๕ ออกอาการ
มธุรสหลบเข้ามาในห้องน้ำหญิงเพราะทนนั่งอยู่ที่เดิมต่อไปอีกไม่ไหว หญิงสาวมองคนในกระจกเงาแล้วเห็นผู้หญิงสวยมองตอบออกมา ทว่าหล่อนคนนี้มีใบหน้าที่หม่นหมอง ไม่สดใสสวยงามอย่างที่ใครเห็น ราวกับมีเรื่องเศร้าใจให้หล่อนต้องขบคิดมากกระนั้น
“หวานอยากเกลียดอาเพลิง… ทำไมถึงไม่เชื่อหวานบ้างนะ กลับไปคบกับแม่นั่นอีกทำไม” เสียงผู้หญิงสองคนกำเดินเข้ามาภายในห้องน้ำทำให้หญิงสาวต้องรีบล้างมือแล้วเลี่ยงออกไปด้านนอกทั้งที่ยังไม่อยากออกไปพบเจอกับภาพบาดตาเลยสักนิด แต่เมื่อก้าวออกไปเพียงไม่กี่ก้าวหญิงสาวก็ต้องอุทานกับแรงฉุดที่รั้งหล่อนเข้าไปยังมุมหนึ่งของร้าน
“เอ๊ะ! ปล่อยนะ ฉันบอกให้…” หญิงสาวอ้าปากค้างเมื่อพบว่าคนที่ฉุดหล่อนเข้ามายังมุมอับลับตาคนมิใช่ใคร ทว่าเป็นคนที่ทำให้หล่อนต้องขอตัวจากเมษนั่นเอง “อาเพลิง…”
“ใช่! ฉันเอง ทำไม ตกใจอย่างนั้นเหรอ? กลางคืนอีกคน กลางวันก็อีกคน รู้สึกว่าเธอจะขาดผู้ชายไม่ได้สักเวลานะ!”
“อาเพลิง! มันจะมากไปแล้วนะคะ” ใบหน้าหวานแดงก่ำเพราะความโกรธ แต่อีกฝ่ายเหยียดยิ้มดูถูก
“น้อยไปสิ! ทำไม ขาดไม่ได้เลยหรือไงผู้ชาย ต้องมีต้องหาให้ได้”
“หยาบคาย! ปล่อยนะคะ ไหนว่าไม่ให้หวานเข้าใกล้แล้วทำไมอาเพลิงถึงทำซะเองล่ะ! อย่าบอกนะคะว่าหึงหวานน่ะ?”
คนถูกตอกกลับหน้าตึงเปรี๊ยะ กระชากคนปากดีเข้ากอดแล้วกระชับร่างบางแน่นขึ้นจนหญิงสาวรู้สึกเจ็บ
“ฉันไม่มีวันหึงผู้หญิงสำส่อนอย่างเธอหรอกมธุรส!!”
เพี้ยะ!!
เป็นครั้งแรกที่มือเล็กๆ ของหญิงสาวสะบัดลงไปบนใบหน้าคมคายของคนปากไม่ตรงกับความรู้สึกเต็มแรง เจ็บปวดมานักต่อนักยังทนไหว แต่ครั้งนี้พอกันทีกับความหยาบคายของเขา
“นี่สำหรับคำว่าสำส่อน!” พลันน้ำตาใสๆ ก็ไหลพราวจากนัยน์ตาคู่สวยเมื่อเจ้าของใบหน้าที่ถูกตบหันกลับมายังหล่อนด้วยแววตากร้าวกระด้าง “อาเพลิงรู้อะไรไหมคะ? ว่าเรื่องเมื่อคืน มันเป็นเรื่องที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตหวาน! แต่เชื่อเถอะค่ะ ว่าต่อจากนี้มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแน่นอน เราจะต่างคนต่างอยู่ ไม่เกี่ยวข้องกันอีกแม้แต่นิดเดียว!”
แผงอกกว้างถูกผลักออกห่างอย่างไม่ทันระวัง พร้อมกับร่างบางของมธุรสที่เดินแกมวิ่งออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว หญิงสาวเช็ดน้ำตาลวกๆ เมื่อกลับไปถึงโต๊ะซึ่งมีเมษนั่งรออยู่ ชายหนุ่มหน้าตื่นเมื่อพบว่าใบหน้าสวยหวานของหญิงสาวแดงก่ำ จมูกปากก็แดงไม่แพ้กันคล้ายกับคนเพิ่งจะร้องไห้มาหยกๆ
“คุณหวาน! คุณเป็นอะไร ใครทำอะไรคุณบอกผมมาเดี๋ยวนี้ผมจะไปจัดการมันเอง!” เมษฮึดฮัดเอาเรื่อง ทว่าหญิงสาวกลับส่ายหน้า
“ไม่ค่ะ ไม่มีอะไร เรารีบทานกันเถอะค่ะ จะได้ไปจากที่นี่”
เมษไม่อยากยอมหล่อนเลยสักนิด แต่เมื่อหญิงสาวก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารเขาก็หมดคำถาม ทั้งที่ภายในใจยังกรุ่นๆ ไม่หาย
ขณะเดียวกันอัคคีเองก็ยังคงยืนนิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม เขาไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทำไมต้องด่าว่ามธุรสเสียๆ หายๆ เช่นนั้น จริงอย่างที่หล่อนว่า เขาเป็นคนสั่งห้ามไม่ให้หล่อนเข้าใกล้แต่กลับเป็นเขาเสียเองที่เข้าใกล้หล่อน ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบแก้มที่ถูกตบเต็มแรงอย่างไม่เข้าใจตนเองนัก พลันก็ให้เสียใจเมื่อนึกถึงน้ำตาที่ไหลพราวของหญิงสาว…
มณีถอนหายใจเฮือกเมื่อชายหนุ่มยังไม่ยอมออกมาจากห้องน้ำเสียที แต่พอหันไปยังมุมเดิมก็ต้องยิ้มเมื่อร่างสูงโดดเด่นของอีกฝ่ายกำลังเดินตรงมาทางนี้ แต่ทว่าสายตาของเขากลับมองเลยหล่อนไป มณีมองตามแล้วแทบกรีดร้อง เมื่อพบว่าด้านหลังของหล่อนคือโต๊ะของมธุรสซึ่งนั่งอยู่กับใครอีกคนหนึ่งนั่นเอง!
“นังเด็กบ้านั่นนี่นา!” สบถพึมพำจนอีกฝ่ายทรุดตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นรอยแดงเป็นปื้นจากซีกแก้มด้านข้างของอีกฝ่ายเต็มตา “ต๊าย! นั่นแก้มคุณไปโดนอะไรมาคะนั่น?”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบแก้มตนเองอัตโนมัติ แต่ก็ไม่ได้ตอบอีกฝ่ายแต่อย่างใดเรื่องที่เขาถูกตบจนหน้าหัน…
“ไม่มีอะไร ทานเถอะ” ชายหนุ่มคว้าช้อนขึ้นมาตักอาหารทันที และไม่สนใจจะดูแลมณีเหมือนครั้งก่อนๆ จนหญิงสาวต้องเม้มปากด้วยความโกรธ
“รู้สึกว่าคุณจะอารมณ์ไม่ดีเลยนะคะวันนี้ มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า?” ถามเบาๆ ทว่าสายตากลับจับจ้องมองเขาอย่างจริงจัง ชายหนุ่มเหลือบตามองคนถามพลางกระตุกยิ้ม ทำให้อีกฝ่ายชะงักมองรอยยิ้มนั้นด้วยความรู้สึกแปลกไปจากเดิม ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อคิดว่ารอยยิ้มของเขาเหมือนกับรอยยิ้มของคนที่รู้ทันอย่างไรก็ไม่รู้…
“ทานข้าวเสร็จแล้วผมจะบอก รับรองว่าจะบอกทุกอย่าง…” ขณะที่เขาตอบแต่สายตาของเขากลับมองเลยไปยังด้านหลังของมณี หญิงสาวทนไม่ได้จึงโพล่งออกมาทันที
“นั่นแม่หลานสาวนอกไส้ของคุณนี่คะ?!” คนถูกถามหลุบตามองคนเคยรักแวบหนึ่งก่อนไหวไหล่เบาๆ เป็นเหตุให้อีกฝ่ายเม้มปากกำช้อนแน่นด้วยความเจ็บใจ “รู้สึกว่าคุณจะสนใจแม่นั่นเหลือเกินนะคะ”
“ก็คงอย่างนั้นมั้ง?” เขาตอบโต้ราวกับอยากหาเรื่องผิดใจใส่ตัวเต็มที
“นี่เพลิง! คุณเป็นอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้ยอกย้อนแบบนี้นะ?” ถามอย่างเหลืออด ทำให้คนที่กำลังตักอาหารเข้าปากต้องวางช้อนลง ดวงตาคมกร้าวมองไปยังคนถามจนอีกฝ่ายต้องหลบตาพัลวันด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน และไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมจึงต้องรู้สึกเช่นนั้น
“ก็บอกแล้วไง… ทานข้าวเสร็จคุณจะได้รู้… ทุกอย่าง”
เขาบอกพลางถอนหายใจเฮือก “แล้วตอนนี้ผมก็อิ่มแล้ว”
มณีเม้มปากแน่น โกรธเขาจนอยากจะกรีดร้องให้ลั่นร้าน แต่ที่ทำได้คือการรวบช้อนตามคู่หมั้นก็เท่านั้น หมดอารมณ์สุนทรีในการรับประทานอาหารเที่ยงไปโดยปริยาย…
“มณีก็อิ่มแล้วเหมือนกันค่ะ!” อัคคีไม่ต่อปากต่อคำ หรืองอนง้อหล่อนเหมือนเคย แต่หันไปเรียกพนักงานแล้วจ่ายเงิน มณีแสดงอาการกระฟัดกระเฟียดถอนหายใจเฮือกๆ ด้วยความโมโห
มธุรสเหลือบตาไปเห็นร่างสูงกำลังเดินออกจากร้านและได้สบตาคมคู่นั้นหญิงสาวก็เมินหน้าหนีไปอีกทางทันที ไม่อยากมองหน้าคนปากจัดใจร้าย ไม่อยากคิดถึงเขาสักนิด
“ทานเยอะๆ นะครับคุณหวาน” เมษเอาใจพลางตักอาหารใส่จานให้หญิงสาวที่เขาหมายปอง
“ขอบคุณค่ะ” ตอบพลางยิ้มให้เมษอย่างจงใจเช่นกัน ทำให้คนที่มองอยู่ก่อนแล้วเมินหน้าหนีแล้วสาวเท้าออกจากร้านอย่างรวดเร็วโดยมีร่างของมณีตามออกไปติดๆ และเมื่อทั้งคู่ออกไปหญิงสาวก็ลดอาการกระตือรือร้นลงจนคนที่ร่วมโต๊ะลอบถอนหายใจ ประหลาดใจกับพฤติกรรมของหญิงสาวมากยิ่งขึ้น
ระหว่างอัคคีและมณีทั้งคู่ต่างเงียบตลอดระยะทางจนกระทั่งถึงบริษัทของชายหนุ่ม มณีซึ่งอดกลั้นมานานจึงเอ่ยขึ้น
“ไหนคุณว่ามีอะไรจะพูดกับมณีไงล่ะคะ?” เจ้าของใบหน้าคมคายที่มองตรงไปยังเบื้องหน้าหันกลับมาสบตาคนพูด
“ระหว่างเรา… จะไม่มีงานแต่งเกิดขึ้น!”
“อะไรนะ?!” มณีอุทานลั่น หัวใจดิ่งฮวบลงสู่ปลายเท้า มองอีกฝ่ายราวกับไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนและไม่ยอมรับว่าสิ่งที่อัคคีพูดออกมานั้นเป็นความจริง เขาอาจล้อหล่อนเล่น!
“เพลิงขา… คุณล้อมณีเล่นใช่ไหมคะ?” ชายหนุ่มปัดมือของคนเคยรักออกห่าง ตอกย้ำความจริงและทบทวีความเสียใจให้เพิ่มพูนจนเกินรับไว้ในคราวเดียว…
“ผมพูดจริง!” ทั้งน้ำเสียงที่ห้วนผิดปกติและใบหน้าบึ้งตึงทำให้มณีเริ่มตัวชา ถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างหนึ่งวันที่ไม่ได้เจอกัน
“ทำไม? เกิดอะไรขึ้นคุณถึงได้พูดบ้าๆ ออกมาแบบนี้นะ!”
ชายหนุ่มแค่นยิ้ม ก่อนจะดึงโทรศัพท์มือถือของตนออกมา แล้วกดหาบางอย่างอยู่ครู่ เสียงคุ้นหูจึงดังกระจายไปทั่วห้องโดยสาร…
‘คมน์ขา…’
‘หืม…’
‘อื้ม… ค… คมน์ ณี ไม่ไหวแล้วค่ะ อ๊า!’
‘โอ้ว พระเจ้า! คุณวิเศษมาก อ่า ดีมากเยี่ยม ใช่ แบบนั้น อ่า…’
มณีนิ่งอึ้งมีอาการเหมือนคนกำลังช็อกชั่วขณะเมื่อได้ยินเสียงของตนและคู่ขาคู่สวาทออกมาจากเครื่องมือสื่อสารของคู่หมั้น หญิงสาวหันมองเขาแล้วสั่นหน้าปฏิเสธ
“จะดูภาพก็ได้นะ…” เขาบอกด้วยน้ำเสียงราวคนเลือดเย็นจนหญิงสาวปล่อยโฮ…
“เพลิง!” เมื่อจนด้วยคำพูดทุกประการมณีก็สะอึกสะอื้นน้ำตาไหลพราก
“คุณกลับไปเสียเถอะ ส่วนเรื่องอื่นๆ ผมจะเป็นคนโทร.บอกยกเลิกเอง” มณีส่ายหน้าด้วยความเสียใจ
“ไม่นะคะ เพลิง อย่าทิ้งมณีแบบนี้ ไม่ใช่มณีนะคะ… มันอาจเป็นภาพตัดต่อหรือคลิปเสียงที่ทำขึ้นมาก็ได้”
“เลิกพูดทีเถอะมณี!” หันมาตะคอกใส่คนที่น้ำตานองหน้าด้วยความโกรธขึ้ง มองคนที่เคยรักด้วยสายตาเจ็บปวดไม่แพ้กัน
“ผมจำคุณได้เสมอ! แล้วก็ดูออกด้วยว่ามันเป็นของจริงหรือว่าตัดต่อ! ผมไว้ใจคุณมาโดยตลอด พยายามทะนุถนอมจนกว่าจะถึงวันแต่งงานแต่แล้วคุณกลับ…”
อัคคีกัดฟันแน่น เบนหน้าหนีไปอีกด้านที่ไม่มีมณี เขารู้สึกอึดอัดและอับอายเหมือนกำลังหายใจไม่ออก ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอดสูแบบนี้กับตนได้แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว
“ไปซะ จากนี้ไปเราไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก เจอกัน ก็ไม่จำเป็นต้องทัก!”
“เพลิง!” ร้องอุทานด้วยความตกตะลึง ไม่คิดมาก่อนว่าทุกอย่างจะพังทลายลงไปต่อหน้าต่อตา “ใคร? ใครเป็นคนเอาเรื่องนี้มาบอกกับคุณ!”
จากความเสียใจเปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยว หากหล่อนต้องถูกอัคคีทิ้งครั้งนี้ก็ขอให้ได้รู้สักหน่อยเถอะว่าใครกันที่บังอาจทำกับหล่อนถึงเพียงนี้!
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอกว่าใคร รู้แค่ว่าเราจะไม่เกี่ยวข้องกันอีกไม่ว่าเรื่องอะไรก็พอแล้ว ลาก่อน” ร่างสูงเปิดประตูลงจากรถทันทีที่พูดจบ มณีนิ่งอึ้งได้อึดใจก็รีบวิ่งตามอีกฝ่ายลงไปอย่างรวดเร็ว
“เพลิง! ไม่นะคะ เพลิงขา” วิ่งไปกอดเอวสอบของคนที่กำลังทอดทิ้งหล่อนแน่น พลางร่ำไห้อย่างน่าสงสาร “มณีรักคุณ เรากำลังจะแต่งงานกัน มณีไม่มีวันทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้นแน่”
อัคคีผลักร่างบางของมณีให้ออกห่าง ไม่อยากจะเชื่อว่าเวลานี้เขาขยะแขยงมณีจนไม่อยากแตะ ตรงกันข้ามกับใครอีกคนที่เขาคาดโทษไว้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแตะต้องเพราะความโกรธ…
“ปล่อยผม! เราพูดกันรู้เรื่องแล้ว อย่าให้ผมต้องรู้สึกรังเกียจคุณมากไปกว่านี้เลยนะ!” ผละห่างพร้อมกับเดินหนี
“เพราะนังเด็กนั่นใช่ไหม?! เป็นฝีมือนังเด็กนั่นสินะ!”
เสียงแหวจากเบื้องหลังทำให้ร่างสูงชะงัก
“คุณไม่คิดบ้างหรือไงว่านั่งเด็กนั่นอาจจัดฉากแล้วเอามาหลอกคุณน่ะ คนในภาพกับเสียงนั้นจะหาใครที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันมากๆ มาใส่ร้ายก็ได้ สมัยนี้พวกคิดไม่ดีมันทำกันเยอะแยะไป!”
มณีไม่ยอมถูกทิ้งเด็ดขาด แม้ภาพและเสียงนั้นจะเป็นหล่อน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่คิดยอมรับ ทุกอย่างต้องมีทางแก้ และหล่อนจะต้องแก้ให้ได้รวมทั้งเขี่ยมธุรสออกไปให้พ้นทางอย่างเด็ดขาดเสียที!!
“คุณกลับไปเถอะ ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณอีกแล้ว” ชายหนุ่มก้าวต่อไป ทำให้มณีเม้มปากกำมือแน่น อยากจะกรีดร้องแต่ที่ทำได้คือ…
“ก็ได้! วันนี้มณีจะกลับก่อน แต่ขอบอกไว้นะคะ ว่ามณีจะไม่ปล่อยให้คนที่หวังแยกคุณไปจากมณีอยู่อย่างเป็นสุขเด็ดขาด โดยเฉพาะนังเด็กนั่น!!” หญิงสาวกระทืบเท้าไม่เบานัก เมื่ออีกฝ่ายไม่หยุดฟังคำพูดของหล่อน แล้วหมุนตัวตรงไปยังรถยนต์ของตนเองที่จอดรอไว้ทันที!
พ้นมาจากมณีร่างสูงก็ทรุดลงกับเก้าอี้ตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงาน ยกมือขึ้นคลึงขมับเบาๆ รู้สึกปวดร้าวตั้งแต่ศีรษะลงจนมาถึงหัวใจ จบสิ้นกันทีสำหรับเขากับมณี… ตลอดกาล