-1-

4691 Words
หนึ่ง การเดินทางหลายพันลี้ เริ่มจากการก้าวเท้าก้าวแรก เมื่ออายุได้ห้าขวบ ยอดปรมาจารย์ก็รับตัวนางเป็นศิษย์ และเดินทางสู่เขาซูซันเพื่อฝึกยุทธ์พร้อมกับบรรดาพี่ชาย ก่อนขึ้นเขาเด็กทั้งสี่คนได้ถูกทำนายดวงชะตาไว้ ‘บุตรชายคนโตเถรตรงและซื่อบื้อ ภายภาคหน้าจะได้ช่วยเหลือผู้คนทั้งใต้หล้า เปลือกนอกเข้มแข็ง ทว่าจิตใจกลับอ่อนโยนยิ่งนัก บุตรชายคนรองดวงชะตาดอกท้อ อนาคตจะได้กระทำการใหญ่ ระวังมีเภทภัยจากหญิงงาม บุตรชายคนที่สามเจ้าเล่ห์แสนกล ฉลาดเฉลียว ดวงชะตารุ่งโรจน์ เงินทองกองแทบเท้า แต่กว่าจะหาสตรีมาครองคู่ได้อุปสรรคกลับมากมาย บุตรีคนสุดท้องมีชะตารันทดดังยอดเขาสูงโดดเดี่ยว ดึงดูดภัยอันตรายเข้าสู่ตัว ต้องอาศัยผู้มีบารมีสูงจึงจะอยู่รอดปลอดภัย เคราะห์กรรมหนักหลายครั้งหลายครากว่าจะสุขสบาย’ ในวันแรกของการเดินทางออกจากจวนตระกูลจ้าว นางกับพี่ชายต่างก็สงสัยว่าเหตุใดจึงต้องห่างอกท่านพ่อท่านแม่มาไกล ทว่าด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็ก ความอยากเที่ยวเล่นมีมากกว่า จึงยอมตามท่านอาจารย์ขึ้นสู่เขาซูซัน ก่อนออกเดินทาง ท่านอาจารย์ของนางกล่าวไว้ว่า ‘การเดินทางหลายพันลี้ ย่อมเริ่มจากการก้าวเท้าก้าวแรก’ วาจายิ่งใหญ่ปานนั้น นางกับพี่ชายจึงหลงเชื่อคำพูดของปรมาจารย์จิวซื่ออย่างโง่งม พอโตขึ้นมาถึงได้รู้ความหมายของประโยคนี้ ทุกอย่างย่อมมีจุดเริ่มต้น เริ่มจากการเดินทางไปทั่วทั้งจงหยวน[1] ทุกสามเดือนท่านอาจารย์จะพานางกับพี่ชายลงเขาเพื่อเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วยุทธภพ แม้ท่าทางของอาจารย์จะไม่คล้ายยอดคนสันโดษ แต่อย่างน้อยบนเขาซูซันก็ยังมีอาจารย์หญิงซึ่งเป็นภรรยาของเขาและท่านลุงจางซึ่งเป็นพ่อบ้านเก่าแก่ อาจารย์พานางและพี่ชายเดินทางไปยังเมืองต่างๆ สี่ทะเลหมื่นขุนเขาล้วนได้เหยียบย่ำ ทว่าทุกครั้งที่กลับมาจากการท่องเที่ยว การฝึกมักจะโหดกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ผ่านไปหลายปีทั้งสี่พี่น้องจึงสำเร็จวิชาตามความมุ่งหมาย และค่อยๆ ลงจากเขาทีละคน เนื่องด้วยที่ทั้งสี่เป็นลูกหลานตระกูลขุนศึก นอกจากวิทยายุทธ์แล้ว ตำราสามอักษร[2] ภาพวาด โคลงกลอน ล้วนต้องฝึกฝน อย่างน้อยฝีมือก็ไม่ควรขี้ริ้วจนเกินงาม อาจารย์บอกว่าขุนศึกจำต้องรู้วิชา มิเช่นนั้นรังแต่จะพาเหล่าทหารไปตายอย่างโง่งม พี่ใหญ่ของนางมีชื่อว่า จ้าวจิ่นลี่ ยิ่งโตก็ยิ่งมีร่างกายสูงใหญ่ อาจารย์กล่าวว่าพี่ใหญ่ของนางนิสัยหนักแน่นมั่นคง สามารถฝึกกำลังภายในสายหยาง ความแข็งแกร่งเช่นนี้เหมาะแก่การฝึกอาวุธระยะกลาง จำพวกทวน หอก และง้าว จ้าวจิ่นลี่เป็นคนเดียวที่เชี่ยวชาญการขี่ม้ามากที่สุด ปรมาจารย์จิวซื่อจึงสอนวิชาปฐพีไร้พ่ายซึ่งเป็นสุดยอดวิชาการใช้อาวุธระยะกลางบนหลังม้าอันเลื่องชื่อ อีกทั้งสอนวิชากลไกและค่ายกลเพื่อใช้ในสนามรบ พอพี่ใหญ่อายุครบสิบห้า ท่านอาจารย์ก็ถีบหัวส่งลงเขากลับบ้านไปคนแรก ราวกับว่าท่านอาจารย์ไม่สนใจไยดีเขาเท่าใดนัก ทว่าหลังจากนั้นตลอดทุกคืนเกือบสามเดือน นางมักจะได้ยินเสียงทอดถอนใจและเสียงพร่ำบ่นถึงพี่ใหญ่จากอาจารย์และอาจารย์หญิง หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ข่าวว่าพี่ใหญ่เข้าร่วมกองทัพกับบิดา พี่รอง จ้าวจิ่นติ้ง มีอุปนิสัยชอบเล่นสนุก ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติ รูปร่างสูงโปร่ง สามารถผสานความแข็งกร้าวกับความอ่อนหยุ่น ร่างกายเหมาะแก่การฝึกวรยุทธ์อย่างมาก ท่านอาจารย์จึงสอนสุดยอดวิชากระบี่หิมะให้เขา เมื่อพี่รองอายุครบสิบห้า แม้อาจารย์จะชอบอาหารฝีมือเขามากกว่าท่านลุงจาง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องตัดใจถีบหัวส่งเขากลับบ้านเกิดไปอีกคน บุตรชายคนโตสร้างชื่อเสียง บุตรชายคนรองยิ่งต้องเจริญรอยตาม นางและพี่สามร่ำไห้อยู่เป็นนาน เพราะฝีมือการทำอาหารของท่านลุงจาง พ่อบ้านบนเขาซูซันนั้นเรียกได้ว่าแค่พอทน ผ่านไปไม่นานก็ได้ข่าวว่าเขาเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาหมื่นอักษร ฝีมือทางด้านการต่อสู้ยอดเยี่ยม จนในที่สุดก็มีแววว่าจะได้เป็นราชองครักษ์ อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ พี่สามของนาง จ้าวจิ่นกวาง ภายนอกเหมือนรักสงบ แต่ในหัวมีแผนการหลากหลาย นิสัยคล้ายท่านอาจารย์ที่สุด จึงได้รับการถ่ายทอดสุดยอดวิชาพัดจันทราไร้เงา วิชาสายอ่อนหยุ่นเน้นการโจมตีภายใน พี่สามมีพรสวรรค์แต่ขี้เกียจตัวเป็นขน เว้นว่างเป็นต้องนอนหลับ ไม่ก็ลากนางมาเล่นหมาก หาวิธีหมายหลบหลีกการฝึกฝน ส่วนนาง จ้าวเสวี่ยเฟิง หากพูดโดยไม่ถ่อมตน ก็ต้องบอกว่ามีเค้าโครงความงามตั้งแต่เด็ก อาจารย์ อาจารย์หญิง และพี่ชายเกรงว่านางจะนำเภทภัยมาสู่ตนเอง จึงถ่ายทอดวิชาแปลงโฉมและสุดยอดวิชาฝ่ามือหิมะไร้รอยให้นางเพื่อป้องกันตัว สำนักของนางหรือก็คือบ้านของท่านอาจารย์อยู่บนเขาสูงตรงดินแดนตอนเหนือของต้าถัง ติดกับชายแดนของชนเผ่าต่างๆ นอกด่าน ลงจากหน้าผาก็เป็นเขตแดนของทู่เจี๋ย[3] ทว่าทางขึ้นนั้นกลับอยู่ในดินแดนของต้าถัง แม้ว่าชนเผ่าเหล่านั้นจะลอบโจมตีด่านทางเหนือของต้าถังบ่อยครั้ง แต่พื้นที่นี้กลับได้รับการยกเว้น แน่นอนว่าจะมีใครอยากสู้รบกับยอดยุทธ์แห่งแผ่นดินใหญ่เล่า? แค่อ้างชื่ออาจารย์ของนางผู้คนก็กลัวจนหัวหดแล้ว เรื่องตลกอันใดกัน? เป็นอาจารย์ของนางคุยโม้โอ้อวดเสียสามส่วน หลังจากที่พี่ใหญ่กับพี่รองลงจากเขาไป ด้วยชื่อเสียงที่เริ่มถูกกล่าวถึงมากขึ้น ชื่อของปรมาจารย์จิวซื่อจึงถูกหยิบยกมากล่าวขวัญ ไม่นานก็เริ่มมีผู้คนขึ้นเขาเดือนละหลายคน ท่านลุงจางบอกว่าคนเหล่านี้มักจะมากราบอ้อนวอนอาจารย์ของนางเพื่อขอเป็นศิษย์ นับว่าชื่อเสียงของเขานั้นไม่ธรรมดา แต่ยอดคนไหนเลยจะรับศิษย์มากมาย อาจารย์เพียงแต่บ่นรำพึงรำพันว่ามีทโมนอย่างพวกนางสี่พี่น้องก็เหลือบ่ากว่าแรงแล้ว จะรับผู้อื่นมาเป็นศิษย์อีกทำไม ท้ายที่สุดก็สั่งให้พวกนางหาวิธีกลั่นแกล้งคนเหล่านั้นจนถอยร่นลงเขาไป อาจารย์และอาจารย์หญิงจึงมอบหมายให้นางและพี่สามวางกับดักไว้ พร้อมประกาศว่าผู้ใดผ่านด่านของพวกนางมาได้ อาจารย์จึงจะรับเป็นศิษย์ หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดมารบกวนอีกเลย เฮอะ! นางกับพี่สามไหนเลยจะกล้าทำเล่นๆ อาจารย์ข่มขู่เสียดิบดีว่า หากมีคนขึ้นเขามาได้ พวกนางจำต้องลงจากเขาแล้วกลับบ้านเกิดไปทันที พี่รองลงจากเขาไปได้ปีหนึ่งก็มีการเปลี่ยนแปลง มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งขึ้นเขามาคนเดียว รอบกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลแต่ไม่ถึงตาย นางและพี่สามประหลาดใจยิ่งนัก ท่านอาจารย์หญิงตรวจชีพจรจึงรู้ว่าเขามีพื้นฐานวรยุทธ์ น่าเสียดายที่เขาถูกพิษร้ายแรง เกรงว่าถ้ามาช้าไปไม่กี่ชั่วยามก็คงไปเฝ้ายมบาลแล้ว นางและพี่สามเริ่มคิดไม่ตกอยู่พักใหญ่ คงจะถึงเวลาที่นางและพี่สามต้องถูกถีบลงเขาแล้วกระมัง หลังจากนั้นเจ็ดวันเด็กหนุ่มผู้นั้นก็ฟื้น เขาอายุสิบหกปีชื่อ สุ่ยเจี้ยนหัว ตั้งใจขึ้นเขามากราบปรมาจารย์จิวซื่อให้เป็นอาจารย์ แม้ว่าจะอายุมากกว่าเสวี่ยเฟิง แต่ในที่สุดนางก็ได้เป็นศิษย์พี่สี่ รสชาติการเป็นศิษย์พี่ช่างดียิ่ง สุ่ยเจี้ยนหัวมีฝีมือด้านการทำอาหาร รู้จักเอาอกเอาใจศิษย์พี่ จ้าวจิ่นกวางกับจ้าวเสวี่ยเฟิงจึงลำพองใจนัก ด้วยเหตุนี้สองพี่น้องจึงไม่ได้สนใจซักไซ้ประวัติของศิษย์น้องเล็กคนนี้เท่าใด สุ่ยเจี้ยนหัวถูกพิษ จึงใช้กำลังมากไม่ได้ แต่เขามีประสาทสัมผัสทั้งห้าและมันสมองอันยอดเยี่ยม ท่านอาจารย์จึงสอนเพียงการฝึกกำลังภายในเพื่อรักษาอาการบอบช้ำและสอนวิชาแพทย์ให้เขา เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี พี่สามอายุสิบห้า ส่วนนางอายุสิบสี่ ก็ได้เวลากราบลาอาจารย์และอาจารย์หญิง แล้วลงจากเขากลับบ้านเกิด ที่จริงแล้วนางยังอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อย แต่เพราะเป็นสตรีจึงไม่อาจลงเขาคนเดียวได้ เลยต้องถูกลากลงเขาไปกับพี่สามอย่างช่วยไม่ได้ สุ่ยเจี้ยนหัวเกิดอาการเหงาหงอย ร่ำลานางและพี่สามด้วยดวงตาแดงก่ำ สุดท้ายยังมีน้ำใจทำอาหารใส่ห่อให้ทั้งสองก่อนออกเดินทาง ทั้งสองซาบซึ้งใจยิ่งนัก แต่ก็จำต้องตัดใจหันหลังลงจากเขาด้วยความอาวรณ์ ส่งกันพันลี้ สุดท้ายก็ต้องจากกัน[4]… ก้าวแรกที่นางกับพี่สามมาถึงหน้าจวนตระกูลจ้าว ก็เห็นประตูจวนที่ประดับด้วยอักษรมงคลเพื่อต้อนรับการกลับมาของพวกนาง เพราะพี่สามส่งจดหมายมาแจ้งข่าวล่วงหน้าเป็นเดือน บ่าวรับใช้มองพวกนางพลางอ้าปากค้าง ชาวบ้านต่างวิ่งเข้ามามุงดูนางกับพี่สาม นางคือคุณหนูสี่ของจวนตระกูลจ้าว...จ้าวเสวี่ยเฟิง แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลจ้าวไร้ทายาทที่เป็นสตรี จ้าวเสวี่ยเฟิงนับเป็นสตรีคนแรกที่ถือกำเนิดในตระกูลแม่ทัพใหญ่แห่งนี้ คนทั้งจวนจึงรักใคร่เอ็นดูนางยิ่งนัก นอกจากนั้นแล้ว คนทั้งไคเฟิง[5] ก็ย่อมอยากเห็นว่าบุตรีเพียงคนเดียวของแม่ทัพจ้าวนั้นมีหน้าตาเช่นไร จ้าวจิ่นกวางซึ่งมีรูปร่างสูงโปร่งอยู่ในชุดสีน้ำตาลเข้ม ตรงชายชุดปักลายเมฆเหิน ชายเสื้อสะบัดพลิ้วตามแรงลม ในมือถือพัดประจำกายโบกไปมาดูสง่างาม น่าเกรงขาม และเป็นผู้ใหญ่เกินวัย แม้แต่อาการง่วงเหงาหาวนอนเป็นปกติก็ไม่ได้แสดงออกให้ใครดูแคลน กระแสลมอ่อนพัดโชยทำให้เส้นผมปลิวไหวเล็กน้อย ขับใบหน้าหล่อเหลาราวหยกสลักและคิ้วกระบี่พาดเฉียงเหนือนัยน์ตาคมให้ดูโดดเด่น ทั้งยังรับกับจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักลึก แม้ยังเป็นหนุ่มน้อย ทว่าทุกท่วงท่ากลับเปี่ยมไปด้วยความโดดเด่น สาวน้อยสาวใหญ่ต่างชม้ายชายตามองเป็นระยะ “ดวงชะตาดอกท้อน่าจะเป็นพี่สามมากว่าพี่รองด้วยซ้ำ” เสวี่ยเฟิงอดค่อนขอดพี่สามของนางไม่ได้ ตลอดการเดินทางสตรีมากหน้าหลายตาพยายามทอดสะพานให้พี่สามของนางเป็นระยะ ส่วนนางที่ต้องปลอมตัวออกเดินทาง จึงทำได้เพียงช่วยไล่สตรีเหล่านั้นให้ออกห่างจากเขา ยังไม่นับเมื่อตอนมาถึงหน้าจวนที่เรียกสายตาจากผู้คนได้ชะงัด จ้าวจิ่นกวางส่ายหน้าช้าๆ กระซิบข้างใบหูเล็กๆ ของน้องสาวว่า “เจ้าต้องทำใจที่มีพี่ชายหล่อเหลาถึงเพียงนี้ ส่วนตัวเจ้าน่ะ อย่าได้เผลอถูกผู้ใดฉุดกระชากไปล่ะ” ข้อเสียของบุรุษตระกูลจ้าวคือ หวงจ้าวเสวี่ยเฟิงที่สุด แม้ว่านางจะเป็นเหมือนเด็กสาวที่เจ้าเล่ห์ซุกซน ทว่าดวงหน้าที่มีเค้าโครงความงดงามกลับดึงดูดผู้คนยิ่งนัก คนตาไม่บอดย่อมรู้ว่าเมื่อนางเติบโตจะงดงามล่มเมืองเพียงใด จ้าวเสวี่ยเฟิงสูงโปร่งกว่าสตรีทั่วไป นางสวมชุดสีเขียวอ่อนปักลายดอกบัว เพราะอายุยังน้อยส่วนที่ควรมีจึงยังไม่เด่นชัด ทว่าเครื่องหน้ากลับมีเค้าความงดงามชัดเจน คิ้วโก่งดังคันศรเหนือดวงตาหงส์คู่โต จมูกโด่งรั้นรับกับริมฝีปากรูปกระจับ ผมยาวสลวยดำขลับมัดด้วยเชือกสีขาวเพื่อไม่ให้ระใบหน้า แม้จะเรียบง่าย ทว่ากลับดูโดดเด่นนักเมื่อเทียบกับเด็กสาวชาวเมืองทั่วไป ด้วยความที่อายุห่างกันไม่ถึงปี เมื่อมองผ่านๆ ใบหน้าของสองพี่น้องจึงคล้ายกับฝาแฝด “ลูกหลานตระกูลจ้าวช่างโดดเด่นเหนือผู้คนจริงๆ” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นจากบรรดาผู้คนที่มุงดู จะว่าไปแล้วเหตุใดนางกับพี่สามจึงต้องยืนรออยู่หน้าจวนให้ผู้อื่นจ้องมองราวกับตัวประหลาดเช่นนี้ “บุตรชายหล่อเหลาสง่างาม ส่วนบุตรสาวก็งดงามอรชร ช่างมีแต่กลิ่นอายสูงศักดิ์ นายท่านจ้าวและท่านแม่ทัพจ้าวช่างมีวาสนายิ่งนัก” “นับว่าหนุ่มสาวที่ดีมักนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ตระกูล” ชาวบ้านหลายคนเห็นด้วย ต่างก็เออออตามกันไป จนกระทั่งสองพี่น้องเดินเข้าจวนไปถึงสลายตัว หลังจากนั้นไม่นานข่าวเรื่องคุณชายผู้หล่อเหลาและคุณหนูผู้งดงามก็ดังไปทั่วทั้งเมือง ‘เอาเถิด ถือเป็นการเปิดตัวที่ไม่เลวนัก’ จ้าวเสวี่ยเฟิงได้แต่ทอดถอนใจ ในจวนตระกูลจ้าว ฮูหยินผู้เฒ่ากอดรับขวัญหลานสาวกับหลานชายด้วยความดีใจ นายท่านจ้าวจ้างพ่อครัวจากร้านชื่อดังในเมืองเพื่อมาทำอาหารต้อนรับหลานรักทั้งสอง บรรยากาศรอบโต๊ะอาหารจึงเต็มไปด้วยความครึกครื้นและความอบอุ่นของการหวนคืนสู่ ‘บ้าน’ แม้ว่านางกับพี่ชายจะจากบ้านไปตั้งแต่ยังเล็ก จนแทบจะลืมเลือนไปแล้วว่าในครอบครัวมีผู้ใดบ้าง ทว่าท่านแม่ของนางก็ขยันส่งจดหมายหากันทุกเดือน ความสัมพันธ์ในครอบครัวจึงไม่เลวนัก “ท่านพ่อกับพี่ใหญ่และพี่รองล่ะเจ้าคะท่านแม่” จ้าวเสวี่ยเฟิงถามมารดาพลางใช้ตะเกียบคีบเนื้อตุ๋นให้ท่านย่า ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นการปรนนิบัติของหลานสาวก็ยิ้มตาหยี คิดในใจว่าหลานของนางโตเป็นสาวน้อยที่กตัญญูยิ่ง “พ่อกับพี่ใหญ่ของเจ้าตอนนี้กำลังรับศึกอยู่ที่หังโจว[6] เห็นว่าพวกโจรสลัดชุกชุมนัก คราวนี้อาจจะไปนานถึงสองปี” เยี่ยชิงหรูบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล นางเองก็อดเป็นห่วงสามีและบุตรชายคนโตไม่ได้ จ้าวจิ่นกวางเห็นมารดาไม่สบายใจก็รู้สึกไม่ดี จึงปลอบใจนางด้วยน้ำเสียงสดใส “ท่านแม่ ตั้งแต่ท่านอาจารย์รับตัวพวกข้าขึ้นเขา พี่ใหญ่เชี่ยวชาญกลศึกที่สุด ข้าว่าท่านพ่อกับพี่ใหญ่ไม่มีทางพลาดท่าง่ายๆ หรอกขอรับ” นายท่านจ้าวเห็นหลานชายพูดจามีหลักการก็น้ำตารื้น ภาคภูมิใจที่จ้าวจิ่นกวางเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จนบัดนี้ก็ถึงวัยที่จะทำพิธีสวมหมวก[7] ตัดสินใจไม่ผิดที่ยอมให้จิวซื่อรับตัวเป็นศิษย์ ทว่าใจของท่านผู้เฒ่าก็กระหวัดนึกถึงหลานชายคนรองที่กำลังศึกษาอยู่ในเมืองหลวงลั่วหยาง อดเล่าเรื่องราวของจ้าวจิ่นติ้งไม่ได้ “พี่รองเจ้าวรยุทธ์เลิศล้ำ งานแสดงฝีมือปีก่อนก็สร้างชื่อให้ตระกูลจ้าว พอเข้าสำนักศึกษาก็มีโอกาสแสดงฝีมือการประลองอีกครั้ง ปีนี้ก่อนหมดภาคการศึกษาก็สร้างชื่อจนจักรพรรดิพอพระทัย ในที่สุดก็ได้แต่งตั้งให้เป็นราชองครักษ์ที่อายุน้อยที่สุด อีกสักปีสองปีหากสอบจอหงวนได้ ก็คงจะได้รับการแต่งตั้งให้รับราชการเต็มตัว” “แค็กๆๆ” จ้าวจิ่นกวางได้ยินเรื่องพี่รองสอบจอหงวนก็สำลักซุปไก่จนหน้าดำหน้าแดง “กวางเอ๋อร์เป็นอะไรรึเปล่าลูก” ฮูหยินเยี่ยตกอกตกใจ รีบลูบหลังบุตรชายด้วยกลัวว่าอาหารจะติดคอจนเจ็บป่วย จ้าวจิ่นกวางโบกมือปฏิเสธ พลางรับผ้าเช็ดหน้าจากท่านย่ามาเช็ดหน้าเช็ดตา ส่วนจ้าวเสวี่ยเฟิงเพียงแต่แอบขำเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าเก็บอาการได้มิดชิดจนคนทั้งโต๊ะอาหารไม่ทันสังเกต ใครจะไปคิดว่าคนอย่างพี่รองจะได้ดิบได้ดีถึงเพียงนั้น ดวงจันทร์โผล่พ้นขอบฟ้า สายลมอบอุ่นของคิมหันตฤดูพัดโชย นานๆ จึงจะทราบการศึกที่หังโจว คนที่ยังอยู่จึงได้แต่สวดมนต์อ้อนวอนสวรรค์ให้คุ้มครองพวกเขา ค่ำคืนแห่งความอบอุ่นจึงผ่านพ้นไป พร้อมกับเสียงพูดคุยไต่ถามความเป็นอยู่ของแต่ละคน ร่างสูงสง่าร่างหนึ่งยืนพิงกรอบหน้าต่าง มองดูแสงจันทร์เต็มดวงสะท้อนกับสระบัว เขาสวมชุดสีดำเดินดิ้นทอง ภายใต้แสงจันทร์ช่างดูระยิบระยับ ก่อเกิดเป็นภาพที่งดงามเกินบรรยาย นัยน์ตาสีดำคมกริบกลับไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับบรรยากาศแสนงดงามนี้ คิ้วกระบี่พาดเฉียงขมวดแน่น จมูกโด่งเป็นสันทำให้แม้นจะดูพร่าเลือนประหนึ่งภูตพรายใต้แสงจันทร์ ทว่ากลับส่งให้ใบหน้านั้นดูหล่อเหลาและลึกลับไปพร้อมกัน ข้างหลังเขามีชายคนหนึ่งยืนอยู่ในความมืด “อีกฝ่ายมีความเคลื่อนไหวแล้วขอรับ” เสียงของชายที่อยู่ในความมืดดังขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคารพ ชายหนุ่มไม่ได้หันกลับไปมอง เพียงแค่พยักหน้าแล้วพูดด้วยเสียงทรงอำนาจว่า “อย่าได้ทำอะไรเกินกว่าเหตุ เลี่ยงได้จงเลี่ยงซะ ชีวิตคนนั้นสำคัญที่สุด” “ขอรับ” พูดจบร่างนั้นก็หายไปราวกับภูตผี ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง มือเรียวยาวกระด้างหยิบของบางอย่างออกมาจากในอกเสื้อ เขาจ้องมองมันด้วยสายตาเลื่อนลอย เป็นหยกสลักสีขาวลวดลายมังกรที่ส่องประกายล้อกับแสงจันทร์ ตัวหยกส่องแสงเรืองๆ ตอบรับกับแหวนหยกที่นิ้วมือ ริมฝีปากหนาได้รูปยกขึ้น พลางพึมพำแผ่วๆ “คงใกล้ถึงเวลาแล้ว” สองปีผ่านไป เมืองไคเฟิง อาณาจักรต้าถัง “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ!” สาวใช้คนหนึ่งทั้งร้องทั้งตะโกนดังลั่นไปทั่วทั้งเขตของเรือนเสวี่ย ซึ่งเป็นที่พักของจ้าวเสวี่ยเฟิง เพราะความตื่นเต้นและความเร่งรีบจึงทำให้นางเดี๋ยวก็ลื่นล้ม เดี๋ยวก็สะดุดก้อนหิน จนผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ารุ่มร่ามช่างน่าขำยิ่งนัก ใบหน้างดงามหมดจดซีดขาวเพราะความเหนื่อย เม็ดเหงื่อใสผุดพรายเต็มใบหน้า นางชื่อชิงเฟย ปัง! เสียงเปิดประตูอย่างแรงจนบานประตูกระแทกกับผนังดังลั่น ภายในห้องว่างเปล่า ที่นอนหมอนมุ้งถูกจัดเรียบร้อย ข้าวของถูกวางเป็นระเบียบสะอาดสะอ้านด้วยฝีมือนางเอง ไม่มีคน… คุณหนูไม่อยู่ นางก็คงต้องเหนื่อยตามหาอีกแล้ว สมองเล็กๆ ขบคิดถึงสถานที่ที่จ้าวเสวี่ยเฟิงชอบไปหมกตัว ตั้งแต่คุณหนูของนางกลับมาพร้อมกับคุณชายสามก็เที่ยวก่อเรื่องไปทั่ว วันก่อนนางไปโรงเตี๊ยมรื่นสราญกับคุณหนู ผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามก็ได้ยินเสียงโครมดังลั่นทั้งโรงเตี๊ยม คุณหนูของนางถีบคุณชายเหยา บุตรชายเถ้าแก่เหยาเจ้าของกิจการแพรพรรณที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไคเฟิงลงมาจากชั้นสอง สุดท้ายคุณชายผู้นั้นก็หลังเดาะ หมอบอกว่าคงเดินไม่ได้ราวหนึ่งสัปดาห์ ทั่วทั้งเมืองล้วนรู้กิตติศัพท์ความเจ้าชู้เสเพลของคุณชายเหยา จึงไม่มีผู้ใดมาช่วยห้ามปราม คุณหนูของนางเป็นหญิงงาม อีกทั้งยังผ่านการทำพิธีปักปิ่น[8] แล้ว บุรุษทั้งหลายล้วนคิดอยากมาสู่ขอ หากคุณชายสามที่กำลังช่วยกิจการของคหบดีเยี่ยทราบข่าว คุณชายเหยาอาจจะไม่ใช่แค่หลังเดาะก็เป็นได้ พอคหบดีเหยารู้ข่าวก็โกรธเกรี้ยวบุตรชายยิ่งนัก ที่ไปก่อเรื่องกับบุตรีแม่ทัพจ้าว จึงลงโทษคุณชายเหยายกใหญ่ อีกทั้งยังส่งของกำนัลมาขอขมาคุณหนูเสวี่ยเฟิงและนายท่านจ้าวเสียมากมาย ชิงเฟยคาดเดาไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย สองวันถัดมาพอคุณชายสามทราบข่าวเรื่องคุณชายเหยาคิดจะลวนลามคุณหนูสี่ รถขนส่งแพรพรรณของตระกูลเหยาก็เกิดปัญหาส่งของไม่ได้ ขาดทุนไปหลายพันตำลึง นายท่านเหยาแม้จะรู้อยู่เต็มอกก็ทำได้เพียงตีอกชกหัวที่มีบุตรชายคอยหาเรื่องปวดหัวให้ไม่เว้นแต่ละวัน นับว่าคุณชายสามปรานีแล้วที่แก้เผ็ดเล็กน้อยเพียงนี้ ชิงเฟยสะบัดศีรษะไล่ความนึกคิด นางตามหาคุณหนูสี่มาเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว แต่ยังตามหาไม่พบ คงต้องออกไปตามหาที่โรงเตี๊ยมรื่นสราญ หรือไม่ก็ไปหอจันทร์กระจ่าง หอการค้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไคเฟิง ซึ่งเป็นกิจการของตระกูลฝั่งฮูหยินเยี่ย คุณชายสามมักจะไปช่วย เยี่ยเหยาซี ผู้มีศักดิ์เป็นน้าดูแลกิจการอยู่เป็นประจำ “พี่สามคิดว่าครั้งนี้เราลงมือหนักเกินไปหรือไม่” จ้าวเสวี่ยเฟิงถามพี่ชาย มือเล็กเรียวหยิบขนมกุ้ยฮวา[9] ขึ้นมากัดคำหนึ่ง อีกมือก็ถือถ้วยชาผสมน้ำผึ้ง[V1] ไว้จิบเพื่อไม่ให้ขนมติดคอ จ้าวจิ่นกวางยังคงพลิกสมุดบัญชีไปมา ดวงตาคมกริบตรวจดูยอดบัญชีให้ละเอียดอีกครั้ง ใบหน้าที่เริ่มมีเค้าร่างของบุรุษหนุ่มเข้มชัด หูก็ฟังจ้าวเสวี่ยเฟิงพูดไปด้วย เขาระบายลมหายใจก่อนจะกล่าวเตือนน้องสาวว่า “ข้าว่ารอบนี้คุณชายเหยาคงไม่กล้าก่อเรื่องอีกนาน เจ้าเองเถอะ ระวังท่านปู่เอาไว้ให้ดี นายท่านเหยารู้จักกับท่านปู่มานาน อย่างไรก็ต้องไว้หน้าเขาสามส่วน” จ้าวเสวี่ยเฟิงกินขนมจนหมด จิบน้ำชาที่ผสมน้ำผึ้งเสร็จก็ลูบท้องที่ป่องด้วยความอิ่ม ริมฝีปากอมยิ้มมีความสุข สำหรับนาง สุขใดไหนจะเท่าสุขที่ได้กินของอร่อยทุกวัน เรื่องที่นางก่อไว้ไม่ได้ทำให้นางเดือดร้อนสักเท่าใดนัก นางพร้อมที่รับผลที่ตามมาเสมอ... “รอบนี้โทษข้าไม่ได้ คุณชายเหยาผู้นี้นับวันยิ่งเหิมเกริม ไม่มีคนปราบเสียบ้างคงเอาแต่รังแกผู้อื่นไปทั่ว” “ข้ามีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดี หนังตาขวากระตุกยิกๆ นี่สิ” “พี่สาม ท่านก็พูดแบบนี้ตลอด สุดท้ายก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอก” พูดจบนางก็หัวเราะร่วน จ้าวจิ่นกวางคิดตามที่น้องสาวพูดก็เผลอหัวเราะตาม นึกสมน้ำหน้าคุณชายเหยานัก สองพี่น้องพากันหัวเราะเสียงดังราวกับกลัวว่าคนเบื้องล่างจะไม่ได้ยิน หลงจู๊เหยินซึ่งอยู่ด้านล่างได้ยินเสียงคุณหนูกับคุณชายหัวเราะเสียงดังก็รู้สึกขนลุก ตั้งแต่คุณชายสามกับคุณหนูสี่ลงจากเขาซูซันมา ที่เมืองไคเฟิงก็มีแต่เรื่องวุ่นวายไม่หยุดหย่อน เห็นทีสวรรค์คงลงทัณฑ์ที่เมืองไคเฟิงสงบสุขมาช้านาน “หลงจู๊เหยิน คุณหนูกับคุณชายสามอยู่ที่นี่หรือไม่” ชิงเฟยหอบจนตัวโยน หลงจู๊เหยินพอได้ยินสมองก็ประเมินเรื่องราวจนเข้าใจเป็นอย่างดี ยิ้มต้อนรับพร้อมกับนำน้ำชามารับรองชิงเฟย มือหยาบกระด้างรินน้ำชาให้สาวใช้ของคุณหนูอย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากความชำนาญเขาจึงกะเวลาและระยะของถ้วยชาไม่ให้น้ำชากระเด็นแม้เพียงหยดเดียว นับเป็นยอดฝีมือในการรับรองแขกโดยแท้ ชิงเฟยมองด้วยความตื่นตะลึง “เจ้ารอสักครู่ เดี๋ยวข้าไปบอกคุณชายสามกับคุณหนูสี่ให้ นั่งพักก่อนเถิด” พูดจบก็รีบวิ่งขึ้นไปชั้นบนด้วยความรวดเร็ว ชิงเฟยเห็นน้ำชาก็ร้องในใจว่าสวรรค์เมตตานางแล้ว รีบดื่มชาด้วยความกระหาย ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาหลงจู๊เหยินก็เดินลงมา เมื่อเห็นชิงเฟยมีท่าทีเช่นนั้นก็หัวเราะเสียงแผ่ว พร้อมกับส่งยิ้มให้สาวใช้ “ชิงเฟย คุณหนูสี่บอกว่าขึ้นไปได้” พอได้ยินเช่นนั้นนางก็ส่งยิ้มกลับ “ขอบใจหลงจู๊เหยิน” พูดจบชิงเฟยก็สาวเท้าขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว จนหลงจู๊เหยินตาลาย เขาเกาศีรษะด้วยความงุนงง พลางพึมพำกับตัวเองว่า “แม่นางชิงเฟยวิ่งตามคุณหนูสี่จนชิน ตอนนี้ฝีมือร้ายกาจยิ่งนัก” ฝีมือชิงเฟยรุดหน้าขึ้นอีกขั้นโดยที่นางไม่รู้ตัว เรื่องนี้นับเป็นความดีความชอบของจ้าวเสวี่ยเฟิง เสียงฝีเท้าดังมาก่อนที่คนจะปรากฏตัว คนในห้องจึงรู้ทันทีว่าสาวใช้มือดีมาถึงแล้ว “มีอะไรชิงเฟย” จ้าวเสวี่ยเฟิงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย เจอหน้าชิงเฟยทีไรอารมณ์เบิกบานของนางมักจะหดหาย เพราะสาวใช้ผู้นี้เข้มงวดยิ่งกว่ามารดาของนางเสียอีก “คุณหนูเจ้าขา คุณชายสามเจ้าขา มีเรื่องด่วนเจ้าค่ะ” นางพูดน้ำเสียงตื่นๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิงกับสภาพเหงื่อซึมช่างน่าขำยิ่ง จ้าวจิ่นกวางปิดสมุดบัญชีลง ตั้งใจฟังเรื่องด่วนของสาวใช้ ชิงเฟยเห็นเจ้านายสนอกสนใจก็พูดติดๆ ขัดๆ “นะ นะ นะ..นายท่านเจ้าค่ะ เอ๊ย...ไม่ใช่ๆ ท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ” “ท่านพ่อเป็นอะไร” จ้าวเสวี่ยเฟิงเห็นท่าทีตื่นเต้นของสาวใช้ก็คิดว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีกับบิดาบังเกิดเกล้า จิตใจจึงเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม “เอ่อ...ท่านแม่ทัพไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ แต่ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว คุณชายใหญ่ คุณชายรองก็กลับมาด้วยนะเจ้าคะ ตอนนี้กำลังจะถึงประตูเมืองทิศตะวันตกแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อสองพี่น้องได้ยินดังนั้นก็ระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก ทั้งสองไม่ได้เจอท่านพ่อ พี่ใหญ่ และพี่รองหลายปีแล้ว จึงคิดถึงยิ่ง โดยเฉพาะพี่รองที่มีฝีมือการทำอาหารยอดเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่งไม่เป็นรองใคร [1] จงหยวน ดินแดนที่ราบภาคกลางของจีน ระหว่างแม่น้ำฮวงโห (แม่น้ำเหลือง) และแม่น้ำแยงซีเกียง (แม่น้ำฉางเจียง) [2] ตำราสามอักษรอักษร เป็นแบบเรียนขั้นพื้นฐานสำหรับหัดอ่านเบื้องต้นตามจารีตโบราณด้านการศึกษา [3] ทู่เจี๋ย หรือเผ่าเติร์ก เป็นหนึ่งในชนเผ่าเร่ร่อนที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกตะวันออก และมีบทบาทในประวัติศาสตร์จีนค่อนข้างมาก เพราะแม้แต่จักรพรรดิราชวงศ์สุยและถังก็มีเชื้อสายเติร์กด้วย [4] มาจากประโยคที่ว่า **********[5]ไคเฟิงเป็นเมืองในมณฑลเหอหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน อยู่ริมฝั่งด้านใต้ของแม่น้ำฮวงโห (หรือแม่น้ำเหลือง) เป็นหนึ่งในเมืองหลวงเก่าของจีน [6] หังโจวตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมณฑลเจ้อเจียง ทางตะวันออกของจีน บนที่ราบน้ำท่วมถึง ริมฝั่งแม่น้ำแยงซี พื้นที่ส่วนใหญ่ล้อมรอบด้วยเทือกเขา มีทะเลสาบซีหูเป็นสัญลักษณ์ของเมือง [7] พิธีสวมหมวกเป็นพิธีเพื่อแสดงว่าได้บรรลุนิติภาวะ โตเป็นผู้ใหญ่ มีสิทธิและอำนาจในการปกครองคนขั้นต้นแล้ว แต่ก็อย่าหลงลืมตน ยังต้องปรับปรุงพัฒนาตนให้สมกับความเป็นผู้ใหญ่ต่อไป [8] พิธีปักปิ่น พิธีบรรลุนิติภาวะ ตอนอายุ 15 ปี เรียกว่า "จีหลี่ (**)" ที่จะมีการรวบเกล้าผมขึ้นแล้วปักปิ่น บอกแสดงถึงสถานะที่เปลี่ยนจากเด็กหญิงมาเป็นหญิงสาวแล้ว [9] ขนมกุ้ยฮวา ขนมที่นำรวงผึ้งมาผสมกับดอกหอมหมื่นลี้ แล้วนำไปทอดในน้ำมัน จนได้ขนมที่มีรสชาติหอมอร่อย [V1]นางเอกไม่ชอบดื่มชาค่ะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD