17 เจ็บ...แต่เก็บอาการ (02)
“กว่าจะมาได้นะคะคุณเพื่อน” เสียงบ่นนิดๆ ของ 'เกรซ หรือ กีรติญา' ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของทิชากร ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกัน ซึ่งกีรติญาก็เป็นเพื่อนกลุ่มเดิมที่ยังอยู่เมืองไทย ส่วนคนอื่นๆ ย้ายไปเรียนต่างประเทศหมดแล้ว
ทั้งสองนัดเจอกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในตัวเมืองเพราะกีรติญาเพิ่งไปเที่ยวต่างประเทศมา พักหลังทิชากรเองก็ไม่ค่อยได้เจอกับเพื่อนกลุ่มเดิมเพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่ค่อยว่าง
“โทษที พอดีรถติดน่ะ” ทิชากรพูดก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ลงนั่งตรงข้ามกีรติญาก่อนที่พนักงานจะนำเมนูอาหารมาให้
ทิชากรเลือกเป็นเมนูเดิมที่ชอบทาน เพราะเธอเป็นลูกค้าขาประจำของร้านนี้
“ไปเที่ยวเวนิสมาเป็นยังไงบ้าง ได้เจอเพื่อนกลุ่มเราไหม”
“เจอสิ พวกนั้นยังถามหาเธออยู่เลย เสียดายที่เธอไม่ได้ไปด้วย ก็เลยไม่ได้เที่ยวกันครบทีม”
“ฉันก็อยากไปนะ แต่ช่วงนี้งานค่อนข้างยุ่ง สัญญาเลยว่าทริปหน้าไม่พลาดแน่นอน”
“คุณหนูแพมมีเวลาว่างกับเขาด้วยหรอ เห็นโทรไปทีไรไม่ค่อยรับสาย”
“ช่วงนี้ธุรกิจที่บ้านกำลังมีปัญหาอ่ะ ฉันเองก็ปวดหัวจนแทบจะเป็นประสาทแล้ว”
“มีอะไรก็ปรึกษาฉันได้นะแพม ถึงฉันจะไม่ได้เก่งเท่าเธอ แต่บางเรื่องฉันอาจจะช่วยเธอได้”
“ขอบคุณนะเกรซ ไว้ถ้าเมื่อไหร่ที่ฉันไม่ไหว...ฉันจะโทรหาเธอเป็นคนแรกเลย"
“ได้เลยค่ะคุณเพื่อน” กีรติญาคลี่ยิ้มก่อนจะเอี้ยวตัวไปข้างหลังหยิบถุงแบรนด์เนมขึ้นมา “ไปต่างประเทศทั้งที ถ้าไม่ได้ซื้อของมาฝากเพื่อนก็เหมือนไปไม่ถึง...นี่ของเธอจ้ะ”
“โห...แบรนด์นี้ราคาหลายแสนเลยนะ!”
“ทำเป็นตกอกตกใจไปได้นะแพม เธอชอบสะสมกระเป๋าแบรนด์นี้ไม่ใช่หรอ”
“เมื่อก่อนมันก็ใช่ แต่หลังจากที่ธุรกิจที่บ้านมีปัญหา...ฉันก็ขายกระเป๋าทิ้งหมดเลย” ทิชากรทำปากจู๋ แววตาละห้อย เมื่อก่อนค่อนข้างชอบสะสมกระเป๋าแบรนด์เนมเพราะกะจะเก็บไว้ขายเกร็งกำไรต่อ แต่หลังจากที่โรงพยาบาลติดหนี้หลายพันล้านเธอก็เลยจำใจขายกระเป๋าแบรนด์เนมที่สะสมไว้ แล้วเปลี่ยนมาใช้กระเป๋าธรรมดาๆ แทน
“ไม่เป็นไรน่า ชีวิตคนเรามีขึ้นมีลง ใบนี้เป็นสีที่เธอชอบด้วยนะ หายากมาก ฉันตามหาจนเลือดตาแทบกระเด็น ถ้าเก็บไว้ขายเกร็งกำไรต่อน่าจะขายได้หลายบาท”
“ขอบคุณมากๆ นะเกรซ” ในความโชคร้ายก็ยังมีเรื่องที่ให้เธอพอชื่นใจอยู่นั่นก็คือการได้เป็นเพื่อนกับกีรติญา เพื่อนที่คบกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม พอมีเรื่องไม่สบายใจ กีรติญามักจะเป็นคนแรกๆ ที่อยู่ข้างๆ และคอยให้คำปรึกษามาตลอด เพราะบางเรื่องเธอก็ปรึกษาใครไม่ได้แม้กระทั่งคนในครอบครัว
แต่มีอีกเรื่องที่เพื่อนๆ ยังไม่รู้นั่นก็คือ...เธอแต่งงานแล้ว กะจะเอาเก็บไว้เป็นความลับ เพราะเมื่อไหร่ที่หย่าขาดกัน จะได้ไม่ต้องมานั่งตอบคำถามเพื่อนๆ
ในจังหวะที่พนักงานกำลังยกอาหารมาเสิร์ฟ กีรติญาก็บังเอิญให้ใครบางคนเดินผ่านมาพอดี เขาคนนั้นมากับผู้หญิงหน้าตาสะสวยแล้วนั่งถัดจากโต๊ะของเธอไป กีรติญารีบสะกิดทิชากรให้เงยหน้าขึ้นดู
“นี่ๆ! นั่นใช่...เตวิชญ์ผู้ชายที่เธอเคยชอบไหม”
ทิชากรเงยหน้าขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่เตวิชญ์หันมาทางนี้พอดี ทำให้ทั้งสองบังเอิญสบตากัน เขาเห็นเธอ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีตกใจอะไร ออกจะเมินเฉยด้วยซ้ำ...ต่างจากทิชากร
ภายในระยะเวลาแค่สองวันหลังแต่งงานกัน เตวิชญ์เปลี่ยนผู้หญิงควงวันละคน! เขาเป็นเสือผู้หญิงอย่างที่นายมาร์ตินพูดจริงๆ ด้วย
“แหม๋...พอเห็นผู้ชายที่ชอบหน่อยก็มองตาค้างเชียวนะ” กีรติญาแซวเมื่อเห็นเพื่อนสนิทเอาแต่มอง ทิชากรรีบดึงสายตากลับมาพร้อมปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเตวิชญ์คงไม่พอใจแน่ๆ หากคนอื่นรู้ว่าเธอกับเขาแต่งงานกัน
“ปะ...เปล่านะ ฉันก็แค่อยากดูให้แน่ใจว่าใช่เขาหรือเปล่า แต่คิดว่าคงไม่ใช่หรอก อาจจะแค่คนหน้าเหมือน”
“แต่ฉันจำได้ว่าผู้ชายคนนั้นคือนายเตวิชญ์ เขายังมองมาทางเราอยู่เลย”
“อย่าไปใส่ใจเลยน่า มันเป็นอดีตไปแล้ว..ฉะ...ฉันว่าเรารีบทานแล้วรีบไปจากที่นี่กันเถอะ”
“จะรีบไปไหน ของหวานที่ฉันสั่งไปยังไม่มาเลยนะ” กีรติญาหรี่ตามอง ทิชากรมีอาการลุกลี้ลุกลนแปลกๆ ตั้งแต่เห็นเตวิชญ์เดินเข้ามา “ฉันเข้าใจนะว่าเธออาจจะอายนายเตวิชญ์อะไรนั่น แต่เธอพูดเองไม่ใช่หรอว่ามันเป็นอดีตไปแล้ว”
“มันก็ใช่ ตะ...แต่ฉันแค่ไม่อยากเจอหน้าเขา”
“เธอยังชอบเขาอยู่สินะ” กีรติญาสบตาอีกฝ่ายเหมือนกำลังหาคำตอบ แต่พอทิชากรปฎิเสธทำให้รอยยิ้มแห่งความโล่งอกผุดขึ้นมาบนใบหน้า
“เมื่อก่อนฉันเคยชอบผู้ชายคนนั้นก็จริง ตะ...แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้ชอบเขาแล้ว”
“ถ้างั้นเราเดินเข้าไปทักทายหน่อยมั้ย บางทีเธออาจจะได้ปรับความเข้าใจกับเขาก็ได้”
“ไม่ล่ะ” ทิชากรส่ายหน้า ตอนนี้เธออยากออกไปจากที่นี่มากแต่เพื่อนของเธอนี่สิคะยั้นคะยอให้เธออยู่ต่อ ทั้งๆ ที่บรรยากาศในร้านมาคุตั้งแต่เห็นหน้าผู้ชายคนนั้นแล้ว “มะ..มันเป็นอดีตไปแล้ว ปล่อยให้มันจบไปเถอะ ฉันไม่อยากรื้อฟื้น”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็...เธอคงเดินเข้าไปกระชากหัวผู้หญิงคนนั้นแล้ว”
“นั่นมันเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ฉันคงไม่ทำแล้วล่ะ เพราะถ้าเขาจะรัก...ยืนเฉยๆ เขาก็รัก”
“ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ แต่ก็ดีแล้วแหละที่คิดได้...เพราะคนที่ใช่ไม่ต้องพยายาม” กีรติญายิ้มไม่หุบ ไม่มีใครรู้ว่าลึกๆ เธอเองก็แอบชอบเตวิชญ์เหมือนกัน แต่ไม่อยากแสดงตัวว่าชอบ เพราะตอนนั้นทิชากรกำลังตามจีบเตวิชญ์อยู่
แต่ในเมื่อเพื่อนไม่ชอบแล้ว...คงไม่ผิดใช่ไหมหากเธอจะเป็นฝ่ายเข้าหาเขาบ้างโดยใช้ทิชากรเป็นสะพาน เพราะเตวิชญ์รู้จักทิชากรแต่ไม่รู้จักเธอ
....ในที่สุดทั้งสองก็ทานอาหารเสร็จ ทิชากรจะไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าต่อ ส่วนกีรติญาต้องเข้าบริษัท ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังจะลุกออกจากโต๊ะ ซึ่งทางออกต้องเดินผ่านโต๊ะของเตวิชญ์พอดี ทำให้กีรติญานึกอะไรขึ้นมาได้
การจะเข้าไปอยู่ในสายตาของเตวิชญ์ เธอต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นที่สนใจ และทันใดนั้นสายตาก็ไปปะทะเข้ากับร่างที่เดินอยู่ข้างๆ
นี่อาจเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เตวิชญ์เห็นเธออยู่ในสายตา
ปึก!
“อ้ะ!”
และจังหวะที่กำลังจะเดินผ่านโต๊ะของเตวิชญ์ กีรติญาก็ใช้ไหล่กระแทกเข้ากับร่างของทิชากรที่เดินอยู่ข้างๆจนเซชนโต๊ะของเตวิชญ์ ทำให้อาหารที่อยู่บนโต๊ะหกเลอะคนที่กำลังนั่งทานข้าวอยู่ ก่อนจะมีเสียงอุทานออกมา
เพล้งงง!!
“What the f*ck!!!”