จากที่กำลังพูดคุยสนุกสนานกลับต้องหยุดลง เพราะมีคนกำลังไม่พอใจ หลี่หวงที่เดินเข้ามากวาดสายตามองภรรยากับน้องชายตน การกระทำของเขานั้นแสดงออกชัดว่าต้องการจับผิดและคลางแคลงใจ
“พี่ใหญ่ ท่านมองพวกข้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“ข้ายังไม่ทันพูด เจ้าร้อนตัวเสียแล้วหรือ”
“ร้อนตัว? หึ! ท่านกล่าวหนักไปแล้ว ไม่ว่าใครหากถูกมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเยี่ยงนี้ ก็ต้องรู้สึกไม่ชอบทั้งนั้น หากเป็นตัวท่านที่ถูกกระทำบ้าง คงไม่ยืนเฉย ๆ จริงมั้ย”
“หลี่เหมิน ข้าว่าเจ้ากลับห้องไปจะดีกว่า ข้ามีเรื่องจะพูดกับภรรยาเป็นการส่วนตัว”
“....” อีเหนียงเพียงเหนื่อยหน่ายถอนหายใจ พูดคุยที่ว่า คือท่านพูดคนเดียว ส่วนข้าเป็นคนฟัง คนอย่างหลี่หวงไม่เคยคุยดี ๆ กับตนสักครั้ง ถึงจะอย่างนั้นนางก็เลี่ยงไม่ได้ จึงหันมากล่าวกับน้องสามีเพื่อเป็นการไหว้วาน
“ข้าต้องรบกวนน้องรอง ช่วยดูแลเด็ก ๆ สักครู่”
“พี่สะใภ้วางใจ พวกเขาเป็นหลานของข้า ไม่ถือเป็นการรบกวน หลงเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์ พวกเจ้าตามข้ามา ให้ผู้ใหญ่เขาคุยกัน”
“เจ้าค่ะ / ขอรับ”
มองอาหลานแบกถุงดอกไม้เดินออกไป อีเหนียงจึงนั่งลงเพื่อรอฟังว่าสามีจะพร่ำบ่นอันใดให้ตนอีก หลี่หวงเห็นดังนั้นเส้นขมับจึงปูดขึ้นข้างหน้าผาก นับวันดูนางจะผยองอวดดีอย่างที่ชิวอี๋ว่า เป็นงูพิษที่เลี้ยงไม่เชื่องโดยแท้
“ท่านจะพูดอันใดก็ว่ามา หรือจะยืนจ้องหน้าข้าเช่นนั้นก็เชิญ”
“อวดดี! เดี๋ยวนี้เจ้าชักจะเอาใหญ่ ถือตัวว่าเป็นเมียเอกแล้วข้าจะไม่กล้าจัดการเจ้าหรือ”
“ทุกวันนี้มีสิ่งใดบ้างที่ท่านไม่กล้าทำ ยกอนุข่มฮูหยิน ไม่ว่าจะให้รับใช้ดังบ่าว ที่ถึงขนาดใช้ข้าซักแม้แต่เอี๊ยมบังทรงของเมียน้อย ของต่ำ ๆ เช่นนั้นข้ายังทำมันอยู่ทุกวัน”
“แต่นั่นก็เป็นงานที่เจ้าต้องทำ แค่เพิ่มเข้าไปนิดหน่อยจะบ่นขึ้นมาทำไม”
“เช่นนั้นข้าอยากจะถามท่านเหมือนกันว่าเมียน้อยมีหน้าที่อะไร นอกจากออเซาะออดอ้อนและให้ความสุขในยามค่ำคืน อย่างอื่นก็ไม่ต้องทำแล้ว”
“อย่าได้มากล่าวถึงชิวอี๋เช่นนั้น นางคือเมียอีกคนของข้าหาใช่นางบำเรอ”
“แล้วข้าที่แต่งเข้ามาอย่างถูกต้อง เหตุใดจึงกลายเป็นเพียงบ่าวในบ้านหลังนี้ได้ พูดไปพูดมา คือท่านที่ไร้เหตุผลไม่มีความยุติธรรม”
“เจ้าไม่พอใจ ที่ข้าไม่ให้ความสำคัญ ถึงได้คิดเป็นอื่นสินะ หึ! สมแล้วที่เป็นเพียงลูกชาวนา”
“ท่านกำลังพูดเรื่องอะไร เหตุใดจึงดูแคลนข้า ที่ผ่านมาข้าทำหน้าที่ของตนมิขาดตกบกพร่องเลยสักวัน ถ้าจะกล่าวหากันอย่างเลื่อนลอยไม่สู้นำหลักฐานออกมา และแจกแจงให้กระจ่าง อย่าได้เที่ยวสาดโคลนใส่ผู้อื่น”
“อีเหนียง เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครกัน ข้าถึงต้องให้ค่าเจ้าขนาดนั้น การกระทำของเจ้ามันคลุมเครือ มิรู้หรือว่าเพียงสิ่งนี้ข้าก็สามารถหาข้ออ้างไล่เจ้าออกไปได้”
“ข้าทำทุกอย่างโดยบริสุทธิ์ใจเสมอ ผู้อื่นต่างหากที่โยนเผือกร้อนใส่มือข้า ข้อหาที่ไม่ได้ก่อจะให้รับได้อย่างไร”
ถึงอีเหนียงจะไม่ได้ร่ำเรียนมาสูงและไม่ใช่คนฉลาดนัก แต่ใช่ว่านางจะไม่เข้าใจคำพูดให้ร้ายของเขา ที่กำลังบอกว่านางนั้นคิดนอกใจสามี ข้อกล่าวหานี้ร้ายแรงเกินกว่าที่จะรับไหว
“รับหรือไม่ คนที่กำหนดไม่ใช่เจ้า จงอยู่ให้เงียบเก็บมือเท้าให้ดี หากข้ายังเห็นเจ้าเข้าใกล้น้องชายข้าอีก จงเตรียมตัวเก็บข้าวของแล้วไสหัวกลับไปอยู่ทุ่งนาเสีย”
“ท่านนี่ช่างคิดเรื่องชั่ว ๆ แบบนั้นขึ้นมาได้ ถึงข้าจะไม่ได้มีชาติกำเนิดที่ดีนัก แต่ก็ไม่ได้สิ้นคิดที่จะทำอะไรเช่นนั้น ดีกว่าคนบางคนที่วัน ๆ นอกจากคอยจับผิดผู้อื่น หาได้ทำประโยชน์ใดไม่”
“ดี! ในเมื่อเจ้ายังจองหอง เช่นนั้นต่อไปนี้อย่าได้มาขอเงินข้าแม้แต่แดงเดียว ข้าจะดูสิว่าความอวดดีของเจ้า จะช่วยให้อยู่รอดไปนานแค่ไหน” ผู้เป็นสามียิ้มเยาะเดินสะบัดแขนเสื้อจากไป เขาไม่สนว่าต่อไปลูกเมียจะอดอยากหรือไม่
อีเหนียงกัดปากจนห้อเลือด กำมือแน่นจนปลายเล็บจิกเข้ากลางฝ่ามือ ไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด เพราะในใจมันปวดหนึบจนชา ทุกวันนี้นางอยู่อย่างยากลำบากมากเหลือเกินแล้ว เพียงเศษเงินที่เขาโยนให้ไหนเลยจะเพียงพอใช้จ่ายในแต่ละวัน ทั้งยังเจ็บใจที่เขากล่าวหาตนว่าทำตัวสำส่อนคิดให้ท่าน้องสามี น้ำตาแห่งความคับแค้นใจจึงไหลออกมาอาบแก้ม ไม่ดีสักนิด การเป็นภรรยาที่เชื่อฟังไม่เห็นจะมีค่าในสายตาของเขาเลย ความทุ่มเทหลายปีเป็นเรื่องที่เสียเปล่าอย่างสิ้นเชิง
“หลิงเอ๋อร์ เจ้าให้พี่ชายเก็บดอกไม้มาตั้งมาก ที่แท้เจ้าจะคิดทำการใด จงบอกข้ามาเสีย”
เขาสังเกตว่านางมีแผนในใจ และไม่เชื่อว่าจะให้ขนดอกไม้มาจำนวนมากเพื่อเล่น หลานคนนี้ตั้งแต่หายป่วยก็ฉายแววเฉลียวฉลาดออกมาให้เห็นอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นจะกล้าเป่าหูมารดาอยู่ทุกวันหรือ จนตอนนี้พี่สะใภ้ตนเริ่มแข็งข้อใส่พี่ชายเขาอย่างเปิดเผย แต่นั่นก็อาจเข้าทางของอนุที่ต้องการกำจัดพวกนางแม่ลูก
“ท่านอาพูดอะไร หลิงเอ๋อร์ไม่เข้าใจ”
ถึงจะถูกจับได้ แต่เด็กหญิงยังทำตาใสไร้เดียงสา ยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมรับ
“หืม” หลี่เหมินหรี่ตามองแล้วยิ้มกริ่ม เอามือเท้าคางดูหลานสาวเล่นละคร ร้ายจริงนะตัวแค่เนี่ย
“....” หลี่หลง ผู้เป็นพี่ชายได้แต่นั่งฟังอย่างไม่เข้าใจ
“พี่ชาย มัวทำอะไรอยู่ เลือกดอกไม้ช่วยข้าสิ เร็ว ๆ เข้า”
“หึ ๆ” หลี่เหมินหัวเราะในลำคอ ดูเจ้าตัวแสบจะออกอาการร้อนรนเสียแล้ว เอาเถอะในเมื่อนางไม่อยากบอกเขาเองก็คร้านจะถาม ไว้เห็นเมื่อไหร่ก็คงได้รู้
เห็นว่าท่านอาไม่ถามต่อจึงลอบถอนหายใจ จะให้บอกได้ยังไงว่าจะทำน้ำมันหอมให้แม่ขายแบบนั้นได้ถูกสงสัยแน่ จะให้โกหกบอกไปว่ารู้มาจากในฝัน เขาคงเชื่อตาย
“ท่านแม่ ทำไมตาท่านจึงแดงแบบนั้นขอรับ”
“ไม่มีอะไรหรอก ลมพัดแรงฝุ่นจึงเข้าตา แล้วสองคนยังหอบดอกไม้มาเล่นอีกหรือ”
เด็กหญิงมองดูก็รู้ว่ามารดาโกหก คงถูกบิดาต่อว่าอีกตามเคย แต่ไม่ได้กล่าวเปิดโปง เพียงคิดอยู่เงียบ ๆ ว่าจะต้องหาลู่ทางทำกินให้เร็วขึ้น จะพาแม่หนีไปจากพ่อคนนี้
“น้องสาวบอกว่าอุตส่าห์เก็บมา จะทิ้งไปไม่ได้เลยต้องเอามาด้วยขอรับ”
“เช่นนั้นก็เอาไปเก็บในห้องเถอะ เดี๋ยวข้าจะไปหาอะไรให้เจ้ากิน”
สองพี่น้องมองตามมารดาที่เดินเข้าครัว หลี่หลงจึงเอาถุงดอกไม้ใบใหญ่เข้าห้อง เพราะหลี่เหมินไม่เอามาส่งให้ เนื่องจากสถานการณ์ของพี่ชายพี่สะใภ้ไม่สู้ดี เกรงว่าจะยิ่งทำให้สามแม่ลูกลำบาก
“กินแค่นี้ไปก่อน ไว้ไปตลาดจะซื้ออย่างอื่นมาทำให้กิน”
เด็กหญิงเด็กชายมองข้าวต้มกับผักดองเค็มอย่างมึนงง เพราะข้าวมีแต่น้ำใส ๆ จนนับเม็ดได้ กับผักดองถ้วยเล็ก นี่ชะตาของพวกตนมาถึงจุดนี้แล้ว ดูท่าบิดาจะไม่ได้แค่ลดเบี้ยแต่ตัดเลยมากกว่า
“ท่านแม่ ถ้าท่านพ่อไม่ให้เงิน แล้วเราจะไปตลาดได้ยังไง”
“พูดอะไรแบบนั้น บิดาเจ้าเขาไม่ใจร้ายพอจะปล่อยให้เราอด”
“ในขณะที่เรากินน้ำแช่วิญญาณข้าว แต่ท่านพ่อกับท่านน้ากินอาหารเหลา แบบนี้จะบอกว่าใจดีอีกหรือ ท่านแม่ ท่านจะทนอยู่แบบนี้ต่อไป แต่ข้าทนไม่ไหว”
“น้องสาว อย่าพูดกับท่านแม่แบบนั้นสิ ไม่ดีเลย”
“ข้าพูดความจริง”
“น้องสาว”
“ไม่รู้ล่ะ ข้าไม่อยากเป็นเด็กหัวโตที่ขาดสารอาหาร”
“หลิงเอ๋อร์ หลงเอ๋อร์ ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าสองพี่น้องต้องลำบาก เพราะมีแม่ไม่เอาไหนอย่างข้า”
“ท่านแม่! / ท่านแม่!” เด็กทั้งสองตกใจ เมื่อเห็นมารดาร้องไห้โฮ เป็นครั้งแรกที่อีเหนียงแสดงความอ่อนแอต่อหน้าลูก แต่นางฝืนต่อไปไม่ไหวแล้วเช่นกัน ทุกอย่างประดังประเดเข้ามาจนร่างจะสลาย ทุกข์ใจจะตายเสียให้ได้
“โอ๋ ๆ ท่านแม่อย่าน้อยใจเลย หลิงเอ๋อร์บ่นไปอย่างนั้นเอง ท่านแม่ไม่ร้องนะเจ้าคะ”
“ใช่แล้วขอรับ น้องสาวก็ชอบโวยวายอยู่เรื่อย วันหลังข้าจะดุนางเองจะได้ไม่ทำให้ท่านแม่หนักใจ”
“โธ่! ลูกทั้งสองคนของแม่ จงอย่าโทษตัวเอง หาใช่เพราะพวกเจ้าไม่ แต่เป็นมารดาที่อ่อนแอ”
“ท่านแม่ ท่านร้องไห้จนตาแดงเป็นกระต่ายเลย ถ้าอย่างไรท่านไปหามาให้ข้าเลี้ยงสักตัวเถอะ”
“น้องสาว เจ้าพูดอะไรของเจ้าไม่เข้าท่า เท่านี้ยังก่อเรื่องไม่พออีก”
“เอ๊ะ! พี่ชาย ท่านนี่จะขัดข้าให้ได้ทุกเรื่องเลยใช่มั้ย”
“ข้าไม่ได้ขัดแต่เจ้านั่นแหละที่เยอะ”
“ท่านแม่ ท่านดูเขาสิ”
“พวกเจ้านี่นะ จะทะเลาะกันทำไม” จากที่กำลังเศร้าเปลี่ยนเป็นมาแสร้งดุลูกทั้งสองคนแทน ไยนางจะไม่รู้ว่าพวกเขาแกล้งทะเลาะกันเพื่อให้มารดาเช่นตนคลายความหนักอึ้งในใจลง
“เห็นมั้ยเพราะพี่ชาย ข้าถูกท่านแม่ดุเลย”
“เจ้าคนเดียวเสียเมื่อไร ข้าก็โดนดุเหมือนกัน”
“ถ้ายังไม่หยุดอีก ข้าจะเก็บกับข้าวแล้ว สรุปจะนั่งลงกินดี ๆ มั้ยหืม”
“กินขอรับ / กินเจ้าค่ะ”
มือหยาบปาดเช็ดน้ำตาลวก ๆ ก่อนจะพาลูกกินข้าว พร้อมกับต้องครุ่นคิดอย่างหนักว่าพรุ่งนี้จะเอาอะไรให้พวกเขากิน ในเมื่อเงินในมือนั้นไม่มีเหลือแล้ว
ฟังเสียงถอนหายใจของมารดา เด็กหญิงจึงเหลือบตามองเล็กน้อยจึงซดน้ำวิญญาณข้าวลงท้อง กินไม่ได้ก็ต้องกิน ก่อนจะไม่มีให้กิน เช่นเดียวกับคนพี่ที่จำใจกลืน
“ฮ้าว! น้องสาว ทำไมต้องลากข้าออกจากที่นอนกลางดึก”
“เพราะเราต้องรอให้ผู้ใหญ่หลับก่อนนะสิ มาเร็ว ต้องรีบทำก่อนที่มันจะเหี่ยวทิ้ง”
“ทำ? จะเอาดอกไม้ไปทำอะไร”
“อย่าพูดมาก มาช่วยข้ายกขึ้นเร็วเข้า”
“หา! ของพวกนี้คือ!”
“อุปกรณ์หาเงินยังไงล่ะ รับรองว่าคราวนี้ต่อให้ท่านพ่อไล่เรา ก็ไม่ต้องกลัวจะอดอีกต่อไป”