ห้องประชุมชั้น 58 ของราเมียส กรุ๊ปเงียบกริบเสียจนได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษ
อลิสแตร์นั่งหัวโต๊ะในชุดสูทเข้ารูปสีดำสนิท เนกไทด์ผูกเรียบ มือวางอยู่บนเอกสารตรงหน้า ในขณะที่สายตาคมสีเทาเหยียบเย็นกวาดมองทั่วโต๊ะอย่างไม่ละสาย
ฝั่งตรงข้ามคือผู้จัดการแผนกการตลาด แผนกสินทรัพย์ และผู้บริหารสาขาหลายประเทศที่กำลังเหงื่อตกอยู่ในเก้าอี้ตัวหรู
คิมหันต์เดินเข้ามาช้า ๆ พร้อมแฟ้มข้อมูลชุดใหม่ วางลงตรงหน้าประธานก่อนจะกระซิบเบา ๆ
“อันนี้ตัวเลขเดือนก่อนครับ รายการหายไป 2% จากคาดการณ์ในอินเดีย และเกาหลีใต้”
อลิสไม่ตอบอะไรทันที เขาเพียงแค่เปิดแฟ้ม ปลายนิ้วไล่ผ่านตัวเลขเรียงอย่างช้า ๆ จนกระทั่งหยุดที่บรรทัดหนึ่ง
เพียงแค่เขาเงยหน้าขึ้น—บรรยากาศทั้งห้องก็เหมือนหยุดหายใจ
“คุณลี…”
เขาเอ่ยชื่อซีอีโอฝั่งเกาหลีอย่างเฉียบขาด
“ในไตรมาสที่แล้ว คุณรับปากผมเรื่อง Conversion Rate ว่าจะอยู่ไม่ต่ำกว่า 18% …แต่ที่ผมเห็นคือ 12.6%”
เสียงเขานิ่ง แต่ทุ้มต่ำจนสั่นสะเทือนในอก ลลิลที่นั่งอยู่ด้านหลังซ้ายของเขาเงยหน้าจากไอแพดทันที เธอกำลังจดทุกคำที่เขาพูด แต่หัวใจดันเต้นแรงกับ ‘พลังควบคุมทุกอย่าง’ ของชายตรงหน้ามากกว่า
“มันไม่ใช่เรื่องแปลกครับท่านประธาน...สถานการณ์ตลาด—”
ผู้บริหารเกาหลียิ้มเกร็ง
“ผมไม่ซื้อข้ออ้างจากสถานการณ์”
เสียงของอลิสตัดคำอย่างไร้เยื่อใย
“ผมซื้อ ‘ความรับผิดชอบ’ …และถ้าคุณไม่มีมัน ผมจะหาคนที่มีมาแทนคุณ”
เงียบ
แม้แต่เสียงแอร์ก็เหมือนเบาลง
ลลิลเผลอกลืนน้ำลาย เหงื่อเม็ดเล็กเกาะขมับ เธอพยายามพิมพ์บันทึกประชุมต่อ แต่ดันหลุดคิดในใจขึ้นมาว่า...
‘...นี่เหรอ ผู้ชายที่ควบคุมทุกอย่างด้วยคำพูดเดียว’
อลิสแตร์ยังคงประชุมต่อไปอย่างไร้ความปรานี ทุกการถามเจาะเหมือนมีมีดตัดฉากโกหกออกเป็นชิ้น ๆ จนไม่มีใครกล้าขยับตัวเกิน 5 องศา
คิมหันต์ทำหน้าที่เหมือนมือขวาที่รู้ใจ รวบเอกสาร วางข้อมูลเสริม ส่งสัญญาณทางสายตาอย่างเงียบ ๆ
บางครั้งเขาเอียงหน้ามองลลิลอย่างพินิจ ก่อนจะยกยิ้มเล็ก ๆ แบบคนที่มีความลับอะไรบางอย่าง
เมื่อการประชุมจบลงในอีก 40 นาทีให้หลัง อลิสแตร์ลุกจากเก้าอี้โดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติม ขณะเดินผ่านลลิลเขาปรายตามองเล็กน้อย เขาก้าวพ้นประตูห้องประชุมออกไปเงียบ ๆ โดยไม่ได้พูดอะไร
ลลิลกำลังจะลุกขึ้นตาม คิมหันต์เอ่ยเสียงเรียบจากด้านหลัง
“บอสให้คุณตามไปที่ห้องชั้นบนครับ”
“คะ?”
“ตอนนี้เลยครับ” เขายิ้มเล็กน้อย แต่แววตาไม่ใช่เล่น
...
ภายในห้องทำงานส่วนตัวของอลิสแตร์
กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของไม้ซีดาร์และกระดาษใหม่ยังอวลอยู่ในอากาศ
ลลิลยืนตรงประตู มือถือไอแพดไว้แน่นแนบกับตัวราวกับมันจะช่วยป้องกันได้ อลิสแตร์ยืนหันหลังให้เธอ มองวิวตึกสูงผ่านกระจกแบบไม่หันมามอง
เสียงเขานุ่มลึกก็จริง แต่ไม่เปิดโอกาสให้ลลิลคัดค้าน
“เตรียมตัวให้พร้อม เย็นนี้เราจะเดินทางไปภูเก็ต”
“คุณต้องติดตามผมไปพบคู่ค้า และเซ็นสัญญาภาคสนามกับ The Leviathan Group”
ลลิลเผลอกะพริบตา
“ไปภูเก็ต...คืนนี้เลยเหรอคะ?”
เขาหันมาช้า ๆ ดวงตาสีเทาคมกริบคู่นั้นจ้องเธอเหมือนจะอ่านทุกอณูบนใบหน้า
“มีอะไรที่คุณไม่เข้าใจ?”
“เอ่อ...เปล่าค่ะ...” เธอส่ายหน้าน้อย ๆ พยายามตั้งหลัก
อลิสแตร์เดินเข้ามาใกล้อีกนิด หยุดอยู่ตรงหน้าเธอในระยะที่ลมหายใจของเขาแทบจะรินรดใบหน้ากัน
นิ้วเรียวยาวหยิบแฟ้มเอกสารจากมือเธอ แล้วโน้มหน้าต่ำลงนิด...จนสายตาอยู่ระดับเดียวกัน
“เลขาส่วนตัวของผม...ต้องพร้อมเสมอ ไม่ว่าในห้องประชุม หรือบนเครื่องบินส่วนตัว”
คำว่าส่วนตัวถูกเน้นเสียงแผ่วเบาจนขนลลิลลุกซู่ เธอกลืนน้ำลายอีกรอบ...เลือดฝาดแล่นขึ้นมาที่ใบหน้าโดยไม่รู้ตัว
อลิสแตร์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ก่อนตวัดสายตามาที่เธออีกครั้ง
“ไทเลอร์จะไปรับคุณที่เพนต์เฮ้าส์ตอนสี่โมง”
“จัดกระเป๋าเฉพาะที่จำเป็น...และเตรียมชุดสำหรับเข้าร่วมงานเลี้ยงตอนค่ำในวันพรุ่งนี้ด้วย”
เขาบอกเสียงเรียบ แต่ดวงตาคมของเขากลับสั่นไหวระริก ก่อนจะหายไปภายใต้ใบหน้าเย็นชา
ลลิลเบิกตากว้าง ก่อนจะขมวดคิ้วบางด้วยความสงสัย
“เดี๋ยวนะคะ...แล้ว ‘ชุด’ ที่ว่าจะให้ฉันใส่ไปงานเลี้ยง ต้องเป็นแนวไหนเหรอคะ? เพราะถ้าฉันเตรียมผิดธีมแล้วคุณไปมองบนใส่กลางโต๊ะอาหาร ฉันคงหงายหลังตายก่อนเซ็นเอกสารแน่ ๆ”
เธอพูดรวดเดียวจบพร้อมจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่องในระดับหนึ่ง แม้ในใจจะเริ่มสั่น ๆ เหมือนกันก็ตาม
อลิสแตร์ชะงักนิดเดียวก่อนยกยิ้มมุมปาก — ยิ้มที่เหมือนคนเห็นเหยื่อตอบโต้แล้วถูกใจ
“คุณไม่ต้องกังวลถึงขนาดนั้น”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แต่มีประกายบางอย่างในดวงตาที่ชัดเจนว่าเขากำลังเล่นกับไฟ
“แค่เลือกเดรสที่ใส่แล้วคุณมั่นใจ...และสามารถเดินเคียงข้างผมได้โดยไม่อายใครก็พอ”
เขาเว้นจังหวะเล็กน้อย ราวกับจงใจปล่อยให้คำพูดนั้นแทรกเข้าไปในความคิดของเธอ
“ไม่โป๊...แต่ต้องมีแรงดึงดูดพอให้ผู้ชายในห้องเหลียวมอง”
“แต่สายตาของคุณ...ต้องมองแค่ผม”
ลลิลอ้าปากค้าง
“คุณ—…”
“และเมื่อคุณพบคู่ค้า...” เขาพูดต่อทันที ราวกับไม่เปิดช่องให้ต่อล้อต่อเถียง
“แค่ยืนข้างผม จับประเด็นให้ทัน จดทุกอย่างที่พูด และห้ามพูดมากกว่าคำว่า ‘ยินดีที่ได้พบค่ะ’ จนกว่าผมจะสั่ง”
ดวงตาคมวาวสบตาเธอแน่นิ่ง ก่อนจะเอียงหน้าเล็กน้อย
“เข้าใจไหม คุณเลขา”
ลลิลกลืนน้ำลายเบา ๆ ก่อนพยักหน้า แต่ก็ยังกล้าถามอีก
“แล้วถ้ามีใครถาม...ว่าฉันเป็นอะไรกับคุณ ฉันควรตอบว่ายังไงดีคะ?”
คำถามนั้นทำให้อลิสแตร์ยิ้มออกมาอีกครั้ง—คราวนี้แววตาในรอยยิ้มนั้น...ดูเหมือนจงใจมากขึ้น
เขาก้าวเข้ามาอีกนิด ลดเสียงลงเป็นกระซิบ
“ตอบไปตามใจคุณสิ...”
“แค่แน่ใจว่า ถ้าจะโกหก...ต้องโกหกให้เนียน และไม่มีใครจับได้”
พูดจบเขาก็กวาดตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะย้ำว่า
“ขอแค่อย่าทำผมขายหน้าก็พอ”
ลลิลขมวดคิ้ว ก่อนยิ้มแห้ง ๆ แบบไม่ซ่อนความหมั่นไส้เลยแม้แต่น้อย
“ถ้าอย่างนั้น...ฉันจะทำให้ดูดีที่สุดเท่าที่คุณต้องการเลยก็ได้ค่ะ”
เธอพูดเสียงหวาน ดวงหน้าใสซื่อเกินเหตุ ก่อนจะแบฝ่ามือตรงหน้าเขาอย่างไม่อ้อมค้อม
“แต่ของแบบนี้...มันต้องมีการลงทุนนะคะ ท่านประธาน”
น้ำเสียงเรียบ ๆ แต่แววตาของเธอคือประกายแสบซ่าแบบชัดเจน
อลิสแตร์ชะงักไปครู่เดียว ก่อนริมฝีปากหยักจะยกยิ้มขึ้นช้า ๆ
ดวงตาเทาคมวาวอย่างคนเริ่มสนุกกับเกมตรงหน้า
เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท
...แล้วหยิบบัตรเครดิตสีดำเงาระดับพรีเมี่ยมที่สุดออกมา — ไม่มีตัวเลข ไม่มีชื่อบัตร แค่เพียงเห็นขอบทองบาง ๆ และตราสัญลักษณ์...ลลิลก็รู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่บัตรธรรมดาแน่
เขาวางบัตรใบนั้นลงบนฝ่ามือเธออย่างนุ่มนวล แต่ยังไม่ทันที่เธอจะขอบคุณหรือแซวอะไรสักคำ ...มือของเขากลับจับข้อมือเธอไว้แน่น แล้วดึงเธอเข้ามาใกล้—เร็วเกินกว่าที่เธอจะตั้งตัวทัน
ร่างบางของลลิลปะทะเข้ากับอกแกร่งของเขาเต็ม ๆ เธอสะดุ้ง เสียงหัวใจตัวเองดังจนกลัวเขาจะได้ยิน
อลิสโน้มหน้าเข้ามา กระซิบเสียงพร่าชิดใบหู
“ผมจะรอดูผลงานของคุณ...คืนพรุ่งนี้”
เสียงแผ่วต่ำลากยาวของคำว่า คืนพรุ่งนี้ ทำให้เธอถึงกับลืมหายใจไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะผละออก ยิ้มบาง ๆ แล้วหมุนตัวเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทิ้งให้ลลิลยืนตัวแข็ง หน้าร้อนเห่อ...พร้อมบัตรเครดิตดำที่ยังวางอยู่ในมือเหมือนของร้อน
“อะไรกันเนี่ย...” เธอบ่นเบา ๆ ทั้งอาย ทั้งมึน ทั้งขนลุก
ไม่รู้ว่าคืนนั้นเธอจะได้โชว์ ‘ผลงาน’ ที่ว่านั่นในงานเลี้ยง...หรือในห้องพักโรงแรมกันแน่