สัญญาแลกเปลี่ยน (2)

1989 Words
ฉันสะดุ้งโหยงเมื่อมีเสียงกระซิบทุ้มต่ำดังข้างใบหู พอหันกลับไปมองก็สบสายตาเข้ากับผู้ชายที่มีเส้นผมสีน้ำตาลเข้ม และนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ หมับ! ยังไม่ทันได้ตั้งตัวฉันก็ถูกเขาจับข้อมือเอาไว้แน่น “ปะ... ปล่อย ว้าย” หมอนั่นไม่ฟังที่ฉันพูดเขากระตุกแขนฉันให้เดินตามเข้ามาในห้องทันทีโดยไม่บอกไม่กล่าวใครทั้งนั้น “เฮ้ นี่มันอะไร” ผู้ชายที่ข่มขู่เมฆก่อนหน้านี้เอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับตวัดสายตาเย็นยะเยือกมาทางฉัน “...!!!” เมฆมีสีหน้าตกใจที่เห็นฉัน เราสบตากันแวบหนึ่งและเขาก็ไม่พูดอะไรออกมา หมอนั่นคงคิดว่าน่าจะดีกว่าถ้าเราไม่รู้จักกันที่นี่ เขาคิดแบบนั้นอยู่สินะ น่าแปลกฉันเองก็รู้สึกเห็นด้วยที่เราจะทำเหมือนคนไม่รู้จักกัน บางทีถ้ารู้ว่าฉันไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยพวกนั้นอาจจะปล่อยฉันไปก็ได้... ให้ตายสิ นี่ฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ทำไมถึงได้คิดเอาตัวรอดคนเดียวนะ เกลียดตัวเองชะมัด “ไม่รู้สิ พอกลับเข้ามาก็เจอแม่สาวนี่ยืนด้อมๆ มองๆ อยู่ตรงประตู” “แล้วเรื่องที่ให้ไปทำล่ะว่าไง” “หืม?” หมอนั่นยกมือขึ้นทัดท้ายทอยก่อนจะปรือตาขึ้นมองเจ้าของคำถามด้วยดวงตาข้างหนึ่ง “คิเรย์น่ะเหรอ... ก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติม หมอนั่นมันไม่เคยเผยจุดอ่อนให้ใครรู้เลย” “แน่ใจเหรอ” “อืม ทั้งครอบครัว ทั้งเพื่อน ไม่มีคนไหนที่ใช้เล่นงานมันได้เลย” พวกนั้นกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่น่ะ... แล้วคิเรย์ที่ว่าใช่คิเรย์คนเดียวกับที่อยู่โรงเรียนฉันหรือเปล่า? ใช่สิ! หมอนั่นเองก็เป็นยากูซ่าเหมือนกันจะมีศัตรูเยอะก็คงไม่แปลก “แล้วผู้หญิงของมันล่ะ?” “ไม่มี” “อย่ามาล้อเล่น! คนอย่างหมอนั่นจะไม่มีผู้หญิงได้ยังไง” “ถ้าหมายถึงผู้หญิงที่มันควงเล่นๆ ได้แล้วทิ้ง มีนับไม่ถ้วนเลยล่ะ แต่ไม่มีใครมีอิทธิพลพอจะใช้เล่นงานมันได้” “คิดว่ากูจะโง่เชื่อที่มึงบอกเหรอ ไปสืบมาใหม่” “นี่ก็รอบที่สิบแล้วนะเก็นริว กูว่าถอดใจเถอะ ไม่มีประโยชน์ที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเวรนั่นหรอก” หมับ เก็นริวกระโจนเข้ากระชากคอเสื้อหมอนั่นแน่น “...!!!” “ไหนลองพูดอีกครั้งสิวะ ลืมไปแล้วเหรอ ใครที่ทำให้กูต้องอับอาย อาร์ตี้!” คนที่ลากฉันเข้ามาในห้องนี้ชื่ออาร์ตี้ ส่วนอีกคนที่น่าจะเป็นหัวหน้าก็คือเก็นริว “เออ! ความผิดกูเองแหละ” อาร์ตี้ขมวดคิ้วหน้ายุ่ง “รู้ตัวก็ดี... จำเอาไว้ จนกว่ากูจะได้เห็นไอ้คิเรย์มันเจ็บปวดจนสาสมกับที่มันทำกับลูกน้องที่น่ารักของกู กูจะไม่มีวันหยุดเด็ดขาด และมึงต้องหาจุดอ่อนของมันให้เจอห้ามบ่นจำเอาไว้” เก็นริวเอามือจิ้มอกอาร์ตี้ พูดด้วยเสียงเลือดเย็นชวนหวาดหวั่น ก่อนจะผลักอาร์ตี้ออกหลังคำรามเสร็จ “เหอะ...” อาร์ตี้ทำเสียงฮึดฮัดขัดใจในลำคอ แต่พอเก็นริวตวัดสายตาฉุนกึกไปมอง หมอนั่นก็ทำทีเป็นหลบสายตาและเงียบเสียงลงทันใด พรึบ! “...!!!” ฉันผวาเฮือกกับสายตาของเก็นริวที่ตวัดมามอง “แล้วเธอเป็นใคร มาป้วนเปี้ยนอะไรในถิ่นของคนอื่น” “ฉะฉัน... หลงทาง” ฉันตอบเสียงอ้อมแอ้ม ใจสั่นตุบๆ ด้วยความกลัว เก็นริวหรี่ตาลง เหลือบมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะแสยะริมฝีปาก “หลงทาง? เข้าใจพูดหนิ แถวนี้ไม่มีงานเลี้ยงด้วยสิ” ฉันเม้มริมฝีปากแน่น รู้สึกเสียวท้องวูบ หมอนั่นต้องกำลังสงสัยเรื่องชุดราตรีสวยๆ ที่ฉันสวมอยู่นี่แน่เลย แถมตอนนี้เมฆก็ยังสวมชุดสูทสุภาพอีกด้วย ดูๆ ไปแล้วเราสองคนมันแต่งตัวธีมเดียวกันเลยนี่นา... มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าต้องมาจากที่เดียวกัน บ้าจริง “เฮ้ แล้วเรื่องหนี้น่ะตกลงจะเอายังไง” เมฆเอ่ยขึ้นทำให้เก็นริวที่กำลังจะสอบสวนฉันหยุดชะงักแล้วหันไปมองหน้าเมฆอย่างไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ “เอาไงงั้นเหรอ” เก็นริวแสยะยิ้มเลือดเย็นกว่าทุกครั้ง “ก็เอาแบบนี้ไง” ผลัวะ!! หมอนั่นสวนหมัดเข้าที่ท้องของเมฆอย่างรวดเร็ว อั๊ก! “จำเอาไว้! ถ้ากูกำลังพูดอยู่อย่าสอด!” เมฆถอยหลังไปสองสามก้าวพร้อมกับกระอัก ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด “รุนแรงเกินไปแล้วนะ” ฉันถลาเข้าไปประคองเมฆขึ้นมา ลืมไปว่าเราไม่รู้จักกัน เก็นริวนัยน์ตาลุกวาว ฉันว่าฉันพลาดแล้วล่ะที่เข้ามาช่วยเมฆแบบนี้ หมับ! เก็นริวกระชากแขนฉันเข้าไปหา “ว้าย!” ฉันร้องเสียงหลง “เฮ้! ยัยนั่นไม่เกี่ยว” เมฆหลุดปากออกมา ยิ่งหมอนั่นแสดงท่าทางเป็นห่วงฉันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าทางเก็นริวมากเท่านั้น เดี๋ยวนะ! เมฆห่วงฉันงั้นเหรอ? “เกี่ยวไม่เกี่ยวเดี๋ยวก็รู้” เก็นริวกระตุกยิ้มเลือดเย็นเขาบีบต้นแขนฉันแน่นขึ้นก่อนจะตะเบ็งเสียงแข็งๆ ถามออกมา “เธอรู้จักมันใช่ไหม!?” ฉันเม้มริมฝีปากแน่น หัวใจสั่นตุบๆ “ว่าไง!? หรืออยากให้ฉันเค้นจากปากของเธอโดยตรง หืมมม” เก็นริวบีบคางฉันให้หันไปมองหน้าเขาตรงๆ แล้วโน้มหน้าลงมาใกล้ เขาเหลือบสายตาลงมองริมฝีปากของฉันอย่างจงใจ ลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดลงบนผิวหน้ายิ่งกระตุ้นให้ฉันสั่นกลัว ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที และก่อนที่ริมฝีปากน่ากลัวคู่นั้นจะบดขยี้ริมฝีปากของฉันอย่างไม่มีชิ้นดี ฉันก็เผลอโพล่งปากออกไปโดยไม่ทันคิด “ฉัน ฉันก็แค่ตามเขามาเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเลยนะ” “เหอะ! แล้วยังไงอีก...” เก็นริวยังไม่ถอยห่างออกไป เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนริมฝีปากของเราจะแตะกันอยู่แล้ว ฉันหลับตาแน่น กลั้นใจพูดออกไปอย่างช่วยไม่ได้ “ฉัน... ฉันเป็นคนรับใช้ในบ้านเดียวกับหมอนั่น” “หืม?” “นี่... หรือเธอคือเด็กคนนั้น!” จู่ๆ แม่ของเมฆก็แทรกเสียงขึ้นมาทันควัน ฉันลืมเธอไปแล้ว แต่ท่าทางตื่นตัวของเธอทำเอาเก็นริวหันไปมองอย่างสงสัย “มีอะไรน่าตื่นเต้นนักหรือไง” ฉันรู้สึกโล่งใจอยู่อย่างหนึ่งตรงที่เก็นริวไม่ทรมานลูกหนี้เหมือนอย่างยากูซ่าที่เคยดูในหนัง หมอนั่นแค่จับแม่ของเมฆมาแล้วมัดเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้เท่านั้นเอง แต่ยังไงซะวิธีนี้ก็ป่าเถื่อนอยู่ดี แต่ดูเหมือนแม่ของเมฆจะไม่ได้ยินที่เก็นริวพูด เธอยังคงตั้งหน้าตั้งตาพูดกับฉันต่อไปราวกับว่าได้ค้นพบแสงสว่าง “นี่แม่หนูช่วยไปพูดกับพ่อของเธอให้หน่อยสิ ไปขอเงินพ่อเธอนะแล้วเอามาใช้หนี้ให้น้าหน่อย ถ้าหนูที่เป็นลูกสาวในทะเบียนสมรสล่ะก็พ่อของหนูต้องยอมช่วยแน่ๆ” เดี๋ยวนะ! เธอเข้าใจผิดคิดว่าฉันเป็นบลายธ์ลูกสาวคนสำคัญของผู้นำตระกูลงั้นเหรอ แล้วมันเรื่องอะไรที่ผู้นำตระกูลจะต้องเอาเงินมาช่วยแม่ของเมฆด้วยล่ะ ยิ่งฟังยิ่งสับสน “เฮ้!” เมฆตวาดเสียงดังลั่น แต่ก็หยุดคำพูดของแม่ตัวเองไม่ได้ “ถ้าไม่เห็นแก่น้าก็ถือว่าเห็นแก่พี่ชายของหนูด้วยเถอะ เมื่อกี้ก็ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอว่าเจ้าหนี้จะไม่ปล่อยเราไปจนกว่าจะได้เงินครบทุกบาท” “เดี๋ยว! พี่ชาย!? หมายความว่ายังไง” ฉันหัวใจกระตุกวูบ เริ่มจะปะติดปะต่อเรื่องราวที่ออกมาจากปากของเธอได้บ้าง เหลือบมองหน้าสองแม่ลูกสลับกันอย่างต้องการคำอธิบาย ถึงจะเคยสงสัยว่าเมฆอาจจะเป็นลูกอีกคนของผู้นำตระกูลแต่พอมันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉันกลับไม่อยากเชื่อ “หยุดพูดได้แล้ว!” เมฆตะคอกใส่แม่ด้วยสีหน้าเดือดดาล “นี่อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้ว่าเขาเป็นพี่ชายของเธอ!” “ไม่...” ฉันส่ายหน้า “เขาเป็นแค่คนขับรถ ใครๆ ก็คิดแบบนั้น” ฉันพึมพำ จะมีสักกี่คนที่รู้ความลับนี้กัน หรือว่าที่จริงแล้วมีแค่ฉันคนเดียวที่ไม่รู้ล่ะ... ไม่นะ ไม่น่าเป็นไปได้ ฉันครุ่นคิดอย่างสับสน ทำไมความสัมพันธ์ภายในบ้านหลังนั้นมันถึงได้ยุ่งเหยิงไปหมดแบบนี้ “ว่ายังไงนะ!? นี่แกไม่เคยเรียกร้องสิทธิ์ของความเป็นลูกเลยเหรอเมฆ ที่ฉันฝากให้แกเข้าไปอยู่ในบ้านนั้นก็เพราะหวังว่าแกจะได้อยู่สุขสบายและหาเงินมาให้ฉันใช้ได้ง่ายๆ ฮึ่ย! มันน่าโมโหพ่อแกจริงๆ” แม่ของเมฆบ่นอย่างหัวเสีย ในขณะที่ฉันยังคงช็อกอยู่! ...มันไม่จริงใช่ไหม? “โฮ้! ในที่สุดก็ได้ยินเรื่องดีๆ เข้า แปลว่าหมอนี่เป็นพี่ชายของเธอ คราวนี้จะทำยังไงล่ะคุณหนู...” เก็นริวกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ จ้องมองฉันด้วยสายตาแวววาวเหมือนเห็นก้อนเงินก้อนทองอยู่ตรงหน้า “ฉันไม่ใช่คุณหนู!” ฉันโพล่งออกไปเสียงแข็ง “หา!?” เก็นริวเลิกคิ้วงุนงง “ขอโทษนะคะแต่ฉันไม่ใช่ลูกสาวคนที่คุณน้าพูดถึงหรอก” ฉันหันไปพูดกับแม่ของเมฆ ก่อนจะหันมาสบตากับเก็นริว “ฉันไม่มีเงินให้นายหรอก แต่ถึงจะมีฉันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องให้เงินกับนายอยู่ดี” เก็นริวหรี่ตาลง นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้นมาทันที “จะบอกว่าหมอนี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลยงั้นเหรอ?” แววตาเลือดเย็นของเก็นริวทำหัวใจฉันกระตุกวูบ รู้สึกหวิวโหวงที่ช่องท้องอย่างประหลาด... เหลือบมองใบหน้าแข็งกระด้างของเมฆแววตาสั่นไหว มันกะทันหันเกินไปที่จะยอมรับว่าเราเกี่ยวข้องกัน แต่จิตใจฉันตอนนี้ก็อ่อนไหวเกินไปที่จะปฏิเสธเรื่องนั้น “ฮ้าว! ~” ในขณะนั้นเองอาร์ตี้ที่นั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟาคอยมองดูพวกเรามาตลอดก็อ้าปากหาวขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน เขาเหลือบมองหน้าฉันวูบหนึ่งด้วยแววตาที่ทำเอารู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ก่อนที่หมอนั่นจะหันไปพูดกับเก็นริว “มึงยึดติดกับเงินมากเกินไปหรือเปล่าเก็นริว” “อยากพูดอะไรอาร์ตี้” “เอางี้สิ! ถ้าคิเรย์มันไม่มีจุดอ่อนเลยทำไมเราไม่สร้างจุดอ่อนให้มันเองล่ะ” อาร์ตี้กระตุกยิ้มมุมปากแล้วตวัดสายตามามองหน้าฉันราวกับจะบอกใบ้บางอย่างกับเก็นริว “งั้นเหรอ! หึ... น่าสนุกดีนี่” หัวใจฉันเต้นไม่เป็นส่ำ เหลือบมองใบหน้าตาเจ้าเล่ห์ของสองคนนั้นอย่างสงสัยระคนกังวล เก็นริวก้าวเข้ามาจับคางฉันขึ้นแล้วบีบแน่น ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงแหบต่ำเจือบังคับ “ว่ายังไง!? เธอทำได้หรือเปล่า” “ทำ... ทำอะไร” ฉันจ้องหน้าเก็นริวนัยน์ตาสั่น เก็นริวกระตุกยิ้มเหี้ยมเกรียม “ก็ทำให้คิเรย์มันกระอักเลือดยังไงล่ะ” บอกตามตรงตอนนั้นฉันไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเก็นริวหมายความว่ายังไง “ถ้าเธอทำได้ฉันจะยกหนี้ครั้งนี้ให้” “…..”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD