“มิได้เจ้าค่ะ มันไม่งาม อีกอย่างพวกท่านกำลังร่ำสุรา จะอย่างไรก็ไม่เหมาะ วันนี้เย่วซินขอตัวเข้าโรงครัวทำสำรับให้ทานดีกว่าเจ้าค่ะ”
เสิ่นซัวหยางยิ้มให้กับความน่ารักนั้น หากไม่มีสหายนั่งร่วมอยู่ตรงนี้ ตัวเขาคงคว้านางเข้ามาหอมแก้มอิ่มให้หายคิดถึง ‘พวงแก้มของเย่วซิน ที่เขาแอบสูดดมความหอมของนั้นมาตั้งแต่นางยังเป็นทารก’ “พี่ย่อมไม่ขัดเจ้า หากเจ้าอยากทำอาหาร เช่นนั้นพี่ขอซุปไก่สักสองชามได้หรือไม่”
^^ “ได้เจ้าค่ะ เย่วซินจะจัดการให้สุดฝีมือนะเจ้าคะ”
คล้อยหลังสตรีแสนงามเดินจากไป กลุ่มบุรุษต่างเอ่ยเย้าบุตรชายของท่านนายอำเภอเจ้าของจวนที่ยิ้มจนเห็นฟันสีขาว ซึ่งทุกคนในที่นี้ต่างรู้กันดีว่าเสิ่นซัวหยางหมายใจจะแต่งงานกับเย่วซินมาตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นเพียงเด็กน้อย หลังจากการสอบผ่านพ้นไปคงเหลือแค่เพียงการจัดงานมงคลเท่านั้น ซึ่งเหล่าสหายล้วนเฝ้ารอให้มันเกิดขึ้น “ดีเท่าใดที่นางมิใช่น้องสาวแท้ๆ ของเจ้า”
เสิ่นซัวหยางพยักหน้ารับ “ใช่ ดีแล้วจริงๆ” เขาเฝ้ารอจนนางผ่านพ้นวันปักปิ่นเพื่อที่จะได้บอกแก่บิดามารดา เกี่ยวกับเรื่องความรักของเขากับสตรีตัวน้อยเย่วซิน ความรักในแบบบุรุษและสตรีหาใช่พี่น้อง มันเกิดขึ้นเพราะเขาเฝ้ามองแค่นางมาตั้งแต่เยาว์วัย พัฒนาการจากทารก สู่สตรีงดงามเพียบพร้อมที่ผ่านพ้นวันปักปิ่นในวันนี้ เขาหวังว่านางคงจะรู้สึกได้ไม่ต่างกับเขา ดังเช่นที่เห็นเมื่อครู่...นางมีความเขินอายเมื่อเขามองนาง เดาว่าคงมิได้อายเพราะเห็นเขาเป็นแค่พี่ชายกระมัง ^^
&&&&
โรงครัว
เสิ่นฮุ่ยเหมยในวัยสิบสามหนาวผู้เป็นบุตรสาวของนายอำเภอเสิ่นซูฉีกับอนุหนึ่งคนในจวนกำลังยืนกอดอกส่งยิ้มเย้ยหยันไปยังบุตรบุญธรรมของจงฮูหยินหรือก็คือเย่วซิน สตรีไร้แซ่!! สตรีที่ดูคล้ายจะแอบรักพี่ชายของนางจนถึงขั้นคาดหวังไปถึงตำแหน่งฮูหยิน จะถามว่านางชังพี่สาวบุญธรรมนอกไส้ผู้นี้ใช่หรือไม่ ก็คงต้องตอบว่าใช่ ‘ชังที่อีกฝ่ายชอบทำตัวอ่อนแอ แสร้งทำกิริยาอ่อนหวานราวกับตนเป็นสตรีชั้นสูง ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นเพียงแค่คนที่ถูกเก็บมาเลี้ยงแล้วถูกจงฮูหยินประคบประหงม ต่างกับนางที่ฮูหยินมิเคยสนใจเพราะเป็นบุตรอนุ’ “หากพี่ซัวหยางมีสตรีในดวงใจแล้ว ข้าจะหัวเราะเยาะเจ้าจนฟันร่วงหมดปากเลยคอยดู” ย่างเท้าเข้าหาพลางชะโงกหน้ามองดูในหม้อ “แล้วนั่นมาทำสิ่งใดในโรงครัวของข้า” ลักษณะการต้มจนเดือดจัดหอมกรุ่นเช่นนี้คงไม่พ้นทำน้ำซุป สภาพของเนื้อไก่เปื่อยยุ่ยหอมฉุยจนถึงกับเผลอกลืนน้ำลาย สิ่งหนึ่งที่ยอมรับได้เกี่ยวกับเย่วซินก็คือ เรื่องการทำอาหารรสชาติดีเยี่ยมและบ่อยครั้งที่อีกฝ่ายทำอาหารด้วยตนเองแล้วจัดลงสำรับ ในขณะที่ตัวนางผู้เป็นบุตรสาวของอนุ แม้อายุสิบสามหนาว แต่แค่ปอกเปลือกหมางกั่ว นางยังทำไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ!! “ข้าเห็นพี่ใหญ่ร่ำสุรากับสหาย หากให้ข้าเดา เจ้าคงเสนอหน้าปรุงอาหารแล้วนำไปส่งมอบให้ถึงที่” มองสตรีหน้าขาวและดูจะงดงามเป็นอันดับหนึ่งอย่างเกลียดชัง “หึ ใส่ยาปลุกกำหนัดด้วยใช่หรือไม่!!”
คำกล่าวหานี้ทำให้เย่วซินถึงกับตกใจ ‘ยาปลุกกำหนัดเป็นอย่างไร ตัวนางยังมิเคยเห็นหรือรู้จักมันด้วยซ้ำ’ ต่างกับบุตรสาวของอนุตู้ฟางลี่ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายอายุเพียงสิบสามหนาวใยจึงกล้ากล่าวเรื่องเช่นนี้ได้ “น้องรอง ใยจึงกล่าวเช่นนี้ น้ำซุปหม้อใหญ่ ผู้ใดก็สามารถตักทานได้ หนำซ้ำตัวพี่รึ ก็มิเคยรู้จักยาปลุกกำหนัด ตัวเจ้าอายุเพียงเท่านี้รู้จักมันได้อย่างไร”
ใบหน้าเล็กแดงก่ำทำเสียงขึ้นจมูก “ฮึ บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกข้าว่าน้องรอง ตัวข้าเป็นบุตรของท่านพ่อและท่านแม่ มีพี่ชายเพียงหนึ่ง มิมีพี่สาว ส่วนเรื่องที่เจ้าถาม ข้ารู้เพราะข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องใช้มันกับพี่ใหญ่ในสักวันและถ้ามีวันนั้น ตัวข้านี่ล่ะจะเปิดโปงเจ้าเอง!!” เสิ่นฮุ่ยเหมยอยากจะเทน้ำซุปหม้อนั้นทิ้งเพื่อกลั่นแกล้ง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่านางอาจจะไม่ได้ทานมันในสำรับ จึงหันไปคว้าตะกร้าเศษผักเน่าด้านข้างสาดใส่เย่วซินทันที ฟึ่บ! พลึ่กๆๆ
“ว๊าย!!” เย่วซินยกมือขึ้นปัดป้องจนผักทั้งหมดร่วงลงไปกองกับพื้น เนื้อตัวเหม็นกลิ่นซากผักเน่าเสีย แต่นางก็ทำเพียงแค่ปัดมันออกไปจากเสื้อผ้า ในขณะที่เสิ่นฮุ่ยเหมยบุตรสาวของอนุตู้ เดินหัวเราะจากไป
เสี่ยวเม่าผู้เป็นสาวใช้จึงรีบหยิบไม้กวาดออกไปจัดการเศษซากเหม็นเน่านั้น ใจนึกสงสารคุณหนูของตนที่ไม่เคยคิดจะตอบโต้อันใด ทั้งๆ ที่โดนอีกฝ่ายกลั่นแกล้งเช่นนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน บ่อยครั้งที่นางอยากจะสู้กลับไปบ้าง แต่ทุกครั้งคุณหนูของนางจะคอยแต่กันเอาไว้เสมอ ‘คุณหนูเย่วซินช่างมีความอดทนมากมายเหลือเกิน จนเสี่ยวเม่านึกสงสัย ถ้าหากคุณหนูมิได้เป็นบุตรบุญธรรมของสกุลเสิ่น คุณหนูจะยังคงแสนดีอย่างนี้หรือเปล่า’
เมื่อความวุ่นวายจากไป เย่วซินยังคงยืนปรุงน้ำซุปอยู่เช่นนั้นต่ออีกถึงหนึ่งเค่อ (15 นาที) ก่อนจะหันไปบอกกับสาวใช้อีกสองคนในโรงครัว “ยามนี้ตัวข้าสกปรกไปหมดแล้ว ฝากพวกพี่ช่วยตักน้ำซุปในหม้อนี้ออกไปให้พี่ซัวหยางและสหาย ตรงศาลาด้วยได้หรือไม่”
สาวใช้นามว่าอาเจียวตอบรับอย่างนอบน้อม “ได้เจ้าค่ะคุณหนู” โดยที่ทุกคนในจวนต่างก็รู้ดีว่าคุณหนูเย่วซินมิใช่บุตรสาวของนายท่าน แต่เพราะกิริยามารยาทที่แสดงออกมา ช่างงดงามเหมาะสมกับการเป็นสตรีมีชาติสกุล สาวใช้มากกว่าครึ่งในจวนสกุลเสิ่นจึงเรียกเย่วซินว่าคุณหนู เรียกเพราะอีกฝ่ายคู่ควร มิใช่เรียกเพราะจำเป็นเหมือนเช่นคุณหนูเสิ่นฮุ่ยเหมยบุตรของอนุผู้นั้น
ณ.ศาลากลางจวน
“เย่วซินไม่ออกมาด้วยรึ” เสิ่นซัวหยางถามหาสตรีงดงามเจ้าของซุปไก่หอมกรุ่น
สาวใช้ทั้งสามทำแค่เพียงส่ายหน้าไม่เอ่ยอันใดกับกลุ่มคุณชายแล้วพากันถอยกลับไปยังโรงครัว ‘จะให้บอกอย่างไรว่าคุณหนูเสิ่นฮุ่ยเหมย สาดตะกร้าผักเน่าใส่คุณหนูเย่วซินจนนางต้องขอตัวไปอาบน้ำเพื่อล้างความเหม็นนั้น’ และในเมื่อเย่วซินผู้ถูกกระทำไม่พูดสิ่งใด พวกนางที่เป็นสาวใช้รึจะกล้า
ในศาลากลางจวนสกุลเสิ่นหลังจากสาวใช้ยกสำรับเข้ามาวางแล้วจากไป เหล่าบุรุษจึงสนทนากันต่อเกี่ยวกับเรื่องของการสอบขุนนางครั้งที่ผ่านมาซึ่งจะประกาศผลในอีกไม่กี่วันนี้ โดยในทุกๆ ปีของวังหลวงนั้น เมื่อมีขุนนางเพิ่มขึ้น ฮ่องเต้มักจะมอบสมรสพระทานให้ขุนนางคนใหม่ที่ยังมิมีฮูหยินอยู่เสมอ สตรีที่ถูกมอบสมรสพระราชทานให้นั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสตรีสูงศักดิ์ บุตรสาวของผู้มีฐานะหรือบุตรสาวจากสกุลใหญ่ของเหล่าขุนนางด้วยกัน แน่นอนว่าความเหมาะสมนั้น ไม่เคยทำให้ผู้ได้รับมอบสมรสอับอายเลยสักครั้ง