1.2 ยั่ว

1734 Words
รถยนต์คันเล็กตีวงเข้ามาจอดบริเวณหน้าบ้าน มธุรสก้าวลงมาแล้วมองเข้าไปในอาณาจักรของอัคคี ไฟยังปิด แสดงว่าเขายังไม่กลับ ปานนี้คงสำเริงสำราญอยู่กับแม่คู่รักของเขานั่นแหละ ร่างบางยืนมองนิ่งอยู่เป็นนาน ก่อนจะหมุนตัวเพื่อกลับเข้าบ้าน ทว่าแสงไฟที่สาดมาจากรถยนต์คันใหญ่คุ้นตาทำให้หญิงสาวต้องยกมือขึ้นป้องใบหน้ามองไป ประตูบ้านถูกเปิดออกด้วยรีโมตคอนโทรล แล้วรถยนต์ก็ผ่านเข้าไป เพียงครู่ ร่างสูงก็ลงมาจากรถ เขาหันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างรถยนต์คันเล็กด้วยแววตาที่อ่านยาก หญิงสาวยืนนิ่งจนอีกฝ่ายเดินมาหยุดตรงหน้า มธุรสช้อนตาขึ้นมองใบหน้าคมคายของอัคคีด้วยความรู้สึกสะท้อนใจ หล่อนเห็นเขามานาน คลุกคลีอยู่กับเขาตั้งแต่เด็ก ทว่าเขากลับไม่เคยมีหล่อนในสายตาเลยสักนิด คำก็ดุ สองคำก็กระแนะกระแหน… “กลับเร็วขนาดนี้แปลว่าไม่ได้อยู่ต่อกับคุณณี?” ริมฝีปากสีหวานเผยอยิ้มก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ แล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นคล้องลำคอแกร่งของเขาอย่างยั่วเย้า อัคคีถอนหายใจยาวแล้วแกะมือบางทั้งสองข้างออกจากต้นคอของตน “อย่าทำแบบนี้ ถ้าไม่คิดถึงตัวเองก็คิดถึงคุณป้าของเธอบ้าง” เขาบอกขณะดันหญิงสาวออกห่าง เอือมระอากับพฤติกรรมแบบนี้ของหล่อนมาช้านาน แต่ก็ไม่เคยที่จะทำเหมือนไม่สนใจไยดีหล่อนได้สักที ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน “อาเพลิง…” มธุรสพึมพำเรียกเขา ดวงตาคู่สวยจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าคมคาย ไล่ลงมายังลำคอตั้งตรงอย่างคนที่ทะนงตนอยู่ตลอดเวลา บ่าไหล่ของเขาก็แข็งแรง แผงอกกว้างกำยำที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้สูทสีขรึมก็บึกบึนและตึงแน่นน่าซบ และชั่วระยะเวลาไม่กี่นาทีอัคคีก็เห็นเต็มตาว่ากำลังถูกหญิงสาวแทะโลมเงียบๆ เขาควรโกรธ ควรไล่หล่อนกลับเข้าบ้าน แต่ความรู้สึกแท้จริงของเขากลับกำลังสั่นสะท้าน “ขอหวานเข้าไปในบ้านอาเพลิงสักพักได้หรือเปล่าคะ?” คิ้วหนาขมวดมุ่น แต่เมื่อสบตาคมสวยที่ช้อนขึ้นมองเขาอย่างวอนขอก็ให้อ่อนใจ  “มันดึกแล้ว เธอเองก็ควรกลับเข้าบ้านได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องทำงานไม่ใช่หรือ?” เขาเอ่ยไปอีกเรื่อง พยายามบ่ายเบี่ยงให้หญิงสาวเปลี่ยนใจ แต่คนที่ดื้อดึงเช่นมธุรสหรือจะยอมง่ายๆ ไม่มีทาง… “หวานยังไม่อยากเข้าบ้าน” “อย่าทำตัวเหลวไหล เธอโตแล้ว อย่าทำให้คุณป้าไม่สบายใจสิ…” คนตัวบางเชิดหน้าขึ้นพลางเม้มปากอย่างขัดใจ “คุณป้าไม่อยู่ค่ะ ท่านไปถือศีลกับเพื่อนๆ อีกสามวันถึงจะกลับ หวานอยู่คนเดียว หวานเหงา…”  น้ำเสียงนั้นบอกเขาได้ดีว่าหล่อนเหงาจริงๆ ทว่าสมควรแล้วหรือที่จะยอมทำตามความต้องการของหล่อน  “กลับเข้าบ้านไปซะ ดึกแล้วคงไม่เหมาะ” “หวานเข้าออกบ้านอาเพลิงตั้งแต่เล็ก ทำไมจะไม่เหมาะ?!” เจ้าของเสียงหวานแหวขึ้นพร้อมกับใบหน้างดงามที่งอเง้าราวเด็กเอาแต่ใจ ทว่าชายหนุ่มไม่คิดจะง้อหรือปลอบโยนเหมือนเมื่อห้าหกปีที่แล้วอีก  “ถ้าเป็นเด็ก ก็คงไม่มีใครว่า แต่เธอไม่ใช่เด็กอีกแล้วหัดใช้สมองกลวงๆ ของเธอคิดสักนิดก็จะดีนะมธุรส…” เขาเรียกหล่อนเสียเต็มยศ แต่เชอะ! เรื่องอะไรต้องทำตามที่เขาบอกด้วยเล่า ในเมื่อเขาเองก็ไม่คิดจะเชื่อในสิ่งที่หล่อนพยายามบอกเขาเหมือนกัน ผู้หญิงคนนั้น แม่มณี คู่หมั้นที่กำลังแต่งงานกับเขาและผู้หญิงคนนั้นก็กำลังหลอกเขาด้วยเช่นกัน! “หวานจะเข้าไป…” ร่างบางเอี้ยวตัวหลบคุณอาหนุ่มแล้วสาวเท้ายาวๆ เข้าไปภายในบ้านของเขาอย่างรวดเร็ว อัคคีถอนหายใจพรืด กวาดตามองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นใครจึงหมุนตัวตามร่างบางเข้าไปติดๆ “เปิดประตูสิคะ…” คนมีเสน่ห์ล้นเหลือสั่งการ เจ้าของบ้านตัวโตหลุบลงมองคนใจกล้าตรงหน้าแล้วพ่นลมหายใจระอา “ดื้อด้านเกินใครจริงๆ” เขาบ่นพึมทว่าคนถูกบ่นมิยักโกรธ หนำซ้ำยังยิ้มร่าเมื่ออัคคีไขกุญแจบ้าน “อาเพลิงน่ารักที่สุด หวานรักอาเพลิงค่ะ” คนตัวบางยืดตัวขึ้นแล้วกดริมฝีปากบางแนบกับปลายคางบึกบึนเบาๆ แล้วหมุนตัวแผล็วเข้าไปภายในบ้านของเขาอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้คนตัวโตยืนอึ้งไปเป็นนาน ก่อนจะหันไปมองคนข้างในที่เปิดไฟพรึบแล้วเรียกเขา “เข้ามาสิคะ ยืนทำอะไรอยู่…” ดวงตาคมวาววับเมื่อเจ้าหล่อนยกเรียวขาขึ้นไขว่ห้างโชว์ความกลมกลึงงดงามที่โผล่พ้นชายกระโปรงโดยไม่สนว่าอะไรจะโผล่ออกมาบ้างเลยสักนิด “ฉันไม่มีเวลามาดูแลเธอหรอกนะ นี่ก็ดึกมากแล้ว” เขายังย้ำคำเดิมๆ และมันก็ทำให้มธุรสเบื่อหน่าย “พูดมากอยู่ได้ บ่นเป็นตาแก่เชียว”  ดวงตาคมกริบกลายเป็นสีเขียวเรืองโรจน์ เป็นเหตุให้คนชอบท้าทายหัวเราะคิก พลางเผยอริมฝีปากคล้ายจะยั่วยวนในที “ว้า… แค่นี้ก็โกรธ มานั่งนี่สิคะ เดี๋ยวหวานจะนวดให้” มือเล็กตบลงบนโซฟาข้างๆ ดวงตาคมสวยแฝงรอยยิ้มเชิญชวน แต่เจ้าของบ้านหน้าเข้มกลับยืนนิ่งเป็นหุ่นยนต์ “ฉันจะขึ้นห้อง อยากนอน”  คนมากด้วยเสน่ห์เย้ายวนทำตาโต ผุดลุกตามเมื่ออีกฝ่ายหมุนตัวเตรียมขึ้นห้องอย่างที่เขาบอก “หวานไปด้วย!”  ร่างสูงชะงักกึก สันกรามถูกบดเบียดจนนูนเป็นระยะ “หวานจะไปนวดให้อาเพลิง… บนห้อง” เสียงหวานดังชิดแผ่นหลังกว้าง และเวลาต่อมามือเล็กๆ ทั้งสองข้างก็โอบรัดรอบลำตัวหนาแนบสนิท อัคคีต้องสะกดอารมณ์หนุ่มที่กำลังพลุ่งพล่านอย่างยากเย็น โดยเฉพาะพวงอกอวบอิ่มที่แนบเบียดเข้ากับแผ่นหลังกว้างนั้นกระตุ้นเลือดลมให้สูบฉีดรุนแรง “หวาน…” “นะคะ ให้หวานขึ้นไปด้วยคน”  มือหนาตะครุบหมับลงบนมือเล็กที่พยายามสอดเข้าไปในสาบเสื้อเชิ้ตสีฟ้าจาง ก่อนจะดึงออกแล้วหมุนตัวกลับมาหาคนใจกล้าตรงหน้าพร้อมกับจ้องตาอย่างค้นคว้าว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเอื้อเอ็นดู… “ฉันไม่รู้ว่าเธอทำแบบนี้ทำไม แต่หยุดทำตัวเป็นผู้หญิงไร้ค่าเสียทีเถอะ!” มือหนาที่วางบนลาดไหล่บีบกระชับ เช่นเดียวกับมือเล็กที่กำแน่นแนบลำตัว ดวงตากลมโตช้อนมองเขาอย่างตัดพ้อ  “ใช่สิ! หวานมันไร้ค่า หวานมันไม่มีศักดิ์ศรี ไม่เหมือนคุณมณี เธอออกจะดีพร้อมไปทุกอย่าง…”  คิ้วหนาย่นพัน ดวงตาคมกว้างจ้องมองคนตรงหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย… “อย่าประชดประชัน ฉันไม่ชอบ ในเมื่อรู้ตัวว่าไม่ดีแล้วจะทำทำไม” “ไม่ต้องมาสอน! หวานรู้ว่าทำอะไรอยู่”  คนถูกเถียงบดกรามแน่น ก่อนจะผลักร่างบางออกห่างเบาๆ “งั้นก็อย่ามาวุ่นวายกับฉันอีก ฉันเบื่อหน่ายเต็มทีแล้ว จะไปไหนก็ไปเถอะ ฉันอยากพักผ่อน ไม่อยากมาคุยเรื่องไร้สาระกับเธออีก!” “แล้วถ้าเป็นเรื่องคุณมณีล่ะจะยังไร้สาระอยู่อีกหรือเปล่า?!”  ดวงตาสองคู่สบกันนิ่ง คู่หนึ่งท้าทายและเยาะหยันในที ส่วนอีกคู่ข่มกลั้นอารมณ์เดือดดาลสุดความสามารถ  “อย่ายุ่งกับมณี เขาไม่ใช่เพื่อนเล่นของเธอ!” อัคคีกัดฟันพูดขณะที่มธุรสแสยะยิ้มก่อนจะหมุนตัวหันหลังให้กับคนที่หล่อนเฝ้ารักเฝ้ารอ นับแต่เริ่มเป็นสาวจวบกระทั่งเวลานี้ แต่เขาไม่เคยเข้าใจหล่อน ไม่มองเสียด้วยซ้ำว่ามีใครที่ยังรักเขาอยู่อีกคน “หวานรู้ค่ะ รู้ดีด้วยว่าคุณมณีไม่ใช่เพื่อนเล่นของหวาน แต่หวานก็อยากให้อาเพลิงรู้เอาไว้เหมือนกันว่า…” ร่างระหงหันกลับมาสบตาคนเบื้องหลังอีกครั้ง และคราวนี้ไม่มีอาการยั่วเย้าหรือว่าล้อเล่นอีกแล้ว แต่จริงจังจนคนมองยังต้องหรี่ตาลงด้วยอาการครุ่นคิด “เธอกำลังพูดเรื่องอะไร?”  สาวสวยที่ครั้งหนึ่งเขาเคยโอบอุ้มเมื่อยังเยาว์วัยขยับตัวเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า หล่อนมองตาเขา ปากเขา มองทุกอย่างบนใบหน้าคมคายที่จำชัดจนเจนตาอย่างอาวรณ์และหม่นมัว “หวานไม่แน่ใจ ว่าถ้าหวานพูดออกไปแล้ว อาเพลิงจะไม่เกลียดหวาน” “พูดมา…” เขาสั่ง คิ้วหนาขมวดพันกันมากขึ้น ริมฝีปากสีเรื่อจึงขบเม้มเบาๆ เรียกร้องกำลังใจและความกล้าให้หวนกลับคืนมา “อาเพลิงกำลังถูกหลอก!”  ดวงตาสีเข้มหรี่มองคนตรงหน้าอยู่ครู่ ก่อนจะยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตนเอง ถูไปมานิดเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “จะเล่นอะไรอีก จะมาป่วนอะไรอีก ใครจะกล้ามาหลอกอะไรฉัน?” “คุณมณีไงคะที่กล้า โธ่! น่าสงสาร!” พูดจบร่างกลมกลึงก็ฉวยโอกาสหมุนตัวตรงไปยังประตูลิ่วๆ ทว่าคนที่ถูกมองว่าน่าสงสารไม่ยอมตกเป็นคนน่าสมเพชในสายตาใคร ก้าวเพียงสองก้าวก็ทันร่างเล็กแล้วกระชากท่อนแขนเปล่าเปลือยให้หันกลับมา “อุ๊ย! อาเพลิง!” “บอกมา! เธอหมายความว่าอะไร?” ทั้งสีหน้า แววตาและปฏิกิริยาของเขาคุกคามอย่างเห็นได้ชัด แล้วหากพูดออกไปเขาไม่หักคอหล่อนหรอกหรือ เพราะเขาเองก็ไม่คิดจะเชื่ออยู่แล้วไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม… “ไม่บอก ไม่อยากพูดแล้ว เพราะขืนพูดออกไปอาเพลิงก็ไม่เชื่อ อุ๊ย! เจ็บนะ” หญิงสาวพยายามบิดแขนออกจากมือหนาใหญ่ของเขา ใบหน้าหวานนิ่วน้อยๆ เมื่อชายหนุ่มไม่มีทีท่าว่าจะคลายแรงบีบลง “บอกมาเดี๋ยวนี้!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD