พวกผมปล่อยน้องปี 1กลับหลังจากกิจกรรมทุกอย่างเสร็จสิ้นลง น้ำใสกับเพื่อนตัวเล็กของเธอรีบลุกขึ้นเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ผมรีบหลบเพื่อนออกมาเดินตามไปหลังเพื่อไปดักรออยู่ที่รถของน้ำใส เธอมัวแต่ยืนร่ำลาเพื่อนจนมองไม่เห็นผมยืนรอหน้ารถ เสียงทักทายของผมทำเธอสะดุ้งตกใจแทบโยนกุญแจทิ้ง
"ทำอะไรผิดมาถึงได้ดูตกใจขนาดนั้น" น้ำเสียงเย็นยะเยือกของผมถามออกไปในขณะที่สายตายังคงจ้องหน้าเธอนิ่งไม่ละสายตาออกจากใบหน้าสวยแสนดื้อรั้น เมื่อเธอรู้ว่าเป็นผมสายตาของก็กลับมาขุ่นตีหน้าใสซื่อเหมือนเดิม
"เป็นใครก็ต้องตกใจไหมคะพี่เล่นมาแอบอยู่เงียบๆเหมือนพวกโจรมุมตึกไม่เอากระเป๋าฟาดหน้าเข้าให้ก็ดีเท่าไหร่"
"แล้วที่พี่ถามว่าทำไมเดินขาถ่างเมื่อคืนไปทำอะไรมายังไม่ตอบพี่เลยนะ" ผมเอามือกอดอกยืนพิงประตูฝั่งตรงข้ามคนขับจ้องมองไปยังเธอราวถูกสะกดให้ยืนนิ่งอยู่ห่างๆไม่ยอมเดินเข้ามาใกล้เหมือนคนหวาดระแวง แต่มีอย่างหนึ่งที่น้ำใสยังคงเสมอต้นเสมอปลายตั้งเจอกันครั้งแรกคือใบหน้าแสนพยศดื้อรั้นเชิดขึ้นจนน่าหมั่นไส้
"แล้วพี่จะมายุ่งเรื่องของน้ำใสทำไมคะน้ำใสจะเดินยังไงไปทำอะไรมาก็เรื่องของน้ำใสไม่เห็นมันจะเกี่ยวอะไรกับพี่สักหน่อยยุ่งไม่เข้าเรื่อง" ผมกระตุกยิ้มมุมปากให้กับความพยศของเธอผมให้คะแนนเต็มร้อย ปากแข็งกลบเกลื่อนเก่งผมให้คะแนนเต็มพัน นี่ถ้าไม่เห็นหลักฐานคาตามัดตัวแน่นผมคงเชื่อการกระทำของเธอสนิทใจ เธอยังเก็บอาการเก่งและยังคงแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆมีอย่างเดียวเท่านั้นคือแววตาเธอแอบฉายแววหวาดหวั่นออกมาไม่รู้ตัว ผมเองก็อยากเห็นเหมือนกันเธอจะทนเก็บความอึดอัดไว้ได้นานเท่าไหร่ ผมจะยอมอดทนอยู่นิ่งๆดูว่าเธอจะไปได้สักกี่น้ำกัน อยากเล่นผมก็จะเล่นตามจนกว่าจะยอมรับออกมาเอง
"หึ.. ไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง แต่ก็ดีเก่งนะรับศึกหนักพี่ได้ดีทีเดียว" สายตาของผมยังนิ่งเย็นชาดุจน้ำแข็ง เสียงหัวเราะในลำคอปนไปด้วยความเย้ยหยันขาถ่างเดินแทบไม่ไหวขนาดนี้ยังทำเป็นปากเก่ง ผมเดินตามหลังมาทำไมจะมองไม่เห็นปากแข็งและเก่งทำเหมือนไม่มีอะไรให้ได้ตลอดแล้วกัน อยากรู้ว่าจะทนความกดดันจากผมได้นานแค่ไหน
"ศึกหนักอะไรของพี่พูดดีนะๆถ้าพูดไม่ดีได้เห็นดีกันแน่" ผมยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัยมองทะลุปุโปร่งชุดนักศึกษารัดติ้วไปถึงข้างในเห็นดีจริงๆและลูบคลำสัมผัสทุกตารางนิ้วมาทั้งคืนโดยเฉพาะหน้าอกใหญ่นุ่มนิ่มของแท้แม่ให้มาจับแล้วฟินมาก สายตาผมยังคงจับจ้องอยู่ตรงก้อนโตๆดันชุดนักศึกษาออกแล้วจินตนาการถึงตอนใช้มือและลิ้นสัมผัส
"พี่โรคจิตหรือไงมองอยู่ได้" เธอคงเห็นว่าสายตาของผมจดจ้องอยู่ตรงไหนน้ำใสรีบยกมือขึ้นมาปิดบังเอาไว้ มันโตจนเอามือปิดแทบไม่มิดขนาดมือผมบีบจับเนื้อนมยังปลิ้นออกมาตามนิ้วมือ
"ถ้าการมองนมคือคนโรคจิตงั้นผู้ชายทุกคนคงโรคจิตกันหมด รู้ว่าผู้ชายชอบมองนมผู้หญิงแล้วเธอจะใส่เสื้อรัดนมมาให้คนมองทำไมนักหนา คราวหน้าหัดใส่ที่มันตัวใหญ่กว่านี้หน่อยสิเห็นแล้วมันไม่น่ามองของปลอมหรือเปล่าก็ไม่รู้" ถ้าผมมองคนเดียวมันก็ฟินอยู่หรอกแต่พอนึกถึงสายตาผู้ชายคนอื่นมองหน้าอกเธอทำไมผมถึงได้หงุดหงิดพาลปากเสียใส่ไม่รู้ ยิ่งคิดว่ามีผู้ชายมองแล้วน้ำลายหกผมยิ่งโกรธและโมโหกับชุดที่เธอใส่อยากจัดการเผามันทิ้งให้หมด หรือผมต้องหาวิธีจัดการกับชุดของยัยตาใสไม่ให้เหลือ
"จะใส่แบบไหนมันเรื่องของน้ำใสค่ะมีของดีแม่ให้มามันต้องอวดให้โลกรู้" เธอยิ้มลอยหน้าลอยตาภูมิใจกับความใหญ่โตทำผมโมโหเลือดขึ้นหน้าเธอเถียงผมทุกคำ
"น้ำใสอยากลองดีกับพี่มากใช่ไหม ได้ถ้าอยากใส่มากเดี๋ยวจัดการให้เอง" ผมตวาดเธอเสียงดังคงติดมาจากการทำหน้าที่พี่ว๊าก ผมเดินตรงเข้าไปหาแย่งกุญแจรถในมือเธอแล้วกดรีโมทย์พร้อมกับดึงมือเธอเดินขึ้นรถฝั่งข้างคนขับ แล้วผมขึ้นไปนั่งขับแทน
"พี่กำลังจะทำอะไรนี่มันรถน้ำใสนะพี่ลงจากรถน้ำใสเดี๋ยวนี้เลยน้ำใสจะกลับคอนโด" เธอหันหน้ามาแหวทำเสียงขู่แล้วขึงตาใส่ผมตาโตยังกับไข่ห่านมันน่ารักมากกว่าน่ากลัว ผมยิ้มอารมณ์ดีเมื่อเธอสู้ผมไม่ได้ตกเป็นลองอย่างเห็นได้ชัด
"พี่กำลังจะพาไปส่งคอนโดอยู่นี่ไงแต่เป็นคอนโดพี่นะ พี่เห็นน้ำใสชอบพยศใส่พี่เลยอยากปราบเด็กดื้อให้เชื่อฟังสักหน่อย" ผมยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง น้ำใสมองหน้าผมด้วยความตกใจอ้าปากค้างเมื่อผมสตาร์ทรถและขับออกจากลานจอดอย่างรวดเร็วโดยที่เธอเองหนีลงจากรถไม่ทัน เธอตะโกนใส่หน้าผมมาตลอดทางให้ผมปล่อยเธอลงจากรถแต่ผมทำเป็นไม่ได้ยินจนกระทั่งขับมาถึงคอนโดของผม
"นอกจากพี่เป็นพวกโรคจิตพี่ยังเป็นพวกสต๊อกเกอร์ด้วยเหรอคะรู้ได้ยังไงว่าน้ำใสอยู่นี่คงแอบตามมานานแล้วสิ น้ำใสจะไปแจ้งความว่ามีคนแอบตามสืบ" ผมจอดรถนิ่งตรงลานจอดก่อนจะหันมองหน้าคนนั่งข้างๆฟังยัยตาใสพูดยาวคนเดียว นอกจากจะดื้อแสบแล้วยังมโนเก่งสงสัยดูหนังมากเกินจนเก็บมาเพ้อพูดเองเออเองเป็นตุเป็นตะ ผมได้แต่ขำกับความช่างคิดบางครั้งไม่รู้ผมเผลอทำเรื่องพวกนี้กับเธอไปกี่ครั้งอย่างเป็นธรรมชาติ โลกรอบตัวสดใสของเธอมันทำให้ผมพลอยสว่างสดใสไปด้วย
"หัวเราะอย่างนี้แสดงว่าน้ำใสพูดถูก" จินตนาการของน้ำใสนี่เป็นเลิศคิดได้เป็นเรื่องเป็นราวหาเรื่องผมเดือดร้อนมาให้ผมโดยไม่รู้ตัว
"ยัยบ๊องเอ้ย!!ตอนกลางคืนหัดเอาเวลาไปนอนไม่ใช่ดูแต่หนังกับดูซีรี่ย์บ้าๆบอๆอย่างเดียว คิดได้ยังไงนี่มันคอนโดพี่รีบลงได้แล้วไป๊ หรืออยากจะทบความความจำจะได้มีสติขึ้นมาบ้าง" ผมแกล้งขู่จนเธอหน้าง้ำงอนแก้มตุบป่อง
"โอ๊ย!!ดีดทำไมนี่เจ็บนะ เอากุญแจรถน้ำใสมาสิจะได้ลงแล้วพี่ก็ออกไปได้แล้วเลิกมายุ่งวุ่นวายกับน้ำใสสักที" ผมเอามือดีดหน้าผากเบาๆด้วยความหมั่นไส้เล็กๆให้กับยัยเด็กขี้มโนขี้งอนคิดเองคนเดียวเก่ง
ผมไม่พูดอะไรเก็บกุญแจรถสปอร์ตคันหรูของน้ำใสใส่กระเป๋ากางเกงตัวเองแล้วลงมายืนรอนอกรถ น้ำใสรีบลงจากรถมายืนตรงหน้าผมพร้อมกับแบมือ ผมคว้ามือเธอหมับจับเอาไว้แน่นไม่ปล่อยจูงเธอเดินตามขึ้นลิฟท์ไม่สนใจเสียงโวยวายเล็กๆถ้าเธออยากเป็นจุดสนใจให้คนมองเราผมก็ไม่ติด สุดท้ายลิฟท์มาหยุดอยู่ชั้นบนสุดน้ำใสเงยหน้าขึ้นมองผมตาใสแป๋วใบหน้ามุ่ยเข้าหากันด้วยความงวยงงเหมือนมีคำถาม ติ๊ง เสียงลิฟท์แจ้งเตือนหยุดคำถามทุกอย่างพร้อมกับประตูลิฟท์เปิดออกผมดึงมือเธอให้เดินตาม
"พี่รู้ได้ยังไงว่าน้ำใสอยู่ชั้นนี้" มันเป็นเรื่องบังเอิญถึงสองครั้งเพื่อนข้างห้องชั้นบนสุดคือน้ำใสผมเองเพิ่งจะรู้ เราไม่เคยเจอหน้ากันสักครั้ง
"เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนตอนนี้เราสองคนมีเรื่องที่ต้องเคลียร์กันตัวต่อตัว" สายตาแพรวพราวระยิบระยับของคนเจ้าเล่ห์จ้องมองเข้าไปในแววตาโตกลมใสที่ตกใจจนตาโตยังกับไข่ห่าน เมื่อเราสองคนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องของผม
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด แกร็ก ปัง แกร็ก