ทั้งสี่คนเดินออกจากบ้านสกุลหลี่ เด็กหญิงรู้สึกลังเลเพราะเสียดายน้ำหอมที่ซ่อนเอาไว้ กลัวว่าถ้ามารดาพาไปไกลกว่านี้จะไม่สามารถย้อนกลับมาเอาได้ สีหน้าของหลี่หลิงจึงดูเคร่งเครียดและกลัดกลุ้ม
“หลิงเอ๋อร์เจ้าเป็นอะไร กำลังกลัวอยู่อย่างนั้นหรือ”
“เปล่ากลัวเจ้าค่ะ ที่จริงก็กลัวจริง ๆ ท่านแม่เราออกจากบ้านมาแล้ว คืนนี้เราจะไปอยู่ที่ไหนเจ้าคะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล ข้าเช่าห้องพักเอาไว้ประจำ ข้าจะพาเจ้าไปพักที่นั่นก่อน แล้วค่อยมาคิดว่าจะเอาอย่างไรต่อไป”
“แบบนั้นจะดีหรือ ป่านนี้ชิวอี๋คงปั้นเรื่องใส่ความเจ้ากับข้า ถ้าเกิดเจ้าพาข้ากับลูกไปมิเท่ากับเข้าทางนาง ตัวข้าไม่เท่าไรแต่เด็กสองคนนี้กับชื่อเสียงของเจ้าจะดิ่งลงเหว และนางจะต้องบอกกับคนอื่นว่าพวกเราเป็นอย่างที่พูด”
อย่าเห็นว่าบริสุทธิ์ใจแล้วคนจะเชื่อ เรื่องแบบนี้ผู้คนชื่นชอบจับผิดนัก หลี่เหมินเป็นหมอ ย่อมต้องวางตัวให้น่าเชื่อถือ นางไม่อยากสร้างความยุ่งยากแก่เขา หากไม่เพราะเข้าข้างตนคงไม่ถูกพี่ชายไล่ออกมา
“เช่นนั้นจะให้ข้าปล่อยท่านกับหลาน ไปเร่ร่อนข้างนอกกันลำพังหรือ พี่สะใภ้อย่าได้คิดมาก ท่านยังมีลูกสองคนที่ต้องดูแล”
“น้องรอง เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าติดหนี้เจ้าอยู่ก้อนโต เงินที่ยืมมาข้ายังไม่ได้ใช้ คิดว่าน่าจะเพียงพอสำหรับหาที่พักชั่วคราว เราควรจะแยกที่พักให้ชัดเจนเพื่อป้องกันคำครหา”
นางอาจจะดูโง่งม แต่ใช่ว่าจะไร้สติเสียทีเดียว อันใดควรไม่ควรย่อมรู้ หากเข้าใกล้หรือรับความช่วยเหลือจากน้องสามีมากกว่านี้ จะเป็นผลเสีย ถึงถูกขับไล่ออกมาแต่ยังไม่ได้ลงชื่อหย่า ดังนั้นนางยังคงเป็นภรรยาของหลี่หวง และที่ออกมาเลยไม่จัดการให้เรียบร้อยทางหนึ่งเพื่อจะได้นำลูกออกมาด้วย ส่วนอีกทางคืออยากให้ชิวอี๋ดิ้นทุรนทุรายที่ไม่สามารถขึ้นมาเป็นฮูหยินตามที่วาดหวังเอาไว้ จงทนกับคำว่าอนุต่อไปเถอะ
“เช่นนั้นข้าคงไม่มีเหตุผลจะดึงดันพาท่านไปพักด้วย อย่างไรหากต้องการความช่วยเหลือก็มาหาข้าได้ตลอดเวลา ช่วงนี้ข้ายังไม่ได้ไปรักษาคนที่อื่น”
ถึงจะเป็นห่วงแต่ที่อีเหนียงเอ่ยมานั้นถูกต้อง เขาไม่ควรเข้าใกล้ไปมากกว่านี้ เพราะจะทำให้ชื่อเสียงของพี่สะใภ้ตนเสื่อมเสีย จนตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน จึงทำได้เพียงช่วยหาที่พักให้ก่อนกลับไป
“ท่านแม่เจ้าคะ ท่านว่าเราต้องอยู่ที่นี่กี่วัน” เด็กหญิงนั่งกอดอกเคาะคางใช้ความคิด ห้องพักที่มารดาหาได้แม้มีราคาถูกแต่ต้องจ่ายเป็นรายวัน หากยังหาที่อยู่ใหม่ไม่ได้ จะต้องเสียไปเรื่อย ๆ พอนานเข้าจะกลายเป็นเงินก้อนโต
มารดารับจ้างซักผ้าได้เงินมาเล็กน้อย ลำพังกินเข้าไปยังแทบไม่พอ ไม่ต้องพูดถึงจ่ายค่าห้องเลย อีกทั้งเงินจากท่านอาก็ใช่ว่าจะไม่มีวันหมด หนี้ที่ยืมมาอย่างไรก็ต้องคืน
“ไม่รู้เหมือนกัน ช่วงนี้เจ้าสองคนอย่าได้ออกไปซุกซนที่ไหน ข้าไม่อาจจะพาพวกเจ้าไปด้วย ให้อยู่แต่ในห้องกันดี ๆ รู้มั้ย”
“เจ้าค่ะ ข้าจะไม่ดื้อ”
“ข้าจะดูน้องไม่ให้ห่างสายตาขอรับ”
อีเหนียงมองแล้วยิ้ม คำว่าไม่ห่างสายตาของเขาคือพากันไปมากกว่า แต่ลึก ๆ นางกลับดีใจที่พี่น้องรักใคร่ ถึงจะไม่ใช่ฝาแฝดและต่างเพศ แต่ก็เกิดหัวปีท้ายปีทำให้สนิทราวกับเกิดพร้อมกัน
“เอาล่ะ ไปล้างมือแล้วเข้านอนเสีย แม่จะออกไปทำงาน จำไว้ว่าให้นอนอยู่แต่ในห้อง”
เพราะต้องออกไปหาเงินมาใช้จ่าย นางจึงถามเถ้าแก่เจ้าของห้องเช่าว่าแถวนี้พอจะมีงานให้ทำหรือไม่ เขาเห็นแล้วสงสารจึงแนะนำให้ไปทำงานเป็นลูกมือในครัวของโรงเตี้ยมข้าง ๆ ที่ไม่ไกลนักแต่จะเอาลูกไปด้วยไม่ได้ จำเป็นต้องให้ลูกนอนรอในห้องตามลำพัง
สองพี่น้องปีนขึ้นที่นอนหลับตาลงนอนฟังเสียงมารดา รอจนได้ยินเสียงประตูปิดลงจึงลืมตาขึ้น แต่ไม่ได้ลุกทันที เพราะกลัวว่าแม่จะแอบดู ผ่านไปสักระยะไม่ได้ยินอะไรอีก หลี่หลิงจึงสะกิดพี่ชายที่กำลังเคลิ้มจะหลับให้ลุกขึ้นมา
“พี่ชายลุก”
“ฮ้าว! น้องสาว ทำไมเจ้าถึงไม่นอนอีก”
“เราจะนอนไม่ได้ ต้องกลับบ้านไปเอาขวดน้ำหอม” ยังดีที่นางจำทางได้ และจากที่เห็นที่พักไม่ได้อยู่ไกลจากบ้านสกุลหลี่นัก ถ้ารีบไปรีบมาคงทันก่อนมารดาจะกลับมาเจอ
“หา! จะไปวันนี้เลย ถ้าเกิดว่าเจอท่านพ่อ พวกเราจะไม่ถูกจับเอาไว้ แบบนั้นเราจะไม่ได้อยู่กับท่านแม่”
“ก็ไม่ต้องเข้าหน้าบ้าน เราจะแอบเข้าตรงทางหมาลอดไง ถ้ามีน้ำหอมจะได้มีเงินมาช่วยท่านแม่” อุตส่าห์เหนื่อยทำตั้งหลายวันจะทิ้งไว้แบบนั้นไม่ได้
“ก็ได้ แต่เราต้องไม่ให้ถูกจับได้”
“ข้ารู้น่า” เด็กหญิงกลอกตาอย่างรำคาญ นางไม่ใช่เด็กจริง ๆ เสียหน่อย
“อืม.. หือ! อะไรแวบ ๆ” เถ้าแก่เจ้าของห้องเช่าที่นั่งดีดลูกคิดคำนวณบัญชีหันขวับ เพราะหางตาเขาเหมือนจะเห็นความเคลื่อนไหว ทว่าพอมองอีกทีกลับไม่พบความผิดปกติ
“ไม่มีอะไร ข้าคงตาฝาดไป” กล่าวพึมพำกับตัวเองแล้วจึงไม่ได้สนใจอีก ตั้งใจดีดลูกคิดต่อว่าแต่ถึงไหนแล้ว ยามเมื่อเขาหันกลับไปสองหัวเล็ก ๆ จึงค่อยชะโงกขึ้นมา และพากันเดินย่อง ๆ ให้เงียบที่สุด
“เกือบไปแล้ว!”
“ไปเร็ว เดี๋ยวถูกจับได้”
“อื้อ”
สองพี่น้องพอออกมาได้จึงรีบโกยลมหายใจเข้า เพราะกลัวจะถูกพบจึงเดินไปกลั้นใจไป ถึงอย่างนั้นพวกเขาไม่มีเวลาจะคร่ำครวญต้องหอบร่างเล็ก ๆ วิ่งตุบตับไปถนนเส้นหลังที่แทบจะไร้คนเดิน
“แฮก ๆ น้องสาว ทำไมทางนี้ไม่ค่อยเห็นคนเลย มันเปลี่ยววังเวง เจ้าว่าจะมีผีรึเปล่า”
“พี่ชาย เข้าป่าอย่าทักหาเสือ เดินผ่านทางเปลี่ยวแบบนี้จะพูดถึงผีสางทำไม ห้ะ!” หลี่หลิงแยกเขี้ยว มันใช่เวลาทักไหม ขากลับยังต้องผ่านทางเดิมอีกนะ
“ข้าแค่สงสัย” ผู้เป็นพี่เสียงอ่อน เขาเพียงอยากรู้เท่านั้นเอง ก็บรรยากาศมันน่ากลัว
ขณะที่กำลังเดินมุ่งหน้าไปบ้านสกุลหลี่ พวกเขารู้สึกว่ามีสายตาจับจ้อง หลี่หลงทำท่าจะอ้าปากทักแต่น้องสาวเอามือจุ๊ปากว่าห้ามพูด ก่อนจะดึงแขนพี่ชายวิ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา
“พี่ชายวิ่ง ๆ”
“ว้ากผีหลอกแล้ว!”
พลั่ก! ตุบ ตุบ
“เหว๋อ!!”
เด็กสองคนร้องเสียงหลง หลังจากชนร่างหนาของใครบางคน พวกเขาก้นจ้ำเบ้านั่งอยู่ที่พื้นสายตามองช่วงขาของผู้ที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะเลื่อนสายตาจากล่างขึ้นบน
“จะไปไหนกัน”
“....!!”
เด็กสองคนดิ้นขยุกขยิกนั่งไม่นิ่งเพราะเมื่อยไปหมด เสียก็แต่ถูกสั่งให้นั่งคุกเข่าจึงไม่อาจลุกขึ้นยืนหรือหงายท้องนอนกางขา
“ท่านอา ข้านั่งมาตั้งนานแล้ว พอได้รึยัง”
เด็กสองคนถูกหลี่เหมินพามานั่งในร้านน้ำชา ที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักนัก เขาเปิดห้องส่วนตัวและยังสั่งให้สองพี่น้องนั่งคุกเข่าหันหน้าเข้าฝาผนัง ห้ามหันไปทางอื่นหรือคุยกัน ไหนเลยสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเด็กจะอดทนได้นาน ไม่เพียงรู้สึกเมื่อยขบแต่ยังน่าเบื่อเอามาก ๆ
“จะต่อรองหรือ”
“....” น้ำเสียงเย็นเหยียบของผู้เป็นอาทำให้เด็กหญิงย่นคอหด ไม่กล้าต่อรองอีก เขาไม่ได้ใจอ่อนแพ้การอ้อนเหมือนท่านแม่
“พวกเจ้ารู้ผิดหรือไม่ เหตุใดจึงไม่เชื่อฟังแอบหนีออกมาแบบนี้ หากเปลี่ยนไปเจอพวกค้าเด็ก คิดว่าจะแค่ถูกลงโทษให้คุกเข่าไหม ถ้าไม่เพราะข้าลอบจับตาดูพวกเจ้าป่านนี้อาจเกิดอันตรายขึ้นแล้ว”
“ข้ารู้ว่าทำผิด แต่มันจำเป็นจริง ๆ นะเจ้าคะ” เด็กหญิงทำหน้าตาละห้อยสองมือบิดไปบิดมา มีพี่ชายที่อยู่ข้างกันพยักหน้าหงึก สนับสนุนคำพูดของน้องสาว
“เช่นนั้นลองบอกมา ว่าอะไรที่จำเป็นจนต้องแอบหนีออกจากห้องเช่า”
“คือว่า... พวกเราลืมของสำคัญเจ้าค่ะ”
“หลงเอ๋อร์ ไหนจงบอกมาสิ ว่าพวกเจ้าลืมอะไร” ผู้เป็นอานึกสนุกเปลี่ยนเป้าหมายมาถามคนพี่ เพื่อดูสีหน้าคนน้องที่ลุ้นจนตัวโก่งและพยายามบอกใบ้บางอย่างกับพี่ชาย
“เอ่อ... ละลืม ลืม...” เด็กชายอึกอักหันมองน้องสาวว่าจะตอบอย่างไร
“ไม่ต้องมองนาง หันมาแล้วบอกข้าว่าลืมสิ่งใด ใช่ขวดแบบนี้รึไม่”
ทั้งคู่มองขวดกระเบื้องในมืออาอย่างตกตะลึง นั่นมันขวดน้ำหอมที่พวกเขาซ่อนไว้ไม่ผิดแน่ แล้วท่านอาเอามาได้อย่างไร
“ท่านอา! ท่านเอามาจากไหนเจ้าคะ”
“มีเด็กดื้อสองคนเอาไปฝังไว้ที่ใต้ต้นไม้หลังบ้านสกุลหลี่ ข้าเห็นว่าน่าสนใจดีจึงได้ไปขุดมา”
“เอ๋! ที่แท้ท่านอาก็รู้หมดแล้ว”
“ท่านอา โปรดอย่าตำหนิน้องสาว ข้าเป็นคนคิดและพาน้องทำเอง”
“อ้อ! รวมถึงเรื่องที่เจ้าสองคนแอบย่องเข้าครัวกลางดึก เพื่อเอากลีบดอกไม้ใส่หม้อ ตักออกใส่เข้าอยู่หลายวันนะหรือ”
“ท่านอารู้!”
“หลงเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์ เจ้าสองคนคิดว่า ผู้ใหญ่เขาจะไม่รู้เรื่องพวกเจ้าลอบเล่นซนกันอย่างนั้นหรือ”
“....” จริงด้วย เด็กห้าขวบจะฉลาดกว่าผู้ใหญ่ได้ยังไง
“ว่าไง มีอะไรจะพูดมั้ย”
สองพี่น้องเหงื่อแตกพลั่ก ๆ ไม่คิดว่าท่านอาจะรู้การเคลื่อนไหวของตนทุกอย่าง แสดงว่าที่ผ่านมาเขาต้องรู้ด้วยสิว่านางเป่าหูยุแยงแม่ให้หาพ่อใหม่ เด็กหญิงตัวสั่นเทาหดคองอตัวลง คิดว่าหากเล็กเท่ามดได้คงจะดี จะได้มุดเข้าซอกลงดินหนีไปเสีย
“หลิงเอ๋อร์”
“เจ้าคะ! เอ่อคือว่า...” พอถูกจี้ถามจึงรู้ได้ทันทีว่าเขารู้ทั้งหมดจริงด้วย ต่อให้ทำเสียงแข็งปฏิเสธอย่างไรคนตรงหน้าคงหาสารพัดวิธีมาเค้นความจริงอยู่ดี จึงคิดคำโกหกเร็วจี๋ในแบบที่ฟังขึ้น เพราะถ้าจะให้บอกไปว่าตนเป็นคนอื่นมาสวมร่างอาจจะถูกจับไปหาหมอผี
“ข้าอยากช่วยท่านแม่หาเงิน พี่ชายของท่านอานิสัยไม่ดีเลย ปล่อยให้ท่านแม่ต้องเหนื่อย อะไร ๆ ก็ท่านน้า ท่านอาเองไม่เห็นจะตักเตือนพี่ชายสักคำ”
“นี่เจ้า กำลังตำหนิข้าอยู่หรือ” หลี่เหมินเลิกคิ้วฟังหลานสาวที่ยังนั่งหันหน้าเข้าข้างฝาอย่างขบขัน นางถึงกลับต่อว่าเขาและบิดาตนเอง มีลูกบ้านไหนเป็นเช่นนี้บ้าง ทว่าไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใด กลับชอบใจเหลือเกิน
“เปล่าเจ้าค่ะ แต่ไหนแต่ไรมา ผู้เยาว์ไม่สามารถเอ่ยตักเตือนหรือตำหนิผู้ที่อาวุโสกว่าได้ ด้วยตนเป็นชนรุ่นหลัง ข้าเพียงแค่ระบายความอัดอั้นออกมาเท่านั้น”
“แล้วเรื่องสิ่งที่อยู่ในขวดล่ะ จะอธิบายว่าอย่างไร”
“ในเมื่อท่านอาตามดูพวกข้า คงทราบดีว่าข้างในคือน้ำหอม ส่วนที่ว่าข้าทำออกมาได้ยังไงนั้น บอกไม่ได้เจ้าค่ะ เป็นความลับ”
“อ้อ...”
“....” ทำไมอาต้องลากเสียงยาวแบบนั้นด้วย