอ้ว้าววว!ทรงแบดจริงๆ “คนบ้าอะไรบ้างอ่ะ…ไม่กลัวตาย!!”ฉันแผดเสียงไปอย่างเอาเรื่องเขาที่ทำให้ฉันล้มหมดสภาพอย่างนี้และยังมาว่าฉันอีก ฉันว่าเขาพร้อมกับเอามือปาดน้ำตาตัวเองไปด้วย พรึบ “จะกลัวทำไม…คนเราเกิดมาก็ต้องตาย…” “แต่ฉันยังไม่อยากตาย…!”ฉันตะโกนบอกเขาไป “ชีวิตของฉันกำลังดีมากกกกกก”ฉันลากเสียงยาว เขาก็มองหน้าฉันด้วยสายตาตกละตึง มองๆไปเขาก็จัดว่าเป็นผู้ชายที่หล่อเหมือนกันนะ เรือนผมสีน้ำตาลเข้มคิ้วดกดำจมูกโด่งริมฝีปากสีชมพูใบหน้าขาวใสผิวขาวเนียนยิ่งกว่าผู้หญิง ดูๆไปเขามีออร่ามากกว่าผู้ชายธรรมดาทั่วไปเสียอีกนะ “หึ…..”เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะหันหลังเดินจากฉันที่นั่งอยู่กับพื้นปูนซีเมนต์ไปอย่างไร้เยื่อใย ไอ้คนใจร้าย!!! “หยุดนะ!!”แต่ฉันก็ตะโกนเสียงดังเรียกรั้งเขาไว้ซะก่อนทำให้เขาต้องหยุดชะงักฝีเท้าลงและเอี้ยวคอหันมามองหน้าฉันแค่ซีกเดียว “ช่วยดึงฉันขึ้นไปหน่อย…”ฉันว่าพร้อมกับยื่นมือไปตรงหน้าเขา เขาก็ทำหน้าเบื่อหน่ายรวมไปถึงเบื่อโลกใส่ฉันและทำท่ายึกยักเหมือนจะไม่ยอมเดินมาช่วยฉันอีกตั้งหาก “นายทำฉันล้ม….แถมทำโทรศัพท์ของฉันแตกอีกด้วย!” “นายต้องรับผิดชอบ!!!”ฉันแผดเสียงพร้อมกับทำหน้าบึ้งตึงอย่างเอาเรื่อง นายนั้นก็ถอนหายใจออกมาเสียงดังก่อนจะเดินตรงกลับมาหาฉันด้วยท่าทางไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ พรึบ “ก็แค่เนี่ย”ฉันพึมพำขึ้นและยื่นมือไปจับมือเขาที่ยื่นมาให้ฉันและเขาก็ออกแรงดึงร่างของฉันให้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “ฉันไม่ขอบคุณนะ….”ฉันบอกเขาไปเสียงเรียบและไม่ได้หันไปมองหน้าเขาด้วย เลยไม่รู้ว่านายหน้าหล่อนั่นกำลังทำหน้ายังไง แต่หน้าตาเขาหล่อผิวพรรณดี ดูเปล่งปลั่งออร่ามากแต่ทำไมแววตาของเขากลับดูเศร้าหมองจัง? พรึบ “โอ้ย…”ฉันร้องออกมาอีกครั้งเมื่อฉันลองเดินแต่ก็รับรู้ได้ถึงความปวดแผล นายนั้นก็ปล่อยมือฉันตั้งแต่เขาดึงฉันให้ลุกขึ้นและเดินหนีไปแล้วด้วย คนอะไรใจร้ายชะมัด!! พรึบ “จะกลับบ้านยังไงเนี่ย?” “ตรงนี้ที่ไหนก็ไม่เคยมาด้วยสิ….”ฉันพึมพำขึ้นเมื่อพาตัวเองมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างทาง จะว่าข้างทางก็ไม่ใช่ เพราะตรงนี้ไม่ได้อยู่ติดถนนแต่มันเป็นเหมือนสวนสาธารณะ เป็นพื้นที่วงกลมมีต้นไม้รายล้อมและมีพื้นปูนซีเมนต์อยู่ตรงกลางด้านข้างเป็นต้นหญ้าที่มีความสูงระดับเท่ากันทุกต้น ดีที่ยังมีแสงสว่างที่ส่องลงมาจากหลอดไฟของเสาไฟฟ้าต้นสูงให้พอมองเห็นไปได้ทั่วทั้งบริเวณนี้ได้ ทำให้ที่นี่ดูไม่น่าวังเวงสักเท่าไหร่ พรึบ “อะไร?”ฉันค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปมองฝ่ามือขาวจนมองเห็นเส้นเลือดที่มือได้อย่างชัดเจนที่ยื่นถุงพลาสติกมาตรงหน้าฉันและมองเลยขึ้นไปมองยังใบหน้าของเขาที่เรียบเฉยไร้อารมณ์สุดๆของผู้ชายคนเดิมที่ฉันซวยตั้งเเต่วินาทีแรกที่เจอเขา! “กลัวตายไม่ใช่เหรอไง?”เขาพูดเสียงเรียบเฉยหน้าตาไร้อารมณ์ออกมาทำให้ฉันก็ทำหน้างงใส่เขา “ล้างแผลดิ….” “ฉันก็ไม่ขอบคุณอีกเหมือนเดิม….”ฉันก็เข้าใจที่เขาพูดจึงเอื้อมมือไปหยิบถุงพลาสติกนั้นมาจากมือเขาอย่างไวและเอ่ยบอกเขาไป “ก็ไม่ได้ว่าอะไร”เขาไหวไหล่เล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจก่อนที่เขาจะค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดียวกับฉันและนั่งข้างๆฉัน ฉันก็เริ่มเปิดถุงพลาสติกดูว่าเขาเอาอะไรมาบ้าง ก็มีน้ำยาแอลกอฮอล์ล้างแผลหนึ่งขวดใหญ่ยาแดงใส่แผลหนึ่งขวดใหญ่ยาแก้ปวดยาแก้อักเสบอย่างละสามชุดและสำลีอีกหนึ่งห่อใหญ่ “ทำไม….เธอถึงกลัวตาย….”อยู่ดีๆเขาก็เอ่ยขึ้นถามคำถามที่ฉันไม่คิดว่าคนปกติทั่วไปจะคิดแบบนี้ ใครบ้างล่ะไม่กลัวตายน่ะ ทุกคนกลัวตายกันทั้งนั้นแหละ ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่า คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตายทุกคนจะช้าหรือจะเร็วก็แค่นั้นแหละ “ก็ฉันกำลังมีความสุขอยู่กับชีวิตของฉันในตอนนี้มากกกกกก”ฉันบอกเขาไปตามความจริง “ยังไง?”เขาขมวดคิ้วมองหน้าฉันอย่างงุนงงและสงสัย ฉันก็ผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะค่อยๆเล่าเรื่องของฉันที่ฉันมีความสุขให้เขาฟัง ว่าฉันมีความสุขยังไงบ้างกับชีวิตของฉันในตอนนี้^_^ “ฉันได้ทำในสิ่งที่ฉันรัก….และฉันชอบมาตั้งแต่ๆเด็กๆ…” “ฉันได้ประสบความสำเร็จตามความฝันของฉัน…ด้วยอายุแค่ยี่สิบกว่าๆ…ฉันมีความสุขกับชีวิตของฉันในตอนนี้ที่ไม่ต้องแบมือของเงินพ่อแม่…” “นาย….ไม่มีความสุขเหรอไง?”ฉันเอ่ยถามเขากลับไปทันทีอย่างคนที่ไม่ได้คิดอะไรเพราะฉันเห็นว่าเขามีแววตาที่เศร้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัดตอนที่ฉันบอกเขาว่าฉันมีความสุขกับงานที่ฉันทำมาก แววตาที่ฉันพูดก็คงจะแพรวพราวล้นเปี่ยมไปด้วยความสุขที่ฉันมี “กับงานที่นายทำน่ะ….หรือนายไม่มีงานทำ?” “เธอทำงานอะไรเหรอ….ที่เธอบอกว่ารักน่ะ?”เขาไม่ตอบคำถามฉันแต่กลับยิงคำถามใส่ฉันแทน “ฉันเป็นนักเขียนนิยาย^_^”ฉันตอบเขาไปอย่างภาคภูมิใจและยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริ “งานของฉันขายได้เป็นหมื่นๆเล่มเลยนะ…” “และได้ตีพิมพ์ถึงสามครั้งต่อหนึ่งปีแหนะ^_^” “ไม่เชื่อฉันเหรอ….ถึงทำหน้าแบบนั้น?”ฉันถามเขาเสียงเข้มที่เขาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด “ก็เชื่อ….แต่เธอก็มองดูมีความสุขจริงๆด้วย” “ใช่ไหมล่ะ…^_^”ฉันยิ้มกว้างจนลืมไปเลยว่าฉันกำลังทำแผลค้างไว้อยู่ “แล้วนายล่ะ….นายได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักไหม?” “ก็….ทำนะ…” “ตอนเด็กๆนายฝันว่าอยากเป็นอะไรเหรอ?” “นักร้อง….” “นักร้อง?”ฉันแทบจะหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินความฝันของอีตาหน้าหล่อนี่ หน้าอย่างเขานี่น่ะเหรอที่จะเป็นนักร้อง รอยสักเต็มตัวแบบนี้ ใครเขาจะรับเข้าสังกัดไปทำเพลงอ่ะ “หน้าอย่างฉันเนี่ย….ไม่เหมาะที่จะเป็นนักร้องเหรอ?”เขาเอ่ยถามฉันมาด้วยหน้าตาที่โคตรน่าขำอะ คนอะไรทำหน้าเหวอได้เท่ห์สุดๆ ช่างขัดกับรอยสักบนตัวเขามากเลยน่ะเนี่ย “ฮ่าๆๆๆ…อุ๊ย….ขอโทษ…”ฉันขอโทษเขาไปที่เผลอลืมตัวหัวเราะเขาซะได้ “เธอ….ไม่รู้จักฉันเหรอ?”เขาเอ่ยถามฉันกลับมาพร้อมกับใช้นิ้วชี้ของเขาชี้ไปที่ตัวเขาเอง “ฉันจะรู้จักนายได้ยังไง….ในเมื่อเราเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก…..” “และฉันยังไม่ได้ถามชื่อนายเลยด้วย”ฉันพูดต่อพลางทำหน้างงๆใส่เขาและเริ่มหันมาก้มหน้าก้มตาทำแผลบนขาของฉันต่อ มันก็ไม่ได้เป็นแผลลึกอะไรมากหรอก แต่ทำไมเลือดมันออกเยอะจังนะ? ติ๊ดดดดด “โทรศัพท์เธอ?”เขาพูดพร้อมกับมองตรงไปที่แสงจากหน้าจอโทรศัพท์เครื่องหรูของฉันที่มีสายเรียกเข้าจากลูกหว้าโทรเข้ามา “อืม…ใช่…เพื่อนฉันโทรมาน่ะ…แต่มันรับไม่ได้เพราะหน้าจอแตกละเอียดขนาดนี้…”ฉันว่าพร้อมกับหมดอาลัยตายอยากกับโทรศัพท์ราคาแพงของฉันที่เพิ่งจะซื้อออกมาได้ไม่ถึงเดือนเอง พรึบ “เอาของฉันไปดิ….”เขาว่าพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้ฉัน ซึ่งมันเป็นรุ่นเดียวกับของฉันแต่เป็นสีดำ “เพราะยังไงๆฉันก็คงจะไม่ได้ใช้มันอีกแล้ว….”เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าลงหน้าตาดูเศร้าหมองทำให้ฉันมองหน้าเขาอย่างสงสัย ว่าเขาเป็นอะไรกันแน่ “ทำไมล่ะ…เอ่อจริงสิ…เมื่อกี้ฉันเห็นนายทำท่าจะกระโดดน้ำด้วย…” “นายจะฆ่าตัวตายเหรอ?”ฉันโผงผางถามออกไปอย่างอยากรู้ “อืม…”เขาตอบฉันสั้นๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าด้วยแววตาเอื่อยเฉื่อยและเหม่อลอย แววตาที่เต็มไปด้วยความเศร้า ความเหงา… พรึบ “อย่าฆ่าตัวตายเลยนะ….มันเป็นบาป….”ฉันโผเข้าสวมกอดร่างของเขาและเอาหน้าซุกลงไปบนหน้าอกของเขาและเอ่ยบอกเขาไป อาการแบบนี้…โรคซึมเศร้าแน่ๆ เขาคนนี้ต้องเป็นโรคซึมเศร้าอยู่แน่ๆ…. “ถ้านายฆ่าตัวตาย….นายจะยังไม่ได้ไปเกิด…มันเป็นกรรมที่ผิดมหันต์…” “คนเราเกิดมา….กว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์…มันไม่ง่ายเลยนะ…” “นายไม่สงสารพ่อแม่นายเหรอ…ที่พวกท่านเลี้ยงดูนายมาจนนายโตได้ขนาดนี้…นายไม่คิดที่จะตอบแทนบุญคุณพวกท่านเลยเหรอ?” ตึกตักๆๆๆๆ เสียงหัวใจเต้นรัวของร่างสูงที่นั่งตัวแข็งทื่อส่งเสียงดังออกมาทำให้ฉันค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเขาหน้าตาขาวใสของเขากำลังอึ้งตกใจอยู่ ดวงตาชั้นเดียวของเขาเบิกโพลงขึ้น ฉันก็ค่อยๆคลายกอดของเขาและกลับมานั่งตัวตรงตามเดิมพร้อมกับเม้มปากแน่น ที่ฉันเผลอกอดเขาไป จนลืมไปว่าเขาจะรังเกียจและหวาดกลัวฉันไหม แล้วเขาจะหาว่าฉันเป็นผู้หญิงใจแตกเหรอเปล่า ที่กล้ากอดผู้ชายที่เพิ่งจะพบเจอกันไม่ถึงชั่วโมงเนี่ย “ขอโทษ….”ฉันเอ่ยเสียงเศร้าสลดขอโทษเขาไป เขาก็ดูเหมือนจะได้สติก็ค่อยๆหันกลับมามองหน้าฉัน แววตาของเขาสั่นไหว พรึบ “นะนาย”ฉันร้องเสียงหลงที่อยู่ดีๆนายหน้าหล่อนี่ก็คว้าร่างของฉันเข้าไปสวมกอดอีกครั้ง คราวนี้ ไม่ใช่แค่เสียงหัวใจของเขาแล้วล่ะ ที่เต้นรัวเร็วแต่มันเป็นเสียงหัวใจของฉันด้วย….น่ะสิ เต้นแรงไม่แพ้ของเขา และกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่ลอยออกมาจากตัวของเขาอีก กำลังทำให้ฉันหวั่นไหว ตึกตักๆๆๆๆ “ฟอดดดด”เขาใช้น้ำหอมกลิ่นอะไรนะ…หอมจัง^//^ ฉันว่าในใจหลังจากที่ใช้จมูกสูดดมกลิ่นกายของเขาที่จมูกฉันไปอยู่ตรงหน้าอกของเขาพอดี…
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD