“อย่ากล่าวเช่นนั้น” เพราะถึงแม้ตัวนางจะไม่เก็บเย่วซินมาเลี้ยง นางก็เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่เป็นอะไร…นางรู้ดี? “แม่รู้ว่าสตรีที่ดีเช่นเจ้า ในภายภาคหน้าจะต้องได้เจอแต่สิ่งดีๆ แน่ รอดูเอาเถิด” ลูบผมของสตรีในอ้อมกอดอย่างรักใคร่ ใจล้วนเฝ้าหวัง…หวังว่าทุกอย่างจะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ยกเว้นเรื่องมงคล
รถม้าสกุลเสิ่น (10.40)
ผู้ร่วมทางในยามนี้ประกอบไปด้วยนายอำเภอเสิ่นซูฉีและบุตรชายอย่างเสิ่นซัวหยาง ที่กำลังเดินทางไปดูที่ดินสำหรับสร้างจวนหลังใหม่ จวนที่นายอำเภอผู้เป็นบิดาคิดเอาไว้ว่าจะมอบมันให้กับบุตรชายคนนี้ได้เริ่มต้นสร้างครอบครัวของตนเอง เป็นนายท่านเสิ่นอีกหนึ่งคน ซึ่งในขณะนี้จวนหลังใหม่ก็ใกล้จะเสร็จแล้ว ‘คงพอดีกับการรับสะใภ้ใหญ่เข้าสกุล!’
รถม้าคันใหญ่จอดลงตรงพื้นที่ก่อสร้าง ในสายตาที่เห็นนั้นคาดเดาได้ไม่ยากว่ามันคือจวนหลังใหญ่อันแสนงดงามไม่ต่างจากจวนหลังเดิม เสิ่นซูฉีผายมือออกไป พร้อมกล่าวกับบุตรชาย “จวนเสิ่นอีกหนึ่งหลังนี้ ตั้งอยู่ไม่ห่างจากจวนหลักของเรามากนัก พ่อเจ้าเริ่มสั่งให้คนมาก่อสร้างเอาไว้นานแล้ว ในยามที่เจ้ากำลังมุ่งมั่นตั้งใจจะเข้าสอบเป็นขุนนาง ยามนี้มันใกล้สำเร็จแล้ว คงพอดีกับที่ตัวเจ้าสมควรจะแต่งงาน พ่อว่าการมีจวนของตนอีกหนึ่งหลังย่อมเป็นเรื่องดีใช่หรือไม่”
เสิ่นซัวหยางค้อมหัวให้กับบิดา พลันนึกไปถึงเรื่องแต่งงานที่ท่านเอ่ยขึ้น โอกาสมาถึงเช่นนี้แล้วตัวเขาคงต้องบอกเรื่องสำคัญ “ลูกขอบคุณท่านพ่อขอรับ แต่นอกจากเรื่องนี้แล้วลูกยังมีอีกเรื่องที่ต้องบอกท่านพ่อ”
เสิ่นซูฉียกมือขึ้นห้าม ในเรื่องที่บุตรชายอยากจะบอกนั้น ตัวเขารู้อยู่แล้วว่ามันคือเรื่องใดหากมิใช่เรื่องเย่วซิน ภาพนินทาว่าร้ายถึงสตรีไร้แซ่ที่ไม่อาจคาดเดาได้ในภายหน้าเกิดขึ้นในหัวสมอง เพื่อเป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม ตัวเขาผู้เป็นบิดาควรเลือกหนทางที่ดีและฮูหยินที่ดีให้กับบุตรชาย ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป “เรื่องนั้นเอาไว้หลังจากที่พ่อพาเจ้าไปทำความรู้จักกับท่านเลขาซือเหล่าอวิ้นเสียก่อน รู้หรือไม่ว่าเลขาซือผู้นี้คือคนสนิทของฝ่าบาท การรู้จักขุนนางชั้นผู้ใหญ่ถือเป็นเรื่องสำคัญ อีกทั้งท่านเลขาซือยังมีบุตรสาวที่งดงามไม่แพ้ผู้ใดในแคว้นโจวเหิง กิริยามารยาทเรียบร้อย ที่สำคัญคือนางเพิ่งผ่านพ้นวันปักปิ่นมาไม่นาน” เขามองบุตรชายที่นั่งเงียบฟัง จึงกล่าวต่อทันที “ฐานะและยศศักดิ์ของสกุลซือสามารถเกื้อหนุนสกุลของเราได้ดี วันหน้าหากเจ้าได้ตำแหน่งในราชสำนัก การเลื่อนขั้นใดใดย่อมง่ายมากกว่ายาก เจ้าเข้าใจที่พ่อเจ้าพูดหรือไม่”
ในความเข้าใจ ก็คงไม่พ้นให้เขาไปดูตัวสตรีสกุลซือ แต่เขาจะทำได้อย่างไรในเมื่อเขารักกับเย่วซิน และเขาคิดว่าบิดาของเขาย่อมรู้ดี! “ลูกรู้ขอรับว่าท่านพ่อหวังดี แต่เรื่องเข้าพบท่านเลขาซือขอให้เป็นวันอื่นได้หรือไม่ขอรับ อีกเรื่องสำคัญที่ลูกอยากบอกก็คือลูกรักใคร่ชอบพอกับเย่วซิน ลูกอยากให้นางมาเป็นฮูหยินของลูก สตรีอื่นลูกยังมิได้นึกถึง”
“แต่เย่วซินมิมีหัวนอนปลายเท้า นางเป็นบุตรสาวสกุลใดเจ้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำ เช่นนี้แล้วเจ้าจะกราบไหว้ฟ้าดินกับนางอย่างไรในขณะที่นางไม่มีแม้แต่ญาติ!!” ความสงสารคือการยอมให้เย่วซินเป็นบุตรบุญธรรมของสกุลเสิ่นเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงการให้นางเข้ามาเป็นสะใภ้ “ทุกวันนี้ผู้คนล้วนเข้าใจว่าเจ้ากับนางเป็นพี่น้อง แม้มิใช่พี่น้องแท้ๆ ที่คลานตามกันมา แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่เหมาะสม คำครหาของชาวบ้านคือเรื่องใหญ่ ในภายหน้าอาจส่งผลให้เจ้ามิได้รับตำแหน่งขุนนางเลยก็เป็นได้” ตบไหล่บุตรชายดัง ปั่บๆ “ลองไปพบเลขาซือเหล่าอวิ้นดูก่อนจะเป็นไร”
เสิ่นซัวหยางได้แต่นั่งเครียดหนักยิ่งกว่าเดิม จิตใจเริ่มฟุ้งซ่านอยู่ไม่เป็นสุขเมื่อเรื่องราวระหว่างเขาและสตรีอันเป็นที่รักดูท่าว่าจะมีอุปสรรคอันใหญ่หลวงเสียแล้ว ‘พี่จะทำอย่างไรดีนะเย่วซิน’
จวนสกุลซือ
“เสิ่นซัวหยาง คาราวะผู้อาวุโสซือ” ยกมือประสานกันและค้อมคำนับ ซึ่งบุรุษที่มีเรือนผมสีดอกเลาตรงหน้าทำแค่เพียงผงกหัวรับ ข้างกันนั้นเป็นสตรีร่างบาง ใบหน้าน่ารักงดงามสมวัย คาดว่าอีกฝ่ายคือคุณหนูสกุลซือ…น่ารักอย่างไรแต่ในสายตาเขา อีกฝ่ายก็ยังไม่งามเท่าเย่วซิน!!
เสิ่นซูฉีลอบมองบุตรชายของตนและบุตรสาวของเลขาซือที่ดูท่าจะพึงใจบุตรชายของเขามาก แม้ใจอยากจะกล่าวถึงเรื่องมงคลด้วยตนเอง แต่เกรงว่ามันดูจะรีบร้อนจนเกินไปและไม่ดูเหมาะ การสนทนาในวันนี้จึงเน้นไปที่การแนะนำบุตรของกันและกันมากกว่า
ผ่านไปร่วมสองเค่อ (30 นาที) เลขาซือเหล่าอวิ้นจึงอนุญาตให้ทั้งสองคนได้เดินพูดคุยเพื่อทำความรู้จักกันให้มากขึ้น “หลิวเยี่ยน เจ้าพาพี่ซัวหยางไปเที่ยวชมสวนในจวนของเราสิลูก”
เจ้าของนามซือหลิวเยี่ยนรับคำบิดาแผ่วเบา “เจ้าค่ะ” ก่อนจะลุกขึ้นอย่างมีมารยาท “พี่ซัวหยาง มาทางนี้เถิดเจ้าค่ะ”
เสิ่นซัวหยางจำเป็นต้องลุกขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตัวเขาเดินอ้อมหลังบิดาตามติดซือหลิวเยี่ยนไปโดยไม่คิดอะไร สายตาคมกริบมองไปรอบบริเวณของจวนกว้างใหญ่ หากให้นับฐานะและตำแหน่งของบิดา แน่นอนว่าฝ่ายของเลขาซือย่อมมีตำแหน่งสูงกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตำแหน่งนายอำเภอชั้นดีของบิดาเขา และที่เลขาซือเหล่าอวิ้นเปิดจวนต้อนรับ คงไม่พ้นเพราะซือหลิวเยี่ยนสมควรที่จะออกเรือนได้แล้ว การเฟ้นหาบุรุษให้บุตรสาวคนโตย่อมเป็นเรื่องที่จะเป็น จะกล่าวว่าตัวเขาผู้ซึ่งกำลังรอผลการสอบขุนนางอยู่ ย่อมเป็นทางเลือกที่ไม่แย่นัก ‘หรือไม่แน่ว่าเลขาซืออาจจะรู้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วว่าตัวเขามีรายชื่อของผู้ผ่านการคัดเลือกในการสอบ อีกฝ่ายจึงมิได้แสดงสีหน้าท่าทางรังเกียจเมื่อพบกันเมื่อครู่’ อย่างไรเสียตัวเขาก็มิได้อยากเป็นเขยสกุลซือ จึงได้แต่ภาวนาให้เขาไม่เข้าตาสองพ่อลูกคู่นี้ ชังกันไปเลยย่อมดีใหญ่
^^ “พี่ซัวหยาง มาทางนี้เจ้าค่ะ ในจวนของข้ามีน้ำตกจำลองด้วยนะเจ้าคะ” พยายามรั้งชายเสื้อของบุรุษรูปงามเอาไว้ แต่ติดที่อีกฝ่ายชักกลับมือหนีอย่างรวดเร็ว ซือหลิวเยี่ยนขัดใจ แต่ยังคงแสร้งยิ้มและเดินนำไปอีกเล็กน้อยจนถึงที่หมาย
สถานที่ตรงนั้นมีบ่าวชายสามคนกำลังทำความสะอาดต้นไม้โดยรอบของน้ำตกจำลอง ทุกคนมองไปยังคุณหนูซือหลิวเยี่ยนและคุณชายแปลกหน้า แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาทั้งสามก็มิได้หลบเลี่ยงไปที่อื่น พอๆ กับที่คุณหนูมองพวกเขาคล้ายกำลังคาดโทษ!
เสิ่นซัวหยางยืนซึมซับบรรยากาศเย็นสบายของน้ำตกจำลองนั้นโดยไม่สนใจซือหลิวเยี่ยน สภาพแวดล้อมโดยรอบของจวนสกุลซือนับว่ากว้างขวางกว่าจวนของเขาอยู่ไม่มาก ต้นไม้ ใบไม้กระจายอยู่เต็มพื้นที่ให้ความร่มเย็นไม่ต่างจากจวนอื่นๆ ที่แปลกตากว่าคงเป็นน้ำตกจำลองแห่งนี้ที่งดงามและควรค่าแก่การมีไว้ในจวนจริงๆ ใจอยากจะสอบถามว่าผู้ใดเป็นช่างจัดสรรน้ำตกเช่นนี้ให้ แต่ก็มิได้ถามเนื่องจากซือหลิวเยี่ยนเป็นสตรี จะรู้เรื่องเช่นนี้กี่มากน้อยกัน “...”
“พี่ซัวหยางอายุกี่หนาวแล้วเจ้าคะ” ในคำถามนั้นมีความเขินอายปะปนอยู่เมื่อฝ่ายบุรุษเหลือบมองมาทางนาง
“ยี่สิบสอง”
หัวใจสตรีหวั่นไหวไปกับสายตาคมดุนั้น มันราวกับกระบี่ฟาดฟันผิวกายนางให้เลือดสาด ‘ร่างบางสั่นระริก’ อย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ ก่อนจะเผลอสบตาเข้ากับบ่าวชาย…ซือหลิวเยี่ยนเผลอสะดุ้ง!! แล้วรีบหันกลับมามองแผ่นหลังแกร่งของบุรุษที่น่าจะเป็นคู่หมายที่เหมาะสมของตัวเอง “พี่ซัวหยางรีบกลับจวนหรือไม่เจ้าคะ คือข้าอยากชวนพี่ซัวหยางอยู่รับสำรับเย็นด้วยกันที่นี่”
เจ้าของนามหันกลับมามองสตรีที่เขาเองเพิ่งได้รู้จักนาง หากจะบอกว่าตัวเขามิเคยสนิทสนมหรือสนใจสตรีใดย่อมไม่ผิด เหตุเพราะตัวเขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการเจริญรอยตามบิดา อีกทั้งยังเฝ้ามองแค่เพียงเย่วซิน สตรีอื่นจึงถูกเมินเฉยดังเช่นคุณหนูสกุลซือผู้นี้ ที่น่าจะเป็นหนึ่งในสตรีที่เรียนอยู่ในสำนักศึกษาเดียวกันกับเย่วซิน “ขอบคุณคุณหนูซือมาก แต่วันนี้ข้ามีธุระอื่นที่ต้องไปต่อ มิอาจอยู่ร่วมสำรับได้ เชิญคุณหนูซือตามสบายเถิด” คำพูดตัดรอนและการแสดงออกว่าเขามิสนใจนางถูกส่งออกไป หากอีกฝ่ายฉลาด ก็น่าจะเข้าใจในสิ่งที่เขาสื่อ “วันนี้อยู่รบกวนมานานมากแล้ว คงต้องขอตัวกลับก่อน” ผายมือให้คุณหนูสกุลซือเพื่อเดินกลับไปยังห้องโถงด้านหน้า “เชิญคุณหนู”
ซือหลิวเยี่ยนกำหมัดแน่น ภายใต้ใบหน้าเสแสร้งไร้เดียงสา นางกลับหมายมาดเพื่อที่จะเอาชนะบุรุษรูปงามผู้นี้ให้ได้ ‘หึ พี่ซัวหยาง ข้าพึงใจท่าน!’