“อยากออกไปข้างนอกหรือ”
“เจ้าค่ะ ข้าอยากไปเก็บดอกไม้ นะเจ้าคะท่านแม่ ให้ข้าไปเถอะนะ”
“แต่ว่า.”
“พี่สะใภ้ให้หลิงเอ๋อร์กับหลงเอ๋อร์ได้ออกไปเที่ยวเล่นบ้างเถอะ พวกเขาควรจะได้ไปเปิดหูเปิดตาตามประสา ท่านอย่าได้ห่วง ข้ามีธุระต้องไปข้างนอกพอดี จะดูพวกเขาพี่น้องไม่ให้ซุกซน”
“ก็ได้ แต่อย่าไปก่อเรื่อง มิฉะนั้นจะไม่ให้ไปเล่นข้างนอกอีก”
“เจ้าค่ะ” เด็กหญิงยิ้มแป้นรับคำ มีผู้เป็นพี่ชายชูนิ้วโป้งให้ เขาเองตื่นเต้นไม่แพ้กัน
วันนี้จะได้ออกไปเล่นข้างนอกอย่างอิสระ ที่ผ่านมาแม้จะได้ออกไปบ้างแต่เป็นการไปตลาดกับมารดา ทว่าวันนี้ไม่ต้องรีบร้อนกลับบ้านเหมือนทุกครั้ง เขาอิจฉาเด็กที่มีบ้านอยู่แถวตลาด คนเหล่านั้นสามารถออกไปเล่นได้ทุกวันเพราะพ่อแม่เขาทำงานที่นั่น
ฟังมารดากำชับสองสามคำ ก่อนจะเดินจูงมือตามท่านอาออกมา เด็กหญิงแหงนคอมองใบหน้าเขาแล้วนึกเสียดาย ทำไมมารดาถึงไม่แต่งงานกับท่านอาไปเลย หากเป็นเช่นนั้นแม่จะมีความสุขมาก ปู่ย่ารักลูกคนโตมากกว่า อะไรดีล้วนให้เขาก่อนถึงได้เป็นคนเอาแต่ใจเช่นนี้ หากนางพบท่านย่าจะถามว่าทำไมไม่อบรมพ่อให้ดี รู้มั้ยว่าเขาเสียคนหมดแล้ว
“อยากออกไปเล่นนอกเมืองหรือ”
“เจ้าค่ะ ได้ยินว่าที่นั่นมีทุ่งดอกไม้ ข้าอยากไปเก็บ”
“ได้สิ ข้าจะพาไป” หลี่เหมินยิ้มมือหนาลูบเรือนผมหลานอย่างเอ็นดู นางคงอยากไปมานานแล้ว แต่ไม่กล้าขอ มีหลี่หลงเดินมองรอบข้างอย่างสนใจ ไม่ว่าน้องสาวอยากเล่นที่ใดเขาก็ไม่ขัด เพราะเขาเป็นพี่ชายที่ต้องดูแลน้อง
เมื่อมาถึงเด็กหญิงอ้าปากตาโต ตื่นตะลึงกับทุ่งดอกไม้บานเบื้องหน้า สีสันสวยงามละลานตา ผึ้งแมลงบินตอมดูดกินน้ำหวาน มีผีเสื้อบินเป็นกลุ่มสีอ่อนสีเข้มสะกดสายตา เด็กชายวิ่งไปก่อนไม่รอแล้ว เขาวิ่งหัวเราะเริงร่ารู้สึกเหมือนกำลังบินแข่งกับฝูงผีเสื้อ ไม่เคยดีใจขนาดนี้มาก่อน
“ถึงแล้ว ชอบหรือไม่” หลี่เหมินดันคางหลานสาวให้งับปิดปาก อ้าเสียกว้างประเดี๋ยวแมลงจะบินเข้า ทั้งขบขันกับสีหน้าของนาง หลี่หลิงพยักหน้าหงึกก่อนจะแหงนมองผู้เป็นอา
“ไม่ต้องเหนื่อยเฝ้าพวกเรานะเจ้าคะ ท่านอาไปทำธุระเถอะเจ้าค่ะ พวกเราอยู่กันได้”
“แต่ข้าต้องย้อนเข้าไปไกล พวกเจ้าแน่ใจหรือ ไม่รอให้เล่นจนพอข้าค่อยไปทำธุระ”
“แบบนี้ข้าก็ได้เล่นนิดเดียวสิ ไม่เอา ข้าเพิ่งได้มาเที่ยว อยากอยู่นาน ๆ นะเจ้าคะท่านอา แถวนี้ไม่ได้น่ากลัวเลย”
“แต่ว่า.” การจะปล่อยหลานสองคนไว้ลำพังดูจะไม่ดีนัก ตอนแรกที่พามาคิดว่าพวกเขาอยากเที่ยวเล่นในเมือง แบบนั้นยังวางใจปล่อยละสายตาได้ชั่วคราว แต่ออกมานอกเมืองเยี่ยงนี้ หากเกิดเรื่องจะทำอย่างไร หลานเขาหน้าตาน่ารักมาก อาจถูกคนลักพาไปขาย
“ท่านอาไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ตรงนู้นมีเด็กเล่นกันตั้งหลายคน พวกเขาไม่มีผู้ใหญ่มาเลย”
“นั่นแหละที่ข้าห่วง”
เด็กจะรู้อะไร คนดีคนร้ายจะแยกแยะออกหรือ ถ้ามีผู้ใหญ่อยู่ยังพอพูดคุยฝากให้ดูแล
“โธ่ท่านอา นะเจ้าคะ ข้าอยากเล่นนาน ๆ สัญญาว่าจะไม่ดื้อ”
ถึงจะไม่เห็นด้วยและเป็นกังวล แต่พอถูกเซ้าซี้มากเข้าเลยเผลอพยักหน้า ทำให้เขาต้องรีบกลับเข้าตัวเมือง ทำธุระให้เสร็จจะได้ออกมาหาหลาน
“น้องสาว ท่านอาไปไหน”
“ไปธุระ”
“นี่ เราไปไล่จับผีเสื้อกัน”
“ไม่เอา ข้าไม่อยากจับผีเสื้อ แต่ข้าจะหาดอกไม้”
“หาหรือ หาทำไม ที่นี่มีดอกไม้เต็มไปหมด จะเอาดอกไหนบอกข้าสิ จะไปเก็บมาให้”
“ข้าอยากได้ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมละต้องเก็บอย่างเบามือที่สุด ห้ามช้ำแม้แต่กลีบเดียว”
“เอ๋! พูดเหมือนจะเก็บไปเยอะ”
“ก็ใช่นะสิ เอานี่ถุง” เด็กหญิงดึงถุงย่ามใบใหญ่ออกมาสองใบ ยื่นให้พี่ชาย เขารับมาและคลี่ออกดู พบว่ามันใหญ่พอจะใส่น้องสาวลงไป นางเอามาตอนไหน
“เจ้าจะให้เก็บเต็มถุงเลยรึไง ให้เจ้าลงไปนั่งแล้วข้าลากยังสนุกกว่าอีก”
“ไม่เล่น ข้าจะต้องเก็บดอกไม้ที่หอม ๆ กลับบ้านเราให้ได้มากที่สุด เราจะทำน้ำหอมกัน”
“หา! เจ้าล้อเล่น?”
“ข้าจริงจัง พี่ชายเจ้าไม่เห็นหรือว่าตอนนี้ท่านพ่อตัดเงินท่านแม่จนแทบจะไม่มีซื้ออาหารแล้ว หากเรายังเอาแต่เล่น แล้วเกิดเมียน้อยพ่อยุให้ขายเราแลกเงินขึ้นมา พวกเราจะต้องลำบากแน่”
“ขายเลยหรือ ท่านพ่อไม่ทำแบบนั้นหรอก ท่านแม่ท่านอาไม่มีทางยอม”
“ไม่ยอมแล้วจะทำอะไรได้ เผลอ ๆ นอกจากขายเรา ท่านพ่อจะขายแม่ด้วย ท่านอาใช่ว่าจะอยู่บ้านตลอด แล้วใครจะปกป้องเรา” ว่าแล้วก็เหลือบตามองพี่ เห็นเขาเริ่มกลัวขึ้นบาง มีเหงื่อซึมออกมาไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยที่วิ่งเล่น หรือหวั่นใจกับสิ่งที่ตนพูด
“ได้ แต่ว่าเจ้าทำเป็นหรือ”
“เป็นสิ นี่ ๆ ข้าจะบอกความลับให้นะ ตอนที่ข้าไม่สบาย ข้าได้ไปเที่ยวมา และมีคนสอนข้าด้วย เพราะแบบนี้ข้าถึงหลับไปนานไง”
“โห! น้องสาวได้ไปเที่ยวในฝัน แล้วมันจะทำได้จริงหรือ”
“ถึงบอกให้เก็บไปเยอะ ๆ เดี๋ยวเราจะต้องช่วยกันทำก่อนที่ท่านพ่อกับท่านน้าจะรู้ นี่คือทางหาเงินของเรา ถ้าท่านแม่ไม่ต้องแบมือขอท่านพ่อ เขาก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้”
นางยังไม่รู้หรอกว่าเอาไปขายยังไง รู้แค่ทำให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน
“อ่าเข้าใจแล้ว ได้! เช่นนั้นเรามาเก็บดอกไม้กัน แต่ว่าต้องเริ่มจากอันไหนดี”
“นั่นไง! มีดอกกุหลาบด้วย ไปเก็บกันเถอะ”
“อื้อ”
สองพี่น้องลากถุงย่ามที่ใหญ่พอ ๆ กับตัวเขาเดินเก็บดอกไม้ในทุ่งอย่างตั้งใจ มีร้องถามกันบ้าง ชี้ชวนให้ดูแมลงแปลก ๆ บางครั้งหลี่หลงเห็นดอกไม้ที่ดูสวย จึงเก็บมาให้น้องสาว นางก็ชมเขาจนพี่ชายยิ้มหน้าบาน พอเวลาผ่านไปกลับพบว่าการเก็บดอกไม้มันก็สนุกดี
“มองอะไรอยู่หรือ”
“ดูเด็กสองคนนั้นสิ พากันเก็บดอกไม้ตั้งมาก”
“อืม ในทุ่งนี้ค่อนข้างกว้าง ต่อให้เก็บเป็นรถม้าก็ไม่ทำให้หมดไป เจ้าอย่าหงุดหงิดเลย”
“แต่พวกเขาไม่ใช่คนปลูก ถือดีอันใดมาเก็บไปขนาดนั้น”
“ทุ่งแห่งนี้เกิดขึ้นเอง เราไม่มีสิทธิ์ไปหวงห้ามเขาเช่นกัน เจ้าอย่าได้คิดเล็กคิดน้อยสิ”
เพราะเหตุผลนี้ทำให้เด็กชายที่ไม่พอใจกำหมัด เขาชอบมาเที่ยวที่นี่ เดินมองทุ่งกว้างจึงสบายใจ พอเห็นว่ามีเด็กที่อายุน้อยกว่าตนเดินเด็ดดอกไม้จึงหงุดหงิด
“เราไปทางอื่นเถอะ”
“....”
“เจ้ารอง เราไม่ควรก่อเรื่อง ดูจากเสื้อผ้าของสองคนนั้นน่าจะเป็นลูกคนมีเงิน หากเจ้าไปหาเรื่องจะทำให้ซวยกันหมด อย่าลืมว่าตอนนี้เราไม่ใช่คุณชายอีกแล้ว”
“ข้ารู้!”
ชะตากรรมที่พลิกผันจากสูงตกลงมาต่ำเตี้ย โดนคนดูถูกมองด้วยสายตารังเกียจ แม้ที่จะซุกหัวยังต้องแย่งกับคนอื่น แต่เพราะเคยเป็นชนชั้นสูงมาก่อนจึงมีความหยิ่งทะนง และไม่อยากยอมรับว่านี่คือเรื่องจริง
“เจ้ารอง ข้าไม่ได้อยากจะตอกย้ำ แต่ว่าเราควรอยู่ให้เงียบที่สุดอย่างที่ท่านปู่สั่งไว้”
“กลับกันเถอะ ข้าไม่มีอารมณ์จะเดินชมทุ่ง” หากอยู่ต่อไม่แน่ว่าเขาจะยั้งใจตนเองได้ คงเดินไปถามสักประโยค
“เฮ้อ! ยังดีที่เขายังรู้ตัว”
น้องชายบ้านรองผู้นี้แต่เดิมไม่เคยมีความอดทน หากเขาไม่ชอบหรือไม่พอใจจะแสดงออกมาทันที แต่ด้วยสถานการณ์ของครอบครัวจึงไม่อาจทำตามอารมณ์
ก่อนจะไปเขายังหันไปมองเด็กสองคนที่เด็ดดอกไม้หัวเราะร่าอย่างมีความสุข ไม่รู้ทำไมจึงได้อิจฉาพวกเขา อาจเพราะความที่ยังเยาว์จนไม่เข้าใจเรื่องทุกข์ใดกระมัง
“พี่ชาย ตรงนู้นมีคนมองเราด้วย เขาทำหน้ายักษ์แบบนี้”
“รึว่าเขาจะเป็นคนปลูกดอกไม้ เลยโกรธที่เราเก็บ”
“ไม่หรอก ทุ่งนี้เกิดขึ้นเอง ข้าว่าเราเก็บอีกหน่อยก็พอแล้ว”
“อ้าวทำไมล่ะ! ไหนบอกจะเก็บไปเยอะ ๆ”
“เพราะมันหนักจนข้าจะยกไม่ไหว ขืนลากไปได้ช้ำหมดสิ”
“ถ้าอย่างนั้นมัดปากถุงเอาไว้ก่อน แล้วมาไล่จับผีเสื้อกัน”
“....” มันเป็นอะไรกับผีเสื้อหนอพี่เอ๋ย ถึงในใจจะคิดอย่างแต่กลับยิ้มให้แล้วพยักหน้าแต่โดยดี
ยังไงตอนนี้ตนก็เป็นแค่เด็กห้าขวบหากไม่เล่นไม่ซน มันจะดูแปลกแตกต่างจากหลี่หลิงคนเดิม เท่านี้แม่ก็กวาดมองแล้วกวาดมองอีก รู้แหละว่าสงสัยทำไมลูกสาวเปลี่ยนไป จึงได้แต่ทำมึนไม่รู้ไม่ชี้
ทั้งคู่วิ่งเล่นกันไม่นานนัก เห็นท่านอาเดินแทบวิ่งมาลิบ ๆ เขาคงเป็นห่วงจึงมาเร็วขนาดนี้ ตอนที่รู้ว่าหลานเก็บดอกไม้ไปสองถุงย่ามถึงกลับหน้าซีด ไม่ใช่ว่ากลัวถูกคนตำหนิที่มาขนเอาดอกไม้ในทุ่งไป แต่เพราะหลานยังเล็กคนที่ต้องขนกลับจึงหนีไม่พ้นตน ลองคิดภาพผู้ชายหนุ่มหน้าตาดีสะพายย่ามดอกไม้ คนจะไม่คิดว่าเขาเป็นพวกตัดแขนเสื้อหรือ
หลี่หลิงเองก็เพิ่งเข้าใจตอนที่สาว ๆ พากันมองเขาแล้วหันไปซุบซิบกัน ไม่ได้นะ หลานที่น่ารักจะปล่อยให้ท่านอาถูกเข้าใจผิดได้อย่างไร ผู้ชายงานดีขนาดนี้ต้องขยาย
“ท่านอาของข้าชอบผู้หญิงเจ้าคะ!”
“หลิงเอ๋อร์!”
“ไม่ใช่ ๆ นะเจ้าค่ะ ท่านอาชอบผู้หญิง เขายังโสดยังไม่ได้แต่งงาน” เด็กหญิงยิ้มและยังอธิบายกับทุกคนที่มองมา พวกเขาต่างหัวเราะขบขันในความกระตือรือร้นของนาง
“ท่านอาหล่อและใจดีนะเจ้าคะ”
“ท่านอาเป็นหมอด้วย”
และนี่คือการแก้ปัญหาของนาง ก็ร้องตะโกนบอกไปตลอดทางกลับบ้านมันซะเลย
“หลิงเอ๋อร์พอแล้ว!”
เห็นหลานทำแบบนี้ เขาว่าปล่อยให้คนเข้าใจผิดไปยังจะขายหน้าน้อยกว่า จากที่คนมองไม่กี่คนตอนนี้หันมองกันตลอดทางเดิน
“ท่านอาข้าเป็นคนดีมากขอรับ!”
“....” หลงเอ๋อร์ก็เป็นไปด้วยอีกคน ชักอยากหายตัวได้เสียแล้ว
“นั่นหอบอะไรกลับมาเสียเยอะ มากแบบนี้ไม่ใช่ว่าเด็ดมาจนหมดสวน”
“ไม่เลยเจ้าค่ะ ข้าเอาแค่ที่ขนไหวเท่านั้น”
“พูดดูดีเชียว ข้าต่างหากที่แบกมา เจ้าสองพี่น้องวิ่งตัวปลิวยังกับลม”
“ท่านอาจะให้เด็กตัวเล็ก แบกถุงดอกไม้มาได้อย่างไร ทำแบบนั้นผู้คนจะตำหนิว่าท่านใจดำเอาได้”
“ฟังบุตรสาวจอมซนของท่านสิพี่สะใภ้ เดี๋ยวนี้นางช่างแสบสันจนข้าไม่รู้จะพูดคำใด”
“แหม ๆ ท่านอา หลานสาวที่น่ารักเช่นข้าหาไม่ได้อีกแล้ว มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”
“มีเจ้าคนเดียว ข้าแก่ขึ้นเป็นสิบปี”
“โห!” แรงอ่า!
เด็กหญิงเอียงคออ้าปากหวอ ท่านอาพูดจนนางอึ้ง มารดากับพี่ชายเห็นสีหน้าเหลอหลาของหลิงเอ๋อร์จึงพากันหัวเราะขบขัน
“สนุกกันเหลือเกินนะ!”
“....!”