บันทึกจอมยุทธ์ ฉบับที่ ๑ ส่วนที่ ๑

3156 Words
บันทึกจอมยุทธ์ ฉบับที่ ๑ ส่วนที่ ๑ ณ แดนร้อยธาราแห่งสิบหมื่นขุนเขา เทือกเขาอวิ๋นซานเข้าสู่ช่วงหิมะละลาย สรรพชีวิตเริ่มต้นวันใหม่อย่างเกียจคร้านอีกครั้ง สำนักที่ข้ามาฝากตัวเป็นศิษย์ชื่อสำนักอู่สิง หรือหลายๆ คนเรียกว่าสำนักปัญจธาตุ อย่าถามข้าเลยว่าเหตุใดจึงใช้ชื่อนี้ ข้าเองก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากนัก เทียบเชิญที่ข้ายกมาตั้งแต่แรกนั้นเดิมทีเป็นเพียงข้ออ้างในการออกท่องยุทธภพของข้ามากกว่า ช่วงเวลากว่าหนึ่งเดือนมานี้ทำให้ข้าได้รู้อะไรหลายอย่าง ในสำนักอู่สิงแห่งนี้ เบื้องหน้าเป็นสำนักเลื่องชื่อ ปรมาจารย์ทุกท่านต่างก็มากฝีมือ เป็นสำนักที่สั่งสมคุณธรรมมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ทว่าเบื้องหลังของความดีงามนั้นกลับมีหลายสิ่งที่ไม่ได้สวยงามอย่างที่คาดคิด หนึ่งในนั้นก็คือ...หากไม่มีบารมีสูงพอ ก็จะถูกผู้อื่นกดขี่ข่มเหง บารมีในที่นี้หาใช่พื้นตระกูลหรือศักดิ์ฐานะใดๆ เงินทองไม่ได้จำเป็นมากนักเพราะสำนักตั้งอยู่บนเขาอวิ๋นซาน ซึ่งเป็นเขตเทือกเขาสูงหลายลูกที่ล้อมรอบไปด้วยป่าทึบ บารมีในที่นี้ก็คือโชคและฝีมืออย่างหนึ่ง ผู้ใดมาจากตระกูลจอมยุทธ์อันเลื่องชื่อ หรือผู้ใดเป็นอัจฉริยะมากความสามารถ คนผู้นั้นจะได้รับการยอมรับและเลื่อมใสจากศิษย์ทั้งหลายในสำนัก ตัวข้าจู่ๆ ก็โผล่มากลางคัน พื้นฐานเชิงยุทธ์ก็แทบไม่มี ผู้ใดจะให้ความเกรงใจกันเล่า พูดถึงเขตของสำนัก ตอนขึ้นเขามาครั้งแรกข้าหลงทางอยู่สามวัน วันที่สามจึงได้พบเจออาจารย์ และก็ได้เขาช่วยเอาไว้ จะว่าไปแล้วทักษะในการจดจำของข้าไม่ได้ด้อยแม้แต่น้อย ทว่าบนเขานี้ดูเหมือนจะมีค่ายกลพิสดารตั้งอยู่ น่าเสียดายนักที่ข้าระลึกความทรงจำเก่าก่อนได้เพียงเรื่องการแพทย์ ความทรงจำบางส่วนมักจะแวบมาอย่างขาดๆ หายๆ กระท่อนกระแท่น รู้แค่ว่าก่อนจะมาเกิดนั้นตนเองปรารถนาสิ่งใด เรื่องราวอื่นๆ จำแทบไม่ได้ ช่วงหลังๆ มานี้จะต้องมีเหตุจูงใจจึงจะนึกอะไรออกบ้างเท่านั้น จะว่าไปแล้ว...ข้าก็เหมือนเด็กคนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์โดยที่ไม่รู้จะจัดการกับตนเองอย่างไรก็เท่านั้น อาจารย์เป็นบุรุษอายุรุ่นราวคราวเดียวกับบิดาของข้า ใบหน้าเขาดูคุ้นเคยอยู่บ้าง กระนั้นแล้วข้าก็นึกไม่ออกว่าเคยพบเห็นเขาที่ไหน ทว่าเอกลักษณ์ของเขากลับเป็นท่วงท่าในอิริยาบถต่างๆ ที่โดดเด่นเหนือผู้คน เมื่ออาจารย์เห็นเทียบเชิญในมือข้า เขาทำเพียงเลิกคิ้วแล้วเหล่ตามองข้าด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อสักเท่าใด หลังจากนั้นก็ทำทีเป็นตรวจวัดชีพจรข้าราวกับหมอผู้หนึ่ง ตอนแรกข้าอยากจะเรียกเขาว่าท่านผู้เฒ่าอยู่หรอก ทว่าในความรู้สึกของข้านั้นเขาดูมีสง่าราศีอย่างประหลาด จึงโขกศีรษะคารวะ ขอร้องให้เขารับเป็นศิษย์ และก็จริงอย่างที่คาด เขาเป็นผู้อาวุโสผู้หนึ่งของสำนัก ทั้งยังไม่เคยรับศิษย์มาก่อน จึงเป็นเรื่องตลกร้ายอย่างยิ่งที่ข้าไม่มีศิษย์พี่หรือศิษย์น้องร่วมอาจารย์ สำนักหลักตั้งอยู่ตรงกลางเขาอวิ๋นซาน ล้อมรอบไปด้วยเขาเล็กๆ อีกห้ายอด ซึ่งตั้งชื่อเรียงลำดับตามหลักปัญจธาตุ ศิษย์ที่เข้ามาใหม่ต้องผ่านการคัดกรองจากสำนักหลักตั้งแต่อายุยังน้อย ฝึกฝนไปตามลักษณะนิสัยของคนในแต่ละธาตุ นี่อาจจะเป็นสาเหตุหลักที่สำนักของข้าชื่ออู่สิงก็เป็นได้ แต่จะพูดไปก็เปล่าประโยชน์ ข้าขึ้นเขามาก็เจออาจารย์เป็นคนแรก แม้จะอยากไปฝากตัวเข้าสังกัดผู้คุมกฎหรือเป็นศิษย์ปัญจธาตุแต่ก็ไม่กล้าทำ เพราะดูจะเป็นการเสียมารยาท สุดท้ายจึงได้เข้าร่วมทำพิธีรับศิษย์ใหม่ในสังกัดของผู้อาวุโสเซียวเหยา แค่ชื่อก็โดดเดี่ยวแล้วใช่หรือไม่ ทั้งยังไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมอาจารย์ แม้ข้าอยากจะร้องไห้ถึงเพียงไหนก็ได้แต่ข่มความรันทดไว้ในใจแล้วทำตัวเป็นศิษย์ที่ดี ที่จริงแล้วข้าไม่ได้เหงาถึงเพียงนั้น พักกลางวันข้าก็ยังได้เจอศิษย์พี่คนอื่นๆ ที่โรงครัว แม้จะถูกพวกเขากลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ ก็จำต้องทนข่มกลั้นและยิ้มรับ เพียงเพราะตัวข้าเองไม่อาจทนเหงาอยู่กับอาจารย์แค่สองคนได้ ชีวิตของข้าควรจะมีสีสันสักหน่อยไม่ใช่หรือ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าข้าเป็นคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ แม้ว่าทั้งตัวจะเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของบัณฑิตที่มีสง่าราศีประหนึ่งเทพเซียนบนสวรรค์ แล้วจะสามารถละซึ่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา[1] เปล่าเลย…เจ็ดวันแรกที่ข้าโดนกลั่นแกล้ง ข้าแอบเอาคืนด้วยการผลักศิษย์พี่คนหนึ่งตกน้ำ ส่วนอีกคนถูกน้ำแกงร้อนลวกแขนจนแดงก่ำ ผลที่ตามมาคือข้าถูกอาจารย์ฟาดด้วยไม้เรียวจนก้นช้ำ และถูกไล่ให้ไปตัดฟืนด้วยขวานทื่อๆ นั่นละ อาจารย์มองสภาพน่าสมเพชของข้าแล้วก็หัวเราะ เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นอาจารย์หลุดหัวเราะหลังจากได้พบกัน ผู้อาวุโสเซียวเหยาที่ทุกคนเล่าลือว่าหน้าตายหนักหนาถึงกับหัวเราะเยาะเพราะสภาพทุเรศทุรังของข้าเชียวนะ จากที่ข้าจะโกรธอาจารย์สักหน่อย จึงกลายเป็นหายโกรธไปเสียนั่น เอาเถิด…อย่างน้อยข้าก็ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งแล้วนี่นา ยามหัวเราะขบขันอาจารย์ก็พูดออกมา “อย่าให้ความโกรธครอบงำใจเจ้าจนลืมไปว่าเจ้าเป็นอะไร” ข้าขบคิดอยู่เป็นนานจนวันนี้จึงรู้ซึ้งถึงความหมาย ตัวข้าในตอนนั้นแม้แต่แรงเชือดไก่ยังไม่มี ริอ่านสร้างศัตรูตั้งแต่เข้ามา อาจารย์คงกลัวว่าข้าจะเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงจึงต้องทำโทษข้าเพื่อให้รู้จักประมาณตน มาถึงวันที่ข้าโค่นต้นไม้ลงด้วยขวานทื่อ ในที่สุดข้าก็บรรลุสัจธรรมข้อหนึ่ง คนเราไม่ควรใจร้อนจนเกินไป ศิษย์ปลายแถวเช่นข้าจะไปหาเรื่องผู้ที่มีบารมีเช่นศิษย์เอกของหน่วยอัคคีหรือศิษย์รักของผู้คุมกฎคนอื่น รนหาที่ตายชัดๆ อากาศยามตะวันคล้อยบ่ายเริ่มเย็นลงไม่น้อย ข้าเดินลัดเลาะผ่านทางเดินเล็กๆ หลังที่พักของอาจารย์ซึ่งตั้งอยู่สูงกว่าพื้นที่อื่นๆ ในสำนัก ความจริงแล้วทางตรงนี้ไม่มีใครสัญจรเนื่องจากมีก้อนหินซ้อนทับสูงชันและอันตรายอย่างมาก แต่ข้าขี้เกียจเดินอ้อมเป็นลี้[2] เพื่อลงเขาไปฝึกตัดต้นไม้ สุดท้ายจึงตัดสินใจสร้างเส้นทางใหม่เสียเอง ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าแล้ว ข้ายกมือขึ้นป้องตาพลางมองไปทางทิศตะวันตก แสงสีส้มอ่อนอาบไล้พื้นสำนักที่คล้ายเป็นรูปห้าเหลี่ยม ดูงดงามและลึกลับยิ่ง ลานตรงกลางอันเป็นที่ตั้งหลักของสำนักกำลังถูกยึดครองโดยบรรดาศิษย์พี่สังกัดผู้คุมกฎ ขณะที่ศิษย์พี่สังกัดหน่วยปัญจธาตุกำลังร่ายรำหมัดมวยด้วยความพร้อมเพรียง ชุดประจำหน่วยสีต่างๆ ดูเรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อย งดงามน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง ใจข้าบังเกิดความรู้สึกริษยาขึ้นมาไม่น้อย ในอกราวกับมีไฟกองหนึ่งสุมอยู่ โป๊ก! “โอ๊ย” อะไรบางอย่างกระแทกกลางหัวข้าจนน้ำตาเล็ด เมื่อหันไปมองจึงรู้ว่าเป็นอาจารย์นั่นเอง เขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา สวมชุดผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดตาราวกับบัณฑิต บนศีรษะมวยผมเอาไว้แล้วปักด้วยปิ่นซึ่งทำจากปะการังสีขาว ท่วงท่างามสง่าน่าเคารพเทิดทูน ในมือถือพัดเจ้าปัญหาที่กำลังฟาดลงบนศีรษะข้าเมื่อครู่นี่ละ ใบหน้าถมึงทึงของอาจารย์ทำให้ข้าไม่กล้าโวยวาย ได้แต่ก้มหน้าก้มตา “อาจารย์...” ข้าพูดเสียงอ่อย ช้อนตาขึ้นมองอาจารย์เพื่อเพิ่มความน่าสงสาร อย่างน้อยลูกไม้นี้ก็ใช้ได้ผลเป็นอย่างดีเวลาข้าต้องการออดอ้อนบรรดาญาติผู้ใหญ่ ข้าก็หน้าตาน่าเอ็นดูอยู่นะ “มัวแต่ยืนมองผู้อื่นไม่ได้ทำให้เจ้าเก่งขึ้น ไปกินข้าวได้แล้ว” ข้าเบิกตากว้างมองอาจารย์ด้วยความตื้นตันใจ น้ำตาพานจะรินไหลด้วยความซาบซึ้ง “อาจารย์ ท่านลงมือทำอาหารเองหรือขอรับ” เป็นเพราะข้าที่ฝีมือทำอาหารค่อนข้างห่วยแตก เรียกได้ว่าหุงข้าวครั้งแรกก็ทำข้าวไหม้ไปครึ่งหม้อ อาจารย์จึงลงโทษข้าด้วยการให้ข้ากินข้าวเหล่านั้นจนหมด เขาเริ่มสอนให้ข้าหุงข้าวและทำอาหารอย่างง่าย น่าเสียดายที่ตัวข้าทำอะไรก็ทำได้ ยกเว้นเรื่องเข้าครัว ไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้สักเท่าใด บางครั้งข้าก็สับสนว่าตกลงแล้วข้ามาฝากตัวเป็นศิษย์ของปรมาจารย์แห่งสำนักอู่สิง หรือมาเป็นศิษย์ของสุดยอดพ่อบ้านกันแน่ แม้แต่เสื้อผ้าข้าก็ต้องซักเอง วันดีคืนดียังถูกกลั่นแกล้งจากบรรดาศิษย์พี่ให้ช่วยซักของพวกเขา มันก็ไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียวหรอกนะ ก็ข้าเล่นเหยียบย่ำเสื้อผ้าของพวกเขาจนขาด หึๆ แต่กระนั้นข้าก็ไม่คิดจะซักผ้าบ่อยครั้งนักหรอก สุดท้ายก็ย่อมต้องสวมเสื้อผ้าเน่าๆ แทน ผู้อาวุโสปรายตามองข้า เขาแค่นเสียงในลำคอแล้วเดินจากไป กิริยาอาการดูสูงสง่าประหนึ่งเทพเซียน อา…จะว่าไปท่าทางเช่นนี้ละที่ล่อลวงให้ข้าคุกเข่ากราบเขาขอให้เป็นอาจารย์ ที่พักของเราศิษย์กับอาจารย์เป็นเรือนหลังไม่เล็กนัก มีห้องอยู่สี่ห้าห้อง ห้องใหญ่สุดเป็นของอาจารย์ ถัดไปเป็นห้องของข้าและห้องหนังสือ ข้ากับอาจารย์สองคนมักกินข้าวเช้าและข้าวเย็นในห้องครัวเพราะสะดวก และรู้กันว่ายามใดต้องกิน ยามใดต้องล้างจาน แน่นอนว่าข้าต้องเป็นคนล้าง มีงานใดที่ข้าไม่ต้องทำบ้างเล่า มาถึงตอนนี้คิดว่าข้าเสียใจที่ดื้อดึงจะออกจากบ้านมาหรือ ต่อให้รู้ล่วงหน้าว่าจะเจอแบบนี้ข้าก็ยังจะออกมาอยู่ดี ผู้ใดจะอยากจมปลักอยู่กับตระกูลหมอหลวงที่คิดแต่จะแย่งชิงอันดับหนึ่งในสำนักอยู่ตลอดเวลากันเล่า น่าเบื่อ...น่าเบื่อยิ่ง อากาศต้นวสันต์ยังคงเย็นยะเยือก ยิ่งบนเขาเช่นนี้แล้วยิ่งเย็นลงอีกหลายส่วน ทว่าอาจารย์ของข้าก็ยังคงสวมเสื้อผ้าปกติ เขานั่งอยู่ในห้องครัวราวกับรูปสลักน้ำแข็ง บางครั้งข้าก็ได้ยินคนอื่นเล่าลือกันว่าปรมาจารย์เซียวเหยาถือกำเนิดมาจากก้อนน้ำแข็งหมื่นปี แม้นเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้าตาก็ไม่กะพริบ ข้ารู้สึกว่าอยู่กับอาจารย์ยังหนาวเย็นยิ่งกว่าอากาศภายนอกมากนัก แต่มาวันนี้กลับรู้สึกว่าบรรยากาศอบอุ่นแบบแปลกๆ ข้าห้อยขวานทื่อไว้กับเสา เดินไปล้างมือที่เต็มไปด้วยสมุนไพร แม้จะแสบนิดๆ แต่ก็นับว่าดีขึ้นมากแล้ว เช็ดมือเสร็จจึงตักข้าวให้อาจารย์และตัวเอง ก่อนจะทรุดนั่งบนม้านั่ง กับข้าวสามสี่อย่างส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจ ข้าลืมเล่าไปหรือไม่ว่าฝีมือการทำอาหารของอาจารย์อร่อยล้ำยิ่ง รสมือเขาคล้ายรสมือที่พี่ชายของข้าทำอยู่หลายส่วน “เจ้ารู้วิชาแพทย์รึ” อาจารย์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ข้าซึ่งกำลังจะพุ้ยข้าวใส่ปากชะงักมือ เงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ ทว่าสายตาของเขากลับจับจ้องมายังมือที่มีแผลของข้า ข้านิ่งไปสักพักเพื่อคิดหาคำตอบ จะว่าไปแล้วตระกูลข้าก็เป็นหมอหลวงนี่นา จึงไม่จำเป็นต้องปั้นเรื่องอะไรมาโกหก “พอรู้บ้างขอรับ” “ไม่อยากไปอยู่สังกัดหน่วยพฤกษารึ” ในใจของข้าหวั่นไหวแปลกๆ มองใบหน้าหล่อเหลานิ่งเรียบของอาจารย์แล้วใจคอไม่ค่อยดี ลำคอแห้งผากจนไม่อยากอาหารเสียแล้ว “อยู่กับอาจารย์ก็ดีแล้ว เหตุใดข้าต้องไปอยู่หน่วยพฤกษาด้วยเล่า” “เจ้าไม่อิจฉาที่พวกเขาได้ฝึกยุทธ์ทุกวันรึ อีกอย่าง หน่วยพฤกษาก็รับคนที่มีพรสวรรค์ทางด้านการแพทย์ หากเจ้าไป ไม่แน่ว่าอาจจะไต่เต้าขึ้นอันดับหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว” เขาพูดไปพลางกินข้าวไปอย่างสบายอารมณ์ ทว่าอารมณ์ของข้าตอนนี้กลับประหวั่นพรั่นพรึงราวกับกำลังจะถูกอาจารย์ถีบหัวส่งอย่างไรอย่างนั้น “อาจารย์! หากท่านคิดจะถีบหัวส่งข้าคงต้องรอชาติหน้า” ข้าพูดเสียงสูง เม้มริมฝีปากด้วยความขุ่นเคืองและน้อยใจ ใบหน้าและหัวตาร้อนวาบ แสบจมูกไปหมดราวกับจะร้องไห้ออกมา ผู้อาวุโสเลิกคิ้วแล้วหัวเราะในลำคอ “เจ้าฝึกขั้นต้นสำเร็จแล้ว ต่อไปย่อมต้องย้ายสังกัดไปยังหน่วยต่างๆ เช่นนี้จึงจะมีโอกาสพัฒนาฝีมือมากขึ้น” “ไม่! หย่งหมิงจะอยู่กับท่าน ข้ายังไม่บรรลุวิชาตัดไม้เลย ข้า…ข้า…ยังต้องฝึกให้มาก” ข้ารู้สึกว่าตัวเองหูอื้อไปหมด น้ำตาไหลออกมาจนตาพร่ามัว หูได้ยินเพียงเสียงสะอื้นของตัวเอง แม้ว่าข้าจะอยากเก่งขึ้นก็จริง ทว่าหนึ่งเดือนมานี้จะไม่ดูเป็นการไร้ความหมายไปหน่อยหรือ ตอนเช้าข้าจะต้องถูกพัดของอาจารย์โขกศีรษะเพื่อให้ตื่นขึ้นมาจนกลายเป็นความเคยชิน ทุกวันต้องกินข้าวกับอาจารย์เกือบทุกมื้อ ขนาดบิดาแท้ๆ หรือท่านปู่ของข้ายังไม่มีเวลาให้ข้าเท่านี้ อาจารย์ปล่อยให้ข้าร้องไห้จนพอใจราวหนึ่งถ้วยชา พลันเห็นรอยยิ้มมุมปากของเขาผุดขึ้น แผ่ลามไปจนถึงดวงตา “ข้ารู้ว่าเจ้าฝึกจิตใจสำเร็จแล้ว แต่มั่นใจหรือว่าฝึกกับข้าแล้วจะพัฒนาได้” ข้าใช้หลังมือปาดน้ำตา เชิดหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก ทว่าหนักแน่น “แน่สิ คนอย่างตงฟางหย่งหมิง ไม่สำเร็จไม่เลิกรา!” “ดี! ดี! ในเมื่อเจ้ามุ่งมั่นถึงเพียงนี้ อาจารย์จะให้เจ้าตัดไม้อีกหนึ่งเดือน” “หา!” บางทีข้าก็คิดว่า…ไปอยู่หน่วยพฤกษาคงจะดีกว่านี้ ทว่าเอาเถิด ข้าไม่อาจถ่มน้ำลายรดฟ้า ดังที่ท่านปู่สอนเอาไว้ ลูกผู้ชายไม่อาจไม่รักษาคำพูด แล้วลูกผู้ชายเช่นข้า แม้จะเป็นเพียงเด็กอายุสิบสาม แต่ข้าก็จะพิสูจน์ให้ได้ว่าข้ารักษาคำพูด อาจารย์ล้อข้าเล่น! เพราะมือข้าเจ็บ เขาจึงคิดอยากแกล้งอำข้า นิสัยเหมือนท่านอารองไม่มีผิด เขาให้ข้าเก็บตัวเพื่ออ่านตำราในห้องหนังสือให้หมด ส่วนใหญ่จะเป็นตำราอักษร มีบ้างที่เป็นตำราทางดนตรี หมากกระดาน และภาพวาดเก่าๆ กลิ่นจากตำราเหล่านี้ดูคุ้นเคยอย่างประหลาด น่าเสียดายที่ความทรงจำชาติก่อนของข้ามีแต่เรื่องเกี่ยวกับการแพทย์ นานๆ ครั้งจึงจะจำได้บ้าง สิ่งเหล่านี้จึงไม่อาจระลึกได้ในเวลาอันรวดเร็วนัก จะว่าไปแล้วเรื่องอักษรน่ะดาดๆ ตำราดนตรีนี่ก็เข้าใจยากพอสมควร ภาพวาดก็มิได้มีอะไรแปลกใหม่นัก ส่วนตำราหมากนั้นไม่ยากอย่างที่คิดเพราะตอนอยู่ที่บ้านข้าเคยเล่นกับพี่ใหญ่ เรื่องหมากกระดาน...พี่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในใจข้า วันนี้อาจารย์ออกไปข้างนอก นอกจากตำราที่ข้าว่าแล้ว เขายังโยนตำราอีกเล่มหนึ่งมาให้ หน้าปกเขียนเอาไว้ว่า หยินหยาง[3] และปัญจธาตุขั้นต้น ดูๆ ไปแล้วเหมือนจะเป็นตำราแพทย์ ทว่าเมื่อเปิดดูข้างในจึงรู้ว่าเป็นการกล่าวถึงหลักการพื้นฐานและปรัชญาของสำนัก หลักการเดินลมปราณขั้นพื้นฐานสุด...ดวงตาของข้าเบิกกว้าง หัวใจเต้นกระหน่ำด้วยความกระหายใคร่รู้ ความรู้สึกลิงโลดแบบนี้ทำให้ข้าเผลอยิ้มออกมา จุดชี่ หรือลมปราณต่างๆ เป็นสิ่งที่ข้าเรียนรู้มาก่อนนี่! หลักการเดินลมปราณอ้างอิงจากจุดสำคัญในร่างกายของคนเรา เป็นสิ่งที่แพทย์ทุกคนต้องรู้ เป็นครั้งแรกที่ข้าอยากจะหัวเราะดังๆ คิดถึงพญายมราชแล้วอยากจะขอบคุณเขาสักพันครั้ง มือของข้าพลิกเปิดตำราด้วยความรวดเร็ว ไม่ถึงสองเค่อ[4] ข้าก็ทำความเข้าใจและจดจำตำราได้หมด ไม่ต้องสงสัยให้มากความ แม้ความทรงจำอื่นๆ ในภพก่อนจะหายไป แต่ความสามารถในการเรียนรู้ของข้ายังคงอยู่ หนังสือทุกเล่มเมื่อผ่านตาข้าหนึ่งครั้งก็จะจดจำฝังลึกในหัว หลับตาทบทวนสักพักก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ทว่าตอนนี้ ที่ยากที่สุดก็คือการฝึกของจริงเสียที ข้าลุกขึ้น เก็บตำราทั้งหลายไว้บนชั้นหนังสือ ส่วนตำราปราณที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้ ข้าจับมันโยนใส่ในช่องลับแล้วเดินออกจากห้องหนังสือ บางทีแล้ว การฝึกเช่นนี้ควรจะฝึกในห้องของตัวเองมากกว่า กลิ่นตุๆ ลอยมากระทบจมูกข้าจนคลื่นเ**ยน อาหารเช้าแทบจะถูกขย้อนออกมา เมื่อก้มลงดมเสื้อผ้าของตนเอง โดยเฉพาะส่วนรักแร้แล้วก็แทบจะเป็นลม อืม…มารดามันสิ! กลิ่นราวกับหนูตาย แถมยังฉุนจนแสบจมูก กลิ่นตัวข้ารุนแรงเหลือเกิน ข้าลืมไปแล้วว่าไม่ได้อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเกือบสิบห้าวันแล้ว ฮือๆ อาจารย์ทนเข้าไปได้อย่างไรกัน คิดแล้วน้ำตาก็พานไหล ก่อนที่ข้าจะขาดใจตายเพราะกลิ่นกายกับสภาพเน่าๆ ของตัวเอง เห็นทีคงต้องเผชิญหน้ากับบรรดาศิษย์พี่ที่ลำธารเสียแล้ว [1] อารมณ์ทั้งเจ็ดคือ ยินดี โทสะ เศร้าโศก ร่าเริง รัก เกลียด และราคะ ปรารถนาทั้งหกคือ การที่ใจเอนเอียงเพราะรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ปรุงแต่ง [2] ลี้ (*) เป็นหน่วยวัดระยะทางของจีนโบราณ โดยที่ 1 ลี้ เท่ากับ 500 เมตร [3] หยิน เป็นตัวแทนของความมืดมิด ไม่เคลื่อนไหว อ่อนล้า เศร้าโศก ความตาย ความหนาวเย็น และเพศหญิง หยาง เป็นตัวแทนของความกระตือรือร้น พลังงาน แสงสว่าง การเกิด การเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดนิ่ง และเพศชาย [4] ๑ เค่อ เท่ากับเวลาประมาณ ๑๕ นาที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD